บทที่ 124 จิตใจของพ่อแม่ที่น่าสงสารที่สุดในโลก

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

สามพ่อลูกที่เมื่อครู่นี้ยังกระตือรือร้น พอได้ยินบอดี้การ์ดรายงานก็เปรียบเสมือนตกสวรรค์ไปลงนรกในพริบตา ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองโดยสิ้นเชิง

ครั้งนี้เย่เทียนเฉินก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ กล่าวได้ว่าในสายตาของคนส่วนใหญ่ต่างคิดว่าไม่มีทางจบสวยแน่นอน ถึงขนาดคิดว่าต้องตายแน่แล้ว ต้องทราบว่าตระกูลฉินเป็นตระกูลที่ได้ชื่อว่าตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวง หน้าที่การงานของฉินอี้ก็เป็นรองผู้นำระดับชาติ ถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนตายทั้งเป็น เรื่องนี้ยังไม่ต้องพูดถึงพวกที่ใกล้ชิดตระกูลฉินที่ไม่ยอมจบง่ายๆ แม้แต่ผู้นำระดับสูงของประเทศก็ไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็นได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขย่าประเทศให้สั่นสะเทือนได้เลย

กูตู๋อ๋างลงสนามไปจับเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง เมื่อสามพ่อลูกลั่วซงเฉิงได้ยินข่าวนี้ก็ดีใจจนแทบทนไม่ไหว ต้องเปิดเหล้าฉลองกันในห้องโถงของคฤหาสน์ เนื่องจากกูตู๋อ๋างเป็นรองผู้บัญชาการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สามารถนำคทหารไปจับคนด้วยตนเองได้ นี่เองก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง การจับคนไม่ได้จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นกูตู๋อ๋างยังเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของชางหลาง ฝีมือไม่ด้อยไปกว่าชางหลาง เรื่องนี้คนจำนวนมากรับรู้ และสามพ่อลูกลั่วซงเฉิงคิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินมีปีกก็หนีไปไหนไม่ได้

ไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องราวอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปโดยสิ้นเชิง กูตูอ๋างผู้เป็นรองผู้บัญชาการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะคนนี้ลงมือด้วยตัวเองก็ยังไม่สามารถจับเย่เทียนเฉินได้ แล้วยังถูกชางหลางพาคนไปอีก แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชางหลางเป็นคนของหยางอี้ พวกเขามีการเตรียมการที่จะช่วยเย่เทียนเฉิน ตอนนี้ทำให้สามพ่อลูกได้แต่มองอย่างโง่งม

“พ่อ ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี? เย่เทียนเฉินถูกชางหลางพาตัวไปแล้ว พวกเราจะไปหือกับอย่างอี้ก็ไม่ได้!” ลั่วกวงฮุยที่ไม่มีความคิดดีๆ พูดออกมาอย่างกระวนกระวาย

ลั่วซงเฉิงนอนอยู่บนโซฟา สายตามีความสิ้นหวังอยู่ ตอนแรกยังคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ ตอนนี้เขาคิดจะฆ่าเย่เทียนเฉินโดยผ่านทางเฉินเซิงก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่อยู่ในระดับที่สามารถไปแตะต้องหยางอี้ได้

“พ่อครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้พวกเรายังไม่ต้องรีบร้อนไป แพร่ข่าวออกไปก่อน ให้คนรู้เรื่องที่เย่เทียนเฉินบุกไปฆ่าคนที่ตระกูลฉินให้เยอะกว่านี้ พอถึงเวลาที่เบื้องบนต้องจัดการเรื่องนี้เย่เทียนเฉินก็ใช้เส้นไม่ได้แล้ว” ลั่วฉีคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปาก

“ฉีเอ๋อร์พูดได้ถูกแล้ว เย่เทียนเฉินฆ่าฉินเหิง ทำให้ฉินอี้โกรธจนตาย ยังไงซะเขาก็หนีเรื่องนี้ไม่พ้น ที่พวกเราต้องทำก็คือทำให้เรื่องนี้มีผลกระทบในวงกว้าง ให้เป็นเรื่องใหญ่จนใครก็ไม่อาจตัดสินใจได้ด้วยคนเพียงคนเดียว ถ้ามีแรงกดดันจากประชาชน เบื้องบนก็ต้องยิงประหารเย่เทียนเฉิน!” ลั่วซงเฉิงรีบพูดขึ้นด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย

“รู้แล้วครับ ผมจะไปจัดการเอง!” ลั่วฉีเองก็พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา

ตอนนี้ ซึ่งเป็นตอนที่เย่เทียนเฉินและชางหลางกำลังมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของหยางอี้ พ่อของเขาเย่หงได้รีบกลับมาที่บ้านแล้วพาภรรยาไปที่บ้านเดิมตระกูลเย่ ครั้งนี้เกิดเรื่องใหญ่มากจริงๆ เย่หงคิดถึงผู้อาวุโสเย่หย่วนซานเป็นคนแรก เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ด้วยตำแหน่งของเขาที่เป็นเพียงเลขาธิการเมืองH ไม่มีทางทำอะไรได้เลย ต่อให้พ่อของเขาเย่หย่วนซานจะเกษียณออกมาแล้ว แต่ก็ยังมีพี่น้องเพื่อนพ้องเมื่อก่อนที่ยังอยู่ในตำแหน่ง บางทีอาจจะสามารถคิดหาวิธีการผ่านทางพวกเขาได้

“ต้าหง คุณจะต้องคิดหาวิธีนะคะ พวกเรามีลูกชายคนเดียว จะเสียเขาไปไม่ได้!”

น่าสงสารจิตใจของพ่อแม่ในโลกนี้ ไม่ว่าลูกจะทำผิดมากมายแค่ไหน จะทำไม่ถูกอีกเท่าไร ต่อให้ทั้งโลกเป็นศัตรูกับเขา พ่อแม่ก็ยังยืนข้างลูกขอตนไม่เปลี่ยนแปลง นี่คือความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่ หลัวเยี่ยนแม่ของเย่เทียนเฉินนั่งร้องไห้อยู่บนรถ เธอเป็นคนที่มาจากตระกูลใหญ่ย่อมเข้าใจดีว่าครั้งนี้ลูกชายก่อเรื่องใหญ่หลวง เกรงว่าใครก็ปกป้องเขาไม่ได้

“วางใจเถอะ ผมจะต้องขอให้ผู้อาวุโสออกหน้าให้ ไม่ว่าจะยังไงเทียนเฉินก็เป็นลูกชายของพวกเรา ผมไม่ปล่อยให้เขาตายหรอก!” เย่หงพูดอย่างกังวลใจ

ตั้งแต่เย่เทียนเฉินปลดประจำการจากกองทัพและกลับมาที่เมืองก็เปลี่ยนไปรู้ความขึ้นมากทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไม่ทำให้พ่อแม่กังวลใจอีก ในหลายครั้งที่เย่หงและหลัวเยี่ยนพูดถึงลูกชายก็จะรู้สึกปลื้มใจ ไม่ว่าใครก็ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้เย่เทียนเฉินจะก่อความผิดใหญ่หลวงขนาดนี้

หลัวเยี่ยนกุมมือเย่หงผู้เป็นสามีแน่น ตอนนี้สามีเป็นเสาหลักของเธอ เธอกังวลใจและร้อนใจมากจริงๆ แม้ว่าลูกชายจะถูกชางหลางพาตัวไปแล้ว แต่ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ใครก็ไม่อาจรับประกันได้ว่า ชางหลางที่พาลูกชายไป จะคิดลงมือโหดเหี้ยมหรือไม่?

“ไม่ได้ ผู้อาวุโสเกษียณออกมานานแล้ว ต่อให้ยังมีความสัมพันธ์กับคนอยู่บ้าง แต่ก็คงใช้อะไรไม่ได้ คุ้มครองเทียนเฉินไม่ได้!” หลัวเยี่ยนร้อนใจมาก น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ เมื่อคิดว่าลูกชายจะถูกจับตัวไป หรือกระทั่งจะถูกประหาร เธอก็ควบคุมอารมณ์เศร้าโศกของตนเองไม่ได้

“ผมคิดว่าผู้อาวุโสจะพยายามแต็มที่ ไม่ว่าจะยังไงเทียนเฉินก็เป็นหลานของเขา ครั้งนี้ต้องป้องกันไว้ก่อน!” ตอนที่เย่หงเอ่ยคำนี้ เขาไม่มั่นใจเลย ใครก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะสามารถทำให้เย่เทียนเฉินปลอดภัยไร้อันตราย เรื่องนี้หนักหนามาก ความผิดก็มากด้วย

“ถ้างั้น ให้ฉันกลับบ้านเถอะค่ะ อาจจะมีแต่พวกเขาที่สามารถปกป้องเทียนเฉินได้…” จู่ๆ หลัวเยี่ยนก็คิดขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากออกไป

“เยี่ยนเอ๋อร์ เมื่อปีนั้นคุณแต่งงานกับผมโดยไม่สนใจอะไร ตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวไปนานแล้ว พูดสาบานว่าคุณจะตัดความสัมพันธ์กับพ่อของคุณ หากกลับไปตอนนี้พวกเขาคงเอาแต่หัวเราะเยาะ…” เย่หงกล่าวพลางปรายตามองหลัวเยี่ยน

หลัวเยี่ยนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว เมื่อคิดถึงบ้านเดิมของตัวเอง คิดถึงคนตระกูลหลัว เธอเองก็ไม่อยากจะกลับไปขอร้องพวกเขา เพียงแต่เย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกทำความผิดใหญ่หลวงมากนัก หลัวเยี่ยนร้อนใจจนไม่มีหนทาง หากไม่ใช่เพราะสิ้นไร้หนทางจริงๆ ให้ตายหลัวเยี่ยนก็ไม่อยากกลับไปที่ตระกูลหลัวและต้องเจอหน้าคนเหล่านั้นอีก

เมื่อปีนั้นเพื่อที่หลัวเยี่ยนจะสามารถแต่งงานกับเย่หงพ่อของเย่เทียนเฉินได้ ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ปฏิเสธการแต่งงานของครอบครัว กระทั่งสาบานกับพ่อว่าจะตัดสัมพันธ์พ่อลูกอย่างไม่เสียดาย จะอย่างไรก็ต้องการแต่งให้เย่หง นี่ต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนที่เจ็บปวด ตอนนั้นหลัวเยี่ยนและเย่หงคบกันอย่างอิสระ แต่หลัวเยี่ยนนั้นสวยมาก ทำให้ลูกหลานตระกูลข้าราชการใหญ่ทั้งหลายมาสู่ขอ อย่างไรก็ตามคนเหล่านี้ไม่อาจทำให้หลัวเยี่ยนใจเต้นได้ นางรักเย่หงผู้เป็นพ่อของเย่เทียนเฉินเพียงคนเดียว สุดท้ายจึงแต่งงานกับเย่หงโดยไม่สนเสียงคัดค้านใดๆ จากตระกูลหลัวมาอย่างเด็ดขาดแน่วแน่ หลายสิบปีมานี้ก็ไม่เคยกลับไป แต่ทุกครั้งที่ถึงวันเกิดของคุณย่าถึงจะโทรกลับไปครั้งหนึ่ง

“ช่างมันเถอะค่ะ พวกเราคิดหาวิธีกันเองแล้วกัน เทียนเฉินจะต้องไม่เป็นอะไรแน่!” หลัวเยี่ยนกล่าวอย่างแน่วแน่

เย่หงพยักหน้า ขับรถไปยังบ้านเดิมตระกูลเย่อย่างรวดเร็ว เขาหวังว่าผู้อาวุโสเย่หย่วนซานจะสามารถคิดหาวิธีได้บ้าง สามารถหาความสัมพันธ์สมัยก่อนได้บ้าง พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำให้เรื่องนี้เบาลง ขอแค่ลูกชายไม่ถูกตัดสินโทษตาย ต่อให้ถูกจำคุกหลายสิบปีก็ยังมีความหวังที่จะได้พบหน้ากัน นี่เป็นแผนการเลวร้ายที่สุดที่เย่หงคิดได้

เมื่อเย่หงจอดรถหน้าประตูบ้านเดิมตระกูลเย่ เขากับหลัวเยี่ยนก็รีบลงรถเดินไปในคฤหาสน์ ทั้งสองเห็นบอดี้การ์ดสองคนยืนปกป้องคฤหาสน์อยู่ เมื่อพวกเขาเห็นเย่หงและคุณนายมาก็รีบเปิดทางให้ ทั้งยังต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างหาได้ยาก เมื่อก่อนบอดี้การ์ดสองคนนี้เป็นบ่าวสุนัข กล้าชักสีหน้าใส่เย่หงและหลัวเยี่ยน เพียงแต่เย่หงไม่เคยคิดเล็กคิดน้อย เขาอยากให้ครอบครัวสมัครสมานสามัคคีกัน ดูท่าแล้วครั้งนั้นที่เย่เทียนเฉินระเบิดความโกรธออกมาจะมีประโยชน์จริงๆ

