“วิ…วิชาเวท?”
เจิ้งฉุนเจี้ยนที่อยู่อีกข้างหนึ่งตื่นตกใจยกใหญ่ ราวเห็นผีกลางวันแสกๆ
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่กำเริบเสิบสานและสมองมีแต่กล้ามเนื้อเป็นวิชาเวทด้วยอย่างนั้นหรือ?
เขาเป็นนักเวทด้วย?
“อ๊าก…สมควรตาย เจ้ากล้า…อ๊าก”
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากตาข่ายแสงอัสนี
เงาร่างราวแสงสีดำมายาดิ้นรนอย่างรุนแรง
ข้อมือของหลี่มู่เพียงสะบัด
ตาข่ายแสงอัสนีสีม่วงก็หดลงส่งเสียงเปรี๊ยะๆ คล้ายแส้สายฟ้ากำลังหวดฟาดอะไรอยู่ จากนั้นก็เห็นร่างคนปรากฏขึ้นในตาข่าย
กลับเป็นชายหน้ายาวท่าทางอายุสามสิบกว่าๆ ทั่วร่างสวมชุดสีดำ ผมยาวสี่สิบฉื่อแผ่สยาย กำลังร้องเสียงแหลมตกใจพลางดิ้นรน อัสนีสีม่วงหวดฟาดทั่วร่างจนสะเก็ดไฟกระเซ็น กลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งไปทั่ว
ตาข่ายแสงอัสนีหายไป
ชายหน้ายาวคนนี้ร่วงลงไปบนพื้น
พริบตาที่เขาร่วงลงไป ร่างก็พลันกระดอนขึ้นมาราวติดสปริง มือถือกระบี่สั้นคมกริบเอาไว้ หมายจะแทงมายังหลี่มู่
“อย่า…” เจิ้งฉุนเจี้ยนที่อยู่อีกด้านหนึ่งตะโกนขึ้น
อาวุธทำร้ายขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์คนนี้ไม่ได้เลย
แต่ก็สายไปเสียแล้ว
“เหอะๆ…” หลี่มู่ยกมือไปตามอารมณ์ กุมคมกระบี่สั้นเอาไว้ นิ้วมือทั้งห้าไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย จากนั้นออกแรงเพียงนิดเดียว ตัวกระบี่คมกริบก็กลายเป็นเศษเหล็กเล็ดลอดออกมาตามง่ามนิ้วของเขา
“เป็นไปได้อย่างไร?” ชายหน้ายาวยากจะเชื่อได้
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้?” หลี่มู่ตวัดหลังมือตบไปบนหน้าฝ่ายตรงข้าม “อ้อ ที่วุ่นวายมาทั้งวันเนี่ย ที่แท้เจ้าไม่ได้รู้ถึงพลังของข้าอย่างแน่ชัดก็มาอวดดีรึไง”
เพียะ!
หน้าของชายหน้ายาวบวมไปครึ่งซีก
“เจ้ากล้าตบข้า? เจ้ากล้าตบผู้ตรวจของสำนักตรวจการรึ ฮ่าๆๆ น่าสนใจ ช่างน่าสนใจเสียจริง ขุนนางเมืองน้อยเจ้าจบเห่แล้ว ข้าจะรายงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ไปยังสำนักตรวจการแน่นอน เจ้า ทั้งยังครอบครัวของเจ้าและสหายสนิทต้องตายแน่…” ชายหน้ายาวคำรามเสียงต่ำน่าขนลุก “ข้าสาบานว่าจะต้องให้เจ้าเสียใจไปตลอดชีวิต…ฮ่าๆ ช่างน่าสนใจจริงๆ แค่คิดก็ชวนให้รู้สึกตื่นเต้นแล้ว”
หลี่มู่ขมวดคิ้ว
“งั้นก็…ไปตายซะเถอะ”
เขาพลิกมือตบไปอีกครั้ง
ตึง!
