บทที่ 140 รักษา (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 140 รักษา (4)
ลู่เซิ่งลุกขึ้น เดินออกจากโถงใหญ่ ออกไปตามเส้นทางด้านข้าง มีเฒ่าเฮยตามติดอยู่ด้านหลัง

คนที่เหลือไม่ได้ติดตามไป เขาบุ้ยใบ้ลอบบอกให้รั้งอยู่ที่นี่ หงหมิงจือที่อยู่ด้านหลังกระแอมสองสามคำ ยืนขึ้นควบคุมสถานการณ์แทนลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งพาเฒ่าเฮยมาถึงดาดฟ้าที่กว้างขวางบนชั้นสูงสุดของพรรควาฬแดงอย่างรวดเร็ว

ลมแม่น้ำพัดชายเสื้อของทั้งสองให้กระพือดังพึ่บพั่บ

ลู่เซิ่งให้พลพรรคออกไป ตนอยู่บนดาดฟ้าตามลำพังกับเฒ่าเฮย

“ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าได้เจอใต้เท้าผู้ประกอบพิธีของจวนอู๋โยวแล้ว คำพูดเมื่อครู่ของเฒ่าเฮยมีความหมายว่าอย่างไร ใต้เท้าผู้ประกอบพิธีหายตัวไปหรือ” ลู่เซิ่งแสร้งทำท่าตกใจเล็กน้อย ขมวดคิ้วมองเฒ่าเฮย

“คืนที่ท่านออกไปหุบเขาไร้ลมที่เขาบูรพาก่อนหน้านี้ ใต้เท้าของข้าหายสาบสูญไปตอนนั้น ลู่เซิ่ง ข้าขอเตือนท่านว่าอย่าเสแสร้งจะดีกว่า ตระกูลซั่งหยางปกป้องท่านไม่ได้ เรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โตแล้ว ต่อให้เป็นซั่งหยางจิ่วหลี่ก็รับมือไม่ไหว” เฒ่าเฮยตอนนี้ใจเย็นลงบ้าง มองลู่เซิ่งด้วยสีหน้าที่น่ากลัว

“เฒ่าเฮยหมายความว่าอย่างไร ใต้เท้าผู้ประกอบพิธีมีพลังสูงล้ำ หรือท่านคิดว่าการหายตัวไปของท่านผู้เฒ่าเกี่ยวข้องกับข้า” ลู่เซิ่งเอ่ยถามกลับเสียงขรึม

“ข้าไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้น ท่านเพียงจำเป็นต้องบอกมาว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าจะวินิจฉัยเอง!” เฒ่าเฮยซัก

ลู่เซิ่งใคร่ครวญ บอกเล่าเรื่องราวในคืนนั้นอย่างละเอียด แน่นอนว่าไม่ใช่ฉบับจริง หากแต่เป็นมุมมองจากพลพรรคทั่วไปคนหนึ่ง ได้ยินเสียงดังกึกก้องไกลๆ อยู่ในป่า แถมยังเกิดหลุมบ่อขนาดไม่เท่ากัน เขาหวาดกลัวเพราะเสียง จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่รีบแลกเปลี่ยนสินค้า แล้วรีบจากมา ภายหลังคลื่นลมสงบไม่ได้เกิดอะไรตามมา

“หมายความว่า ท่านเองก็ไม่ทราบ ไม่เห็นว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงมีเสียงดังขนาดนั้น” เฒ่าเฮยฟังจบ คิ้วขมวดเข้าหากัน

“เป็นเช่นนี้จริงๆ” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง “ถ้าใต้เท้าผู้ประกอบพิธีหายตัวไปจริงๆ จะเกี่ยวข้องกับเสียงดังในคืนนั้นหรือไม่”

“คนอื่นๆ เล่า คนลึกลับที่แลกเปลี่ยนสินค้ากับพวกท่าน ติดต่อกันที่ใด” เฒ่าเฮยถามเบาๆ

“เป็นสหายเก่าของข้า อยู่ๆ ก็มาติดต่อกับข้าเพื่อขอธัญญาหาร ข้าเห็นกำไรสูงดี จึงตกปากรับคำ

ครั้งนี้แลกเปลี่ยนสินค้าเป็นครั้งแรก จึงสำคัญยิ่ง เดิมนึกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนในระยะยาว ข้าไปดูสถานการณ์เอง คาดไม่ถึง…” ลู่เซิ่งส่ายศีรษะเบาๆ สีหน้าจนใจ

“เช่นนั้นท่านได้ยินเสียงร้องของนกใหญ่ หรือเสียงคำรามเหมือนหมีหรือไม่” เฒ่าเฮยถามอย่างละเอียด

“เสียงนกกับเสียงหมีคำรามหรือ” ลู่เซิ่งตั้งใจทบทวน “ไม่มี ไม่มีจริงๆ” เขาส่ายหน้าช้าๆ