เย่หงผลักประตูห้องโถงของคฤหาสน์เข้าไป พบเย่หย่วนซาน เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อหั๋วกำลังนั่งทานข้าวด้วยกัน เขารีบเดินเข้าไปกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “พ่อครับ พ่อได้ยินเรื่องตระกูลฉินมาแล้วใช่ไหมครับ? ต้องคิดหาทางช่วยเทียนเฉินด้วยนะครับ! ”

ไหนเลยจะรู้ว่า เย่หย่วนซานยังไม่ได้เอ่ยปาก เย่มู่ไป๋ก็ชิงพูดขึ้นด้วยท่าทางเย็นชา “เมื่อก่อนไอ้เดรัจฉานนี่ทำความผิดก็ยังไม่มากอะไร แต่ครั้งนี้ทำผิดครั้งใหญ่จนสะเทือนไปถึงฟ้า ต่อให้นำพวกเราทั้งตระกูลเย่ไปชดใช้ก็คงจะช่วยออกมาไม่ได้!”

“น้องสาม พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่านายสั่งสอนลูกได้ไม่ดี พวกเราบอกให้นายดูแลไอ้เด็กเวรนี่ดีดี แล้วตอนนี้เป็นไง? ทำความผิดใหญ่เลยใช่ไหม? ใครจะไปช่วยเขาได้!” เย่เฮ่อกั๋วพูดอย่างเกินจริง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“พี่ใหญ่ พี่รอง เมื่อก่อนเทียนเฉินเสียมารยาทต่อพวกพี่ไปบ้าง แต่จะยังไงเขาก็เป็นลูกชายคนหนึ่ง อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเลยได้ไหมครับ? ยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน!” เย่หงพูดอย่างร้อนใจ

“ครอบครัวเดียวกัน เขาเคยเห็นลุงใหญ่อย่างฉันอยู่ในสายตาด้วยรึไง?” เย่มู่ไป๋กล่าวกลับกันโดยสิ้นเชิง

“เขาก็ไม่เห็นลุงรองอย่างฉันอยู่ในสายตาเหมือนกัน ไอ้หลานคนนี้…”

“พวกแกสองคนไสหัวออกไปให้ฉันเดี๋ยวนี้ ไสหัวไป!” เย่หย่วนซานเอ่ยขัดคำพูดของลูกชายคนที่สองของเขา ตะโกนออกมาอย่างโมโห

เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วได้ฟังก็ตกใจจนเบลอ ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ พ่อถึงได้เข้าข้างน้องสามแบบนี้ ในใจรู้สึกไม่พอใจแต่กลับไม่กล้ายั่วโมโหเย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อ ออกไปจากห้องโถงของคฤหาสน์อย่างหวาดกลัว

“หงเอ๋อร์ เสี่ยวเยี่ยน พวกลูกสองคนไม่ต้องร้อนใจไป นั่งลงก่อนค่อยพูดเถอะ!” เย่หย่วนซานเรียกให้เย่หงและหลัวเยี่ยนมานั่ง

ความจริงแล้วตั้งแต่ครั้งนั้นที่เย่หย่วนซานเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเย่เทียนเฉินและพูดคุยกับเย่หงจนเข้าใจกันมากขึ้น ระหว่างพ่อลูกก็มีความเงียบงัน ทุกอย่างยังคงเหมือนปกติ แต่เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ สองพ่อลูกก็จะคุยกันอย่างจริงใจ ที่ไม่ให้เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วรู้เรื่องนี้เป็นเพราะพวกเขาสองคนมีจิตใจคับแคบ จะทำให้ครอบครัวไม่มีความกลมเกลียวกันได้

“พ่อครับ เทียนเฉินเขา…”

“พ่อรู้แล้ว หลังจากที่พ่อได้ยินเรื่องนี้ก็สอบถามไปยังคนที่มีความสัมพันธ์เมื่อก่อน ค่อนข้างร้ายแรงมากจริงๆ ฉินอี้ตายแล้ว นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด แต่ตอนนี้เย่เทียนเฉินปลอดภัยแล้ว ดูเหมือนหยางอี้จะมีใจช่วยเหลือเทียนเฉิน!” เย่หย่วนซานเอ่ยปาก

“พ่อครับ ต่อให้หยางอี้มีใจช่วยเหลือเทียนเฉิน แต่ผมกลัวว่าพรรคพวกของฉินอี้จะถือโอกาสไล่ต้อนพวกเรา ถึงตอนนั้นเย่เทียนเฉินก็…” ทันใดนั้นเย่หงพลันนึกถึงจุดสำคัญของปัญหาขึ้นมาได้

…………………………….