ศีรษะของชายหน้ายาวหายไปจากลำคอทันที
บนกำแพงไกลออกไปอีกเจ็ดแปดจั้ง มีหลุมแตกร้าวรูปร่างอย่างศีรษะคนปรากฏขึ้น
วัตถุเหลวเละสีแดงปนขาวค่อยๆ ไหลลงมาจากกลางหลุม
ตุบ
ศพไร้หัวยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“ข้าว่าตอนนี้เจ้าคงไม่รู้สึกสนใจแล้วละ”
หลี่มู่ยื่นมือผลัก ร่างนั้นก็ล้มลงไปราวหุ่นเชิดที่สายขาด
“นับจากวันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีใครข่มขู่ข้า…และสหายของข้าได้”
หลี่มู่เก็บฝ่ามือกลับมาช้าๆ
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะรับมือกับเจิ้งฉุนเจี้ยน หนิงจ้งซาน หรือฉู่ซูเฟิง อันที่จริงเขาล้วนแต่ยั้งมือไว้ทั้งนั้น
เขาไม่ได้อยากฆ่าคนเท่าไหร่นัก
แต่เมื่อครู่ ชายหน้ายาวเห็นอยู่ชัดๆ ว่าแพ้แล้ว แต่กลับยังชั่วร้ายเหมือนงูพิษ ตอนที่เอ่ยคำข่มขู่อย่างไม่รู้จักกลัวตาย หลี่มู่ก็พลันเข้าใจเหตุผลข้อหนึ่งขึ้นมา
บนดาวดวงนี้ ในโลกวิถียุทธ์ใบนี้ การให้อภัย การอดทนอ่อนข้อให้ และการเหลือทางรอดที่ไว้ให้ เรื่องพวกนี้เหมือนจะไม่มีความหมายอะไรนัก โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับชนชั้นสูงพวกนี้ที่เห็นชีวิตคนไร้ค่าเหมือนผักหญ้า อ่อนข้อให้พวกเขาจะคิดว่าเจ้าอ่อนแอ ให้อภัยพวกเขาจะรู้สึกว่าเจ้าโง่งม และเหลือที่ว่างให้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเจ้ากลัว
คิดจะปกป้องสิ่งที่ให้ความสำคัญและหวงแหน เช่นนั้นก็ต้องทำลายสิ่งที่เจ้ารังเกียจไปทั้งหมด
คิดจะรักษาความเมตตา เช่นนั้นก็ต้องกำจัดความชั่วร้ายไปให้สิ้น
หลี่มู่มองไปยังเจิ้งฉุนเจี้ยน
“ไม่ ไม่…อย่าฆ่าข้า ข้า…ข้าผิดไปแล้ว ข้า…”
‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ ในตอนนี้กลัวสุดขีดไปแล้วโดยสมบูรณ์ เขามองหลี่มู่ราวปีศาจที่เดินออกมาจากนรก ไพ่ตาย คนหนุนหลัง ความโอหังของตำแหน่งอะไรพวกนั้น ในเสี้ยวขณะนี้หายวับไปหมด
แม้แต่ผู้ตรวจของสำนักตรวจการยังกล้าสังหาร บนโลกนี้ยังมีอะไรที่ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ไม่กล้าฆ่าอีก?
เจิ้งฉุนเจี้ยนในตอนนี้ได้สติโดยสมบูรณ์
ตระหนักได้อย่างถ่องแท้ว่าผู้ที่ตนเผชิญหน้าอยู่เป็นคนอย่างไร
หลี่มู่เป็นคนบ้าอย่างที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ไม่พะวงอะไรทั้งสิ้น
คนเช่นนี้ ฆ่าเขาได้ไม่ต่างอะไรกับฆ่าไก่หรือบี้แมลงเลย
“บอกเหตุผลที่ข้าจะไม่ฆ่าเจ้ามาหนึ่งข้อ?” หลี่มู่ถามเสียงต่ำ
เจิ้งฉุนเจี้ยนตกใจจนวิญญาณหลุดออกจากร่าง “ข้า..ข้า..คุณชายรอง ข้าพูดความจริง ข้าพูดความจริง…ใต้เท้ายืนกรานจะส่งข้ามาให้ได้ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน ขอให้คุณชายรองเห็นแก่…เห็นแก่ในตอนที่ท่านยังเล็ก ข้าเคยดูแลพวกท่านแม่ลูก อย่า…อย่าฆ่าข้า…”
อะไรกันเนี่ย?