“แต่ข้าแนะนำให้ท่านไปดูสถานที่ดีกว่า อาจเหลือร่องรอยไม่น้อย คนลึกลับเหล่านั้นเป็นได้ถึงขีดสุดว่าจะเกี่ยวข้องกับเสียงดัง การหายตัวไปของใต้เท้าผู้ประกอบพิธีต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เช่นนั้นเป็นไปได้ยิ่งว่าจะเกี่ยวข้องกับคนลึกลับเหล่านั้น” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“ท่านคิดแบบนี้เหมือนกันหรือ” เฒ่าเฮยสีหน้าเป็นมิตรขึ้น รู้สึกว่าลู่เซิ่งกำลังช่วยเขานึกถึงรายละเอียดอย่างจริงจัง

“ถ้าหากเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ เช่นนั้นได้แต่เริ่มจากตรงนี้” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างขึงขัง

“ก็ได้ ข้าจะไปสำรวจสถานที่อีกรอบ” เฒ่าเฮยเห็นดังนั้น ได้แต่พยักหน้า ถูกต้องแล้ว ด้วยพลังของลู่เซิ่งไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจสร้างการคุกคามต่อผู้เป็นนาย ทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างกันหลายระดับ ผู้เป็นนายต่อให้ยืนนิ่งๆ ให้เขาทุบตี ก็ทำลายเยื่อดำไม่ได้

“ไม่ถูกต้อง! เจ้ากำลังโกหก!” ทันใดนั้น เฒ่าเฮยสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน หมุนตัวพุ่งใส่ลู่เซิ่ง

“ข้าจะฆ่าเจ้า!”

เขามีสีหน้าคลุ้มคลั่ง ฝ่ามือเหมือนจะงอยปากนกอินทรี พุ่งใส่ทรวงอกลู่เซิ่งเหมือนสายฟ้าแลบ

ฟู่ม…!

เสียงแหวกอากาศดังกึกก้อง ในฝ่ามือชายชราปรากฏเยื่อดำชั้นหนึ่ง รอบๆ มีเงาลวงของขนนกปีกสีดำโผล่ขึ้นมา กระแทกฝ่ามือไปทางทรวงอกลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งไม่ทันครุ่นคิดว่าเกิดความผิดพลาดอะไร ตอนนี้เขาไม่อาจใช้ปราณภายในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน มีแค่ปราณหยินหยางขวดสมบัติซึ่งเป็นปราณเข็มทิ่มแทงฝืนปรับการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ไม่อาจต้านทานการโจมตีอย่างกะทันหันของเฒ่าเฮยได้

ด้วยพลังระดับตรีลักษณ์เป็นอย่างน้อยของอีกฝ่าย หากเกิดโดนกระแทก ไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส!

หัวสมองของเขาขาวโพลน ร่างถอยหลังด้วยความเร็วสูง แต่อีกฝ่ายเร็วเกินไป เขาในตอนนี้ไม่มีปราณภายในที่แข็งแกร่ง หลบไม่พ้น ได้แต่มองดูฝ่ามือสีดำเข้าใกล้ทรวงอกตนอย่างรวดเร็ว

ยิ่งมายิ่งใกล้ ยิ่งมายิ่งเร็ว

ครืด!

ชั่วพริบตานั้น เสียงเสียดสีรุนแรงที่แหลมคมสุดขีดพลันดัง

เงาคนสีเขียวพร่ามัวสายหนึ่งแวบขึ้นด้านหลังเฒ่าเฮย มือข้างหนึ่งคว้าไหล่เขาไว้

“อีกาดำ (เฮยยา) เจ้าช่างบังอาจนัก!”

ร่างกายที่พุ่งโถมเข้ามาของเฒ่าเฮยพลันหยุดชะงัก เหมือนถูกอะไรเกี่ยวไว้ มือของเขาห่างจากเสื้อผ้าตรงหน้าอกลู่เซิ่งไม่ถึงนิ้ว แต่ว่าระยะห่างไม่ถึงหนึ่งนิ้วนี้กลับกลายเป็นร่องแยกที่ไม่อาจก้าวข้าม

“ซั่งหยาง…!” เฒ่าเฮยค่อยๆ ก้มหน้า มองหน้าอกของตนเองด้วยสายตาแข็งทื่อ

ตรงนั้นซึ่งเดิมทีด้านในไม่มีสิ่งใด ตอนนี้มีตะขอสีเงินขนาดใหญ่ส่งแสงแวววาวอยู่

ซู่… รอยเลือดเล็กๆ ปรากฏขึ้นรอบๆ ตะขอนั้น

“ไว้… ไว้ชีวิต…” เฒ่าเฮยเบิกตาโต เหมือนกับกำลังกายทั่วร่างหดหายไปอย่างรวดเร็ว

ตูม!”

พริบตาเดียวร่างกายเขาเหมือนโดนลูกระเบิด ระเบิดแหลกออกไป

ไม่มีเศษเลือดเนื้อ ไม่มีเศษกระดูก มีแค่ขนสีดำกลุ่มใหญ่กระจายออกมา จากนั้นพุ่งไปยังที่ไกล

แต่ออกห่างไปได้ไม่เท่าไหร่ ท่ามกลางขