ตอนที่ 88 กล่าวคำที่มิควรกล่าวออกไป

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

สุราเมรัยสามารถทำให้คนกล้ามากขึ้น ทว่าคำพูดนี้ก็ถูกต้อง ในเวลานี้มู่เฉียนซีนางดูกล้าหาญมากขึ้นจริง ๆ

มู่เฉียนซีมักจะกระทำตัวกำเริบเสิบสานกับผู้อื่นเสมอ ทว่ากับบุรุษ ‘ก้อนน้ำแข็ง’ ผู้อันตรายนี้ นางระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก จะกล้าเอ่ยปากพูดจาลวนลามเขาได้อย่างไร ? แต่ตอนนี้ด้วยความมึนเมาจากสุราเมรัย กลับทำให้นางกล้าเอ่ยคำที่ปกติมิกล้าเอ่ยออกมา

“จิ่วเยี่ย มือของเจ้านุ่มนวลยิ่งนัก ทั้งเย็นและบอบบางราวหยก…”

นางไม่เพียงแต่จับมือเท่านั้น กลับพูดจาหยอกล้อเขาอย่างสนุกสนานรื่นรมย์ใจ

จิ่วเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาเปล่งประกาย ริมฝีปากแดงระเรื่อราวผลอิงเถา แก้มของเขาสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวจากลมหายใจของนาง

เพียงแค่เขาเข้าใกล้นางอีกนิดก็สามารถปิดปากร้าย ๆ ของนางได้

‘สตรีผู้นี้คงต้องโดนสั่งสอน…’ เขาผุดความคิด

ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นกำลังสะสมอารมณ์ที่รุนแรง และขณะที่เขากำลังจะทำอะไรบางอย่าง เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็พลันเกิด

— ตุบ! —

มู่เฉียนซีเผลอหลับไปเสียเฉย ๆ ร่างของนางทับบนร่างของเขา สองมือพาดบนร่างเขาราวกับหนวดปลาหมึกย้วย ๆ ตกห้อยไปเกี่ยวพันร่างของจิ่วเยี่ยก็มิปาน

จิ่วเยี่ยก้มศีรษะลง ริมฝีปากเย็นสัมผัสลงบนหน้าผากสตรีที่ตอนนี้มึนเมาหลับไป จากนั้น เสียงเข้มขรึมทว่ามีเสน่ห์กระซิบข้างหูนาง

“เจ้าเป็นของข้า…”

สุราเมรัยเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้นางเมาได้ถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าต่อไปมิอาจให้นางดื่มสุราเมรัยกับผู้ใดได้อีก ถ้าหากดื่มอีกเกรงว่าจะมีอันตราย

ยามที่นางเมาก็ดูน่ารักไม่น้อยเลยทีเดียว สามารถทำให้คนอื่นหลงเมาไปกับเสน่ห์นี้ของนางได้ หากเป็นเช่นนั้นจะให้นางไปเมาต่อหน้าผู้อื่นมิได้เด็ดขาด หากผู้อื่นเห็นเข้าก็มิวายคิดหลงใหลนาง ถึงยามนั้น มีหวังเขาต้องปลิดชีพคนเหล่านั้นไม่เหลือซาก

ดูเหมือนว่ามีความรู้สึกเย็นราวกับน้ำแข็งสัมผัสที่ร่างกายของเขาในตอนนี้ เขารู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมาทันที เพียงแต่มู่เฉียนซีในตอนนี้นั้น นางดูว่างเปล่าไม่รับรู้อะไรเลย

จิ่วเยี่ยจับข้อมือนางเบา ๆ เพื่อให้ความเย็นในร่างกายของเขาละลายแอลกอฮอล์ในร่างกายนางอย่างช้า ๆ

หลังจากที่มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จันทราก็โด่งชัดขึ้นเหนือท้องนภาแล้ว…

นางตกอกตกใจเป็นอย่างมากที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองนั้นได้นอนอยู่กับจิ่วเยี่ย ถึงแม้จะดูไม่เหมือนการนอนโดยปกติทั่วไป ทว่าร่างของเยี่ยอ๋องในตอนนี้ก็อยู่ภายใต้ร่างของนาง!

เมื่อสติกลับคืนมา นางก็พากายตนเองลุกขึ้น จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มราวกับว่าหัวค่ำของราตรีนี้ที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เอ่อ… คือ… ไม่คิดว่าจะดึกเช่นนี้ จิ่วเยี่ย เรากลับกันเถอะ”

จิ่วเยี่ยลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ มือจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ยับยู้ยี่จากการนอนให้เป็นระเบียบ

“เจ้าแน่ใจรึว่าจะกลับเวลานี้ ?”

“แล้วเหตุใดถึงกลับเวลานี้ไม่ได้ล่ะ ? หรือว่าเจ้ามีสิ่งอื่นใดที่ต้องทำรึ ?”

เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเองกระทำก่อนที่จะเผลอหลับไป นางก็รู้สึกอับอายขายหน้าจนแทบจะมุดแผ่นดินหนี นางคิด ‘ข้าแค่จะไปสนุกสนานบนหอบุปผาในเรือบุปผาของข้ามิใช่รึ ?! คิดไม่ถึงเลยว่าจะโดนเขาลักเอาตัวมาเช่นนี้ แถมยังโดนบังคับให้ร้องเพลงบ้า ๆ อีก โอ๊ยยยย มู่เฉียนซีรู้สึกมิปลื้ม!’

โดนบังคับให้ร้องเพลงคงจะไม่เท่าไหร่ ทว่าสุดท้ายแล้วนางกล่าวคำที่มิควรกล่าวกับเขาออกไป… ดันไปเอ่ยชมเขาเสียได้ ใบหน้าก็ชิดใกล้ ช่างน่าอับอายดีแท้…

เวลานี้นางรู้สึกสับสนราวกับมีอีกาจำนวนไม่น้อยวิ่งวนอยู่บนหัวนาง หากรู้มาก่อนหน้านี้ว่าตนเองนั้นคอไม่แข็ง ก็คงจะไม่ดื่มเข้าไปเยอะเช่นนี้ เพราะความตะกละของตนแท้ ๆ จนดูเหมือนว่าได้ทำเรื่องใหญ่มากลงไป เจ้าก้อนน้ำแข็งจิ่วเยี่ยคงจะไม่แก้แค้เอาคืนนางหรอกนะ!

จิ่วเยี่ยเดินเข้ามาใกล้นาง และชี้ลงไปในทะเลสาบใส

“เจ้าดูนั่นสิ”

ทันใดนั้น แสงสีม่วงระยิบระยับปรากฏขึ้นบนผิวน้ำของทะเลสาบ ช่างดูงดงามยิ่งกว่าแสงหิ่งห้อยเป็นไหน ๆ  บรรยากาศที่ว่างเปล่า เสียงอันเงียบสงัดยามรัตติกาล แสงเรืองรองสว่าง ทิวทัศน์งดงามชวนหลงใหล

จิ่วเยี่ยยื้อเวลาให้นางอยู่ต่อก็เพื่อที่จะได้ดูบรรยากาศนี้อย่างนั้นรึ ? เป็นไปไม่ได้… เป็นไปไม่ได้แน่!

ตอนนี้นางรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณโดยรอบเข้มข้นผิดปกติ ทันใดนั้นเสียงอันเยือกเย็นก็ดังก้องเข้ามาในหูของนาง

“ทะเลสาบเยาเยี่ย เมื่อใดที่หยกวิญญาณกัณหาภรณ์ปรากฏ เมื่อนั้นควรแก่การฝึก ฝึกเพียงครึ่ง ผลสำเร็จสองเท่า”

มู่เฉียนซีผงะไปชั่วขณะ จากนั้นนางก็รีบฝึกเคล็ดเทพต้านสวรรค์ทันที ความเร็วนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ!

นางรับรู้ได้ว่าสายตาที่เย็นชาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองนางอยู่  จู่ ๆ เสียงของจิ่วเยี่ยก็ดังขึ้น เขาดูโมโหเล็กน้อย

“พลังของเจ้าอ่อนแอเกินไป เจ้าอย่ามัวแต่เล่นและห้ามไปในที่เช่นนั้นกับบุรุษอื่น”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้มู่เฉียนใจประหลาดใจคือคำกล่าวกับท่าทางของจิ่วเยี่ยในวันนี้ ดูเปลี่ยนไปไม่น้อย  ไม่รู้เพราะเหตุใดจิ่วเยี่ยถึงได้ปรารถนาให้นางแข็งแกร่งกว่าเดิมนัก แล้วยังดูเหมือนเขาจะโกรธที่นางมัวแต่เอาเวลาไปปรุงยากอปรกับจัดการเรื่องในจวนตระกูลมู่มากเกินไปจนไม่ค่อยมีเวลาได้ฝึกฝนความแข็งแกร่ง มิน่า… เขาถึงได้พานางมาที่ทะเลสาบเยาเยี่ยแห่งนี้

และดูเหมือนว่าหลังจากนี้ไป นางต้องฝึกฝนให้มากกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นแล้วล่ะก็… มีหวังเยี่ยอ๋องผู้นี้ต้องสาปนางให้กลายเป็นโครงกระดูกเป็นแน่

“หากว่าเจ้าอยากเล่นสนุกจริง ๆ  ข้าจะสนุกเป็นเพื่อนเจ้าเอง”

— ตูม! —

เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้พลังวิญญาณของนางก็ทะลวงทันที

หลังจากที่เขากล่าวจบ จิ่วเยี่ยกลับมาเย็นชาเงียบสงบอีกครั้ง ส่วนมู่เฉียนซีก็ดูดซับพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง

แสงสีม่วงระยิบระยับอยู่บนพื้นน้ำกลางทะเลสาบ พลังวิญญาณนับไม่ถ้วนรวมตัวกันเป็นพลังวนอยู่ที่ร่างของสตรีชุดสีม่วงในค่ำคืนแห่งรัตติกาล เป็นภาพน่าประทับใจหาดูได้ยากราวกับปรากฏการณ์สำคัญ

— ตูม! —

กำแพงผู้บำเพ็ญภูตระดับเก้าพังทลายลง นางทะลวงพลังกลายเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับเก้าทันที

มู่เฉียนซีลืมตาขึ้นมา ในที่สุดนางก็สำเร็จเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับเก้า

อย่ามองว่าการฝึกระดับผู้บำเพ็ญภูตของนางนั้นง่ายดายราวกับการดื่มน้ำ หากจะเป็นราชาแห่งภูตจริง ๆ หนทางของนางนั้นยังอีกยาวไกล  ระดับของผู้บำเพ็ญภูตเป็นเพียงการฝึกแค่ก้าวแรกเท่านั้น ยิ่งระดับสูงขึ้นมากเท่าไหร่การฝึกก็ยิ่งยากและยิ่งช้าลงไปเท่านั้น

มู่เฉียนซีเงยหน้ามองจิ่วเยี่ย กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าทะลวงพลังงานวิญญาณเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับเก้าสำเร็จแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าว่าเรากลับกันเถอะ”

“อืม” จิ่วเยี่ยพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นคว้าร่างนางมาอยู่ในอ้อมกอด ร่างสีดำม่วงกะพริบตัวหายไปจากทะเลสาบเยาเยี่ยทันที

จิ่วเยี่ยมาส่งนางที่จวน จากนั้นเขาก็นั่งนิ่งอยู่ในห้องของนางไม่ยอมกลับจวนเยี่ยอ๋อง

มู่เฉียนซีกล่าว ท่าทางดูอ่อนแรง “จิ่วเยี่ย เจ้าเหนื่อยใช่ไหม ? เช่นนั้นข้าจะไปชงชาสมุนไพรให้เจ้านะ ดีหรือไม่ล่ะ ?”

“ก็ดี”

ในขณะที่นางกำลังจะเตรียมไปชงชาสมุนไพรให้จิ่วเยี่ย ทันใดนั้น บุรุษชุดดำผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาในห้อง กลิ่นอายไอสังหารแผ่ทั่ว มีเจตนาจะปลิดชีพอย่างรับรู้ได้ชัดเจน

เข็มยาในมือของมู่เฉียนซีกำลังจะพุ่งไปจัดการกับบุรุษชุดดำนั้น ทว่ามีผู้ที่รวดเร็วกว่านางมาก

— ตูม! —

ร่างของบุรุษชุดดำล้มลงกับพื้น พลันทั่วร่างของเขาก็ได้กลายเป็นโครงกระดูกภายในชั่วพริบตาเดียว

บุรุษผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ได้เห็นใบหน้าที่เย็นยะเยือกกับตา

“ยะ… เยี่ยอ๋อง!”

เยี่ยอ๋องมาอยู่ในห้องมู่เฉียนซีได้อย่างไร ? หากรู้มาก่อนหน้านี้ เขาไม่มีวันกล้าลงมือกับมู่เฉียนซีแน่นอน!

มู่เฉียนซีหันไปมองจิ่วเยี่ย ในใจพลันคิด ‘เจ้านี่… เร็วยิ่งนัก!’

บุรุษชุดดำผู้นี้มีความแข็งแกร่งมากที่ลอบเข้ามาทำร้ายนางถึงในจวนเช่นนี้ได้ แสดงว่าความแข็งแกร่งของบุรุษผู้นี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นราชาแห่งภูตเป็นแน่แท้

ทว่าเทียบกับจิ่วเยี่ยแล้ว ราชาแห่งภูตผู้มาลอบปลิดชีพนี้ เป็นได้เพียงเม็ดทราย เปรียบได้เพียงมดตัวเล็ก ๆ ตัวนึงก็มิปาน

บุรุษผู้มาลอบปลิดชีพตัวสั่นงันงก รู้สึกหวาดกลัวอย่างมิอาจหาคำมาเปรียบได้ ผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาคือเยี่ยอ๋อง ซวนหยวนจิ่วเยี่ย! ไม่ว่าจะหนีอย่างไร เขาก็ไม่เหลือทางรอด

มู่เฉียนซีรีบกล่าวขึ้นว่า… “จิ่วเยี่ย อย่าให้เขาตายล่ะ”

.