หลี่มู่อึ้งไป
เจ้านี่คงไม่ได้ตกใจจนเป็นบ้าไปแล้วหรอกนะ?
พูดจาเหลวไหล?
คุณชายรองอะไร?
“เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่?” หลี่มู่เหวี่ยงหมัดขู่ “แกล้งบ้าใช่ไหม?”
“ไม่ๆๆ คุณชายรอง ท่านฟังข้าพูดก่อน ก่อนหน้านี้ข้า…จงใจแกล้งไม่รู้จักท่าน ท่านก็แกล้งแสดงว่าไม่รู้จักข้าเช่นกันมิใช่หรือ? ข้าคิดว่า…คิดว่าท่านไม่อยากให้คนรู้ตัวตนที่แท้จริงของท่าน ข้า…คุณชายรอง ข้ารู้เบาะแสของมารดาท่าน อย่าฆ่าข้าเลย…”
เจิ้งฉุนเจี้ยนพูดอย่างขวัญหนีดีฝ่อ
เอ๋?
หลี่มู่พลันตระหนักอะไรได้
‘เดี๋ยวก่อน เจ้านี่บอกว่าจงใจแกล้งไม่รู้จักเรา เช่นนั้นก็คือที่จริงเขารู้จักเรา…ไม่สิ รู้จักหลี่มู่คนนั้นที่ตกไปในหน้าผา ไม่รู้เป็นหรือตาย และเป็นคนของโลกใบนี้จริงๆ?’
คุณชายรอง?
เช่นนั้น หลี่มู่ตัวจริงคนนั้น ตัวตนของเขาแท้จริงแล้วก็ไม่ธรรมดา แต่มีภูมิหลังในระดับหนึ่ง?
หลี่มู่คิดอะไรได้มากมายทันที
แต่ก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสองคนพูดถึงเลย?
หลี่มู่คิดๆ ดู จากนั้นฟันฝ่ามือดาบมาทันที
เจิ้งฉุนเจี้ยนกระอักเลือด ล้มตัวอ่อนลงไปกองบนพื้น แน่นิ่งไม่ขยับ
หนิงจ้งซานและฉู่ซูเฟิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นฉากนี้แล้วตกใจจนขวัญหาย
หลี่มู่สังหารเจิ้งฉุนเจี้ยนแล้ว นี่ไม่ใช่ฆ่าคนจนคลุ้มคลั่ง จะสังหารล้างบางแล้วหรอกรึ?
ดังนั้นเมื่อหลี่มู่เดินมายังพวกเขา ทั้งสองคนแทบจะสติแตก
“ใต้เท้า อย่าฆ่าข้า ไว้ชีวิตด้วย…” ฉู่ซูเฟิงที่ตัวอ้วนท้วนหน้ากลมจมูกงุ้มกรีดร้องขึ้นมาก่อน “ท่านฟังข้าก่อน เป็นเจิ้งฉุนเจี้ยนบีบบังคับให้พวกเราทำแบบนี้…ข้าจะพูด จะพูดออกมาทั้งหมด ใต้เท้าเจ้าเมืองส่งพวกเรามา คิดจะขัดขาหาโอกาสกำจัดท่านทิ้ง พวกเราโดนบังคับมา…”
หลี่มู่เดินมาทีละก้าว ทีละก้าว
“ดูเจ้าสิ เหมือนอะไร? ไม่มีศักดิ์ศรีเลยแม้แต่น้อย” หลี่มู่ส่ายหน้าทำเสียงจิ๊จ๊ะ “เมื่อกี้ยังข่มขู่ข้าอยู่เลยไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เทียบไม่ได้แม้แต่หมาขี้เรื้อนชั้นต่ำที่สุด เจ้าว่ามีชีวิตอยู่แบบนี้จะมีความหมายอะไร?”
“ข้า…อย่าฆ่าข้า” ฉู่ซูเฟิงพูดพลางร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล “ข้าก็อับจนหนทาง ทุกอย่างเป็นการจัดการของใต้เท้าเจ้าเมือง ใต้เท้าหลี่ ข้าตาบอด ไม่ควรเป็นศัตรูกับท่าน ท่านไว้ชีวิตข้าเถอะ” เขาคุกเข่าคลานมาเกาะขาหลี่มู่
หลี่มู่ยกขาเตะอีกฝ่ายลอยกระเด็นทันที
นายตรวจการคนใหม่ของอำเภอขาวพิสุทธิ์กระแทกกับหินข้างๆ ก้อนหนึ่งดังตูม กระดูกหักไม่รู้กี่ท่อน ร่างค่อยๆ ไหลร่วงลงมา ทิ้งรอยเลือดเอาไว้เป็นทาง ร่างไร้เรี่ยวแรงนั่งไปบนพื้น คอตก ขาดใจตายอย่างสมบูรณ์
แต่เดิมหลี่มู่คิดจะเก็บตัวต้นเหตุพวกนี้เอาไว้ให้เฝิงหยวนซิง เจินเหมิ่ง และหม่าจวินอู่ลงมือแก้แค้นเอง แต่ตอนนี้หลี่มู่เปลี่ยนใจแล้ว ไม่อยากจะเสียเวลาอีก
เขามองไปยังหนิงจ้งซาน
หนิงจ้งซานตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกไปนอกโลก
“ใต้เท้า โปรดยั้งมือด้วย ข้าจะเปิดโปงเอง เฉียนเฉิงรองนายพลของกองกำลังเกราะดำใช้ด้ามดาบถอนฟันของชิงเฟิง ทั้งยังจงใจใช้เชือกเส้นบางๆ รัดร่างของเขา แขวนเขา ดังนั้นเขาถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนั้น…” ถึงแม้หนิงจ้งซานจะเป็นจอมยุทธ์ แต่ตอนนี้ไม่มีจิตใจจะต่อสู้เลยแม้แต่น้อย ราวกับสุนัขขี้เรื้อนที่ถูกตีจนหลังหัก
หลี่มู่ได้ยินดังนั้นก็หยุดลง
“คนไหนคือเฉียนเฉิง?” เขามองไปยังรองนายพลกองกำลังเกราะดำทั้งสามคน
สายตาของทหารสองคนในนั้นหยุดบนร่างของคนที่อยู่เยื้องไปทางขวาสุดทันที
รองนายพลคนนั้นใจสั่นสะท้าน
“ท่าทางคงเป็นเจ้า” หลี่มู่เดินไปหาเขา
“อ๊าก ข้าจะสู้สุดชีวิตกับเจ้าแล้ว” เฉียนเฉิงคำรามอย่างโกรธแค้น ชักดาบยาวที่ข้างเอวออกมา “ข้าก็คือเฉียนเฉิง ฮ่าๆ ข้าใช้ดาบเล่มนี้ทุบฟันเจ้าตัวเล็กนั่นทั้งปาก ฮ่าๆๆ เจ้าจะทำไมข้า? ข้าคือรองนายพลของกองทหารแห่งจักรวรรดิ จะกลัวขุนนางเมืองตัวเล็กๆ อย่างเจ้าหรืออย่างไร ฆ่า!”
เขาตวัดดาบ พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
กำลังภายในหุ้มล้อมรอบกายเขา
สมกับที่เป็นรองนายพลของกองทหารประจำการ พลังไม่ธรรมดา เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งในจุดสูงสุดของขั้นรวมจิตแล้ว
เพียะ!
หลี่มู่ยกฝ่ามือซัดเขาจนหมุนอยู่กับที่เหมือนลูกข่าง
พลังแตกต่างกันมากเกินไป
“ข้าจะทำอะไรเจ้าได้?” หลี่มู่ยกมือขึ้นตบอีกที
เฉียนเฉิงหมุนเร็วยิ่งกว่าเดิม
ใบหน้าของเขาบวมดั่งลูกท้อที่สุกงอมแล้วร่วงเน่าอยู่บนพื้น
“เจ้าว่าข้าจะทำอะไรเจ้าได้” หลี่มู่ยกมือตบลงไปอีก
เฉียนเฉิงรู้สึกว่าหน้าของตน ไม่สิ ทั้งศีรษะชาไปหมด
เพียะ!
“ข้าคิดว่าคงได้แค่ตาต่อตา ฟันต่อฟันแล้ว” หลี่มู่ตบไปอีกฝ่ามือหนึ่ง
เฉียนเฉิงหน้าตาบิดเบี้ยว จมูกมีเลือดไหล ใบหน้าทั้งใบเปลี่ยนรูปร่างไปแล้ว
หลี่มู่เตะออกไปสองที
ก๊อบ กร๊อบ
ขาทั้งสองข้างของเฉียนเฉิงหักแล้ว
“อ๊าก…” เขาร้องน่าสมเพชเหมือนหมูโดนเชือด ร่างหมุนและล้มลง
หลี่มู่ยกขาเหยียบจนขาทั้งสองของฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นเนื้อเละๆ ทีละนิด
“ไม่…” เฉียนเฉิงร้องคำรามคลุ้มคลั่ง น่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าฆ่าข้า ฆ่าข้าเถอะ”
“ตาย สำหรับเจ้าแล้วมันสบายเกินไป” หลี่มู่พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความรู้สึกเลยสักนิด
ครั้นนึกถึงบาดแผลของเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิง โทสะและจิตสังหารในใจของหลี่มู่ก็ยากจะควบคุมโดยสิ้นเชิง เฉียนเฉิงคนนี้ใช้วิธีที่เหี้ยมโหดพรรค์นั้นทรมานเด็กอายุสิบกว่าขวบคนหนึ่ง ไม่มีความเป็นคนเลยชัดๆ หลี่มู่จะให้มันได้ลิ้มลองรสชาติของการสูญเสียขาทั้งสองข้าง
“อ๊าก ข้าผิดไปแล้ว ข้ามันไม่ใช่คน ไว้ชีวิตข้าเถอะ” เฉียนเฉิงร้องไห้คร่ำครวญอย่างหวาดกลัวเป็นที่สุด
“ตอนนี้สำนึกผิดแล้วรึยัง?” หลี่มู่ถาม
เขาเหยียบย่ำลงไป
ร่างของเฉียนเฉิงแยกออกเป็นเสี่ยงๆ
หลี่มู่หันกลับมา และเดินไปหาหนิงจ้งซาน
“ไม่ๆๆ ใต้เท้าหลี่ ท่านฟังข้า ข้า…” หนิงจ้งซานถอยหลังไปอย่างหวาดกลัวสุดฤทธิ์
ปลายเท้าของหลี่มู่ตวัดดาบของเฉียนเฉิงมาถือไว้ในมือ
“ดาบนี้คืนให้กับเจ้าแทนหม่าจวินอู่” หลี่มู่ตวัดดาบฟันลงไป
“อ๊าก…ใต้เท้าหลี่มู่ไว้ชีวิตด้วย…” แขนซ้ายของหนิงจ้งซานขาดสะบั้น เขาดิ้นรนพลางโซเซถอยไปข้างหลัง “ข้าจ่ายค่าตอบแทนไปแล้ว ข้าสาบาน ข้ายินดีสนับสนุนใต้เท้าหลี่ ข้าเป็นนายตรวจการที่เชื่อใจได้ ข้าเป็นสุนัขรับใช้ให้กับใต้เท้าได้ ท่านอย่าฆ่าข้า…”
“ข้าไม่อยากเลี้ยงหมาอย่างเจ้า” หลี่มู่ตวัดอีกดาบลงไป “ดาบนี้คืนให้กับเจ้า แทนความฝันอยากเป็นนักธนูของกองพันธนูที่สลายไปของหม่าจวินอู่” คนที่สูญเสียแขนไปทั้งแขน จะเหนี่ยวคันศรยิงธนูได้อย่างไรกัน หม่าจวินอู่ไม่อาจยิงธนูได้อีกต่อไปแล้ว นี่ทำให้เขาทรมานเสียยิ่งกว่าตาย
ฟุ่บ!
แสงดาบสะท้อนวูบไหว
ศีรษะของหนิงจ้งซานกระเด็นขึ้นมา
……………………………………………………