ตอนที่ 154 ไม่แฉคนลำบาก

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

“เจ้าหนู เจ้าไม่รู้สึกว่าภาระบนบ่าข้าหนักขึ้นหรือ” เมื่อชายแก่เข้าใจถึงผนึกบนหน้าผากของตนเอง เขาก็วิ่งมาขอความสงสารหน้าโต๊ะตำราตั้งแต่เช้า

“ไม่รู้สึก!” อวิ๋นเจี่ยวตอบ

ชายแก่อัดอั้นมากขึ้น “ข้าต้องถ่ายทอดวิชาให้ห้องเรียนสามวันละสองสามชั่วยาม จากนั้นข้ายังต้องฝึกฝนอีกสามชั่วยาม ทำข้อสอบทุกสามวัน ถูกอาจารย์ปู่ทุบ…ทดสอบทุกเจ็ดวัน แต่พวกนี้ข้าเคยชินแล้ว ตอนนี้เจ้ายังจะให้ข้าไปคุมยมโลก!”

อย่ารังแกข้าอย่างนี้สิ

“ใครให้ป้ายยมราชเลือกท่านละ!” อวิ๋นเจี่ยวตอบอย่างเรียบเฉย “ท่านต้องทำความคุ้นชิน รอหานซูรักษาหายแล้ว เดี๋ยวเขาก็กลับมา”

“หานซูจะหายดีเมื่อไร” เขาถาม

“อืม…” เธอครุ่นคิด ก่อนจะตอบกลับ “ตามที่อาจารย์อาเหวินชิงพูดก็อีก…หลายสิบปี! เร็วมาก!”

ชายแก่: “…” เจ้าหลอกข้า!

“ไม่ได้ ข้าอายุมากแล้ว ข้าทำไม่ไหว” พูดจบเขาก็กระแอมไปเสียงดัง “เจ้าต้องยกเลิกข้อสอบข้า หรือไม่ก็ยกเลิกการทดสอบของอาจารย์ปู่ ไม่อย่างนั้น…ไม่อย่างนั้น…” เขาครุ่นคิด ก่อนจะตบโต๊ะแล้วพูดขึ้น “ข้าจะออกจากสำนักชิงหยาง เข้าสำนักอื่น!”

อวิ๋นเจี่ยวผงะไป ก่อนจะพูดเตือน “ท่านลืมว่าท่าเป็นเจ้าสำนัก!”

ชายแก่สะอึก แต่ก็ยังพูดด้วยเสียงแข็ง “ข้าไม่สน! เจ้าไปคุยกับอาจารย์ปู่ หากไม่ยอม ข้าจะไปตอนนี้!” พูดจบก็ทำท่าลุกขึ้น เตรียมพร้อมออกจากประตูไป

“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวไม่สนใจคำขู่ของเขา ก่อนจะพูดเสริมขึ้น “ท่านรู้สึกว่า…อาจารย์ปู่จะรั้งท่านหรือไม่”

“…”ฉึบ เขารู้สึกเพียงมีดปักเข้าที่หน้าอก

อย่าพูดความจริงออกมาสิ!

_(´ཀ`」∠)_

ชายแก่ห่อเหี่ยวลงไปราวกับลูกบอลที่มีรูรั่ว เขาพูดด้วยความอยากร้องไห้ “ไม่ใช่…เจ้าหนู เจ้าไม่อาจเป็นเพราะว่าไม่อยากคืนเงินค่าเรียนของอาจารย์อาเหวินแล้วขายข้า” เขารู้สึกไม่ดีขึ้นมา “อาจารย์ปู่ไม่รักข้า เจ้าอย่าเลียบแบบเขาสิ ข้าอายุมากขนาดนี้ ถึงแม้ข่าจะมีป้ายยมราช สามารถแทนที่ตำแหน่งศิษย์พี่หานได้ชั่วคราว แต่ยมโลกคือที่ไหน ยมทูตเหล่านั้นจะมาฟังลูกศิษย์ตัวเล็กอย่างข้าได้อย่างไร” อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ไก่อ่อน

“เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง” อวิ๋นเจี่ยวพูด “จี้ฉีบอกไว้ว่าเขาจะจัดการาเรื่องทั้งหมดก่อน อีกทั้ง…แค่ก ศิษย์พี่เถิงสีอยู่ที่เมืองโยวหลิงแล้ว มีเขาอยู่ตรงนั้นด้วย ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน ท่านเองก็ไม่ต้องตามไปยมโลก”

“พี่สี?” ชายแก่ผงะ นึกถึงเพื่อนที่ไม่เจอกันนับเดือน สีหน้าผ่อนคลายลงในทันที ก่อนจะยืนยันอีกครั้ง “จริงหรือ ข้าไม่ต้องไปยมโลก?”

“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพนักหน้า ยมโลกอันตรายต่อพวกเขาเกินไป “ท่านเพียงแค่ให้เหล่ายมทูตในเมืองโยวหลิงรายงานให้ท่านฟัง เข้าใจสถานการณ์ทางนั้นก็พอ”

หานซูให้พวกเขารับมือเมืองโยวหลิงจริง แต่คงไม่อาจปล่อยมือให้พวกเขาทำทั้งหมด เพราะใช้เท้าก็รู้ได้ว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงยมทูตเหล่านั้น แค่เพียงวิญญาณที่มีความสามารถก็คงไม่ยอม พวกเขาเพียงแค่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของคนอยู่เบื้องหลัง สืบหาความจริงว่าใครเป็นคนลงมือ

ชายแก่โล่งใจไป ดวงตาของเขากรอกซ้ายขวา ถูมือไปมาก่อนจะพูดเสริมขึ้น “เจ้าหนู เรื่องนี้มีความเสี่ยงมาก เจ้าว่า…เพื่อเป็นการป้องกัน เราไปขอยันต์สักสองสามใบจากอาจารย์ปู่?”

“ได้!” อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ปฏิเสธ เธอเงยหน้าขึ้นมองไปยังด้านหลังเขา “พอดีเลย ท่านบอกกับอาจารย์ปู่เองเถอะ”

“เจ้าหนู…” หากเขาสามารถขอได้ ยังต้องให้เธอพูด? “เจ้าก็รู้ นิสัยของอาจารย์ปู่…”

“เป็นอย่างไร” เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้น ร่างสีเขาเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างช้าๆ ในมือยังถือขวดสีน้ำตาลขนาดเล็ก สายตาเย็นชามองไปยังไป๋อวี้

“…” ไป๋อวี้รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในใจ คำพูดที่กำลังจะโพล่งออกมาเปลี่ยนไปทันที “ดี…ดี…ดีที่สุด เก่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด! เฮอะๆๆ…อาจารย์ปู่ ท่านมาแล้ว?”

เยี่ยยวนถึงได้เบี่ยงสายตาไปอีกทาง เขายื่นขวดในมือให้อวิ๋นเจี่ยว ก่อนจะพูด “ของเจ้า”

เห็นเพียงแต่บนขวดนั้นเขียนว่า: มาร์ชเมโลของศิษย์หลาน

“…” อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจทีหนึ่ง ทำได้เพียงรับไป “ขอบคุณอาจารย์ปู่”

“อืม” เยี่ยยวนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะถามขึ้น “พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกัน ทำไมไม่เห็นเจ้าไปในครัว” เขาทำขนมเสร็จแล้ว แต่ข้าวเช้ายังไม่เสร็จ

ชายแก่ใจผวา อวิ๋นเจี่ยวอธิบาย “ชายแก่คิดไม่ตกเรื่องบางอย่าง ข้ากำลังคุยกับเขา”

เยี่ยยวนขมวดคิ้ว “เรื่องอะไร”

ไป๋อวี้ผงะไป อาจารย์ปู่…เป็นห่วงเขา!

ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นมาทันที นี่เป็นครั้งแรกที่อาจารย์ปู่ถามเรื่องของเขา ทันใดนั้นเกิดความตื้นตันภายในใจ รีบตอบกลับ “ไม่มีอะไร เพียงแค่…” เขาเล่าเหตุการณ์เรื่องป้ายยมราชให้อีกฝ่ายฟัง

เยี่ยยวนฟังจบ กวาดตามองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “อืม ถึงแม้เรื่องยมโลกจะยุ่งยาก แต่เมื่อพวกเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว คงไม่อาจการหลีกเลี่ยงเพียงอย่างเดียว สู้สืบหาความจริงจะดีกว่า ป้ายยมราชถึงแม้จะเป็นสิ่งของของยมโลก แต่มันไม่มีผลกระทบกับเจ้า ตรงกันข้ามมันช่วยการฝึกฝนของเจ้าได้ เมื่อได้มันมาก็รับเอาไว้เถอะ”

ไป๋อวี้พยักหน้า อาจารย์ปู่นึกได้ว่าเขาก็เป็นลูกศิษย์ชิงหยาง เริ่มเป็นห่วงเขาแล้วใช่หรือไม่ ดีใจจัง!

“ขอบคุณอาจารย์ปู่!”

“อืม”

“อาจารย์ปู่…” ไป๋อวี้ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น ก่อนจะนึกถึงคำถามที่ตนข่มขู่อวิ๋นเจี่ยวเมื่อครู่ จึงถามขึ้น “ท่านว่าหากข้าออกจากสำนักชิงหยาง ท่าน…” จะรั้งข้าหรือไม่

“เมื่อไร” เขายังพูดไม่ทันจบ เยี่ยยวนก็ถามขึ้นอย่างรีบร้อน อดทนรอ…ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!

ไป๋อวี้: “..”

อวิ๋นเจี่ยว: “..”

————————

“ถ่ายทอดพลังชีวิต?” เยี่ยยวนยื่นชามเปล่าไปให้

“ใช่” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า รับถ้วยมาพลางเติมข้าวพลางพูด “พวกข้าเจอคนหนึ่งที่สำนักเทียนซือ เขามีความสามารถพิเศษนี้ สามารถถ่ายทอดพลังชีวิตเข้าไปในร่างกายคนอื่น ความสามารถนี้มาจากผนึกบนตัวเขา เพียงแต่ว่าหายไปภายหลัง”

เธอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสำนักเทียนซืออย่างละเอียด ก่อนจะพูดต่อ “อาจารย์ปู่ ท่านรู้หรือไม่ว่ามันคืออะไรกันแน่”

เยี่ยยวนกินข้าวหมดอีกหนึ่งชามอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงตอบกลับ “วิชาสำหรับฟื้นคืนพลังชีวิตมีมากมาย แต่หากต้องการฟื้นฟูภายในครึ่งเค่อ คงจะเป็นไปไม่ได้”

“หรือว่าโยกย้ายมาจากที่อื่น?” เหมือนกับขวดพลังชีวิตในยมโลก

“เจ้ามองเห็นเส้นพลังชีวิต?” เขาถามขึ้น

“ฮะ?”

“ดึงดูดพลังชีวิต ต้องมีร่องรอยทิ้งไว้”

อวิ๋นเจี่ยวผงะ นึกถึงเหล่าคนที่ต้องคำสาปสาวหวาเหล่านั้นขึ้นมาทันที บนตัวของพวกเขามีเส้นเชื่อมอยู่ ก่อนจะตั้งสติได้ “ไม่มี!” ตอนที่ชวีฉิวหมิงรักษา บนตัวของอีกฝ่ายไม่มีเส้น

“เช่นนั้น พลังชีวิตที่ถ่ายทอดลงไปบนตัวของคนป่วยก็ไม่ได้โยกย้ายมาจากตัวของคนอื่น”

อวิ๋นเจี่ยวตะลึง “อาจารย์ปู่หมายความว่า…”

“คนสร้างผนึก ไม่ใช่ถ่ายทอดพลังชีวิต แต่เป็นการสร้างพลังชีวิต!”

“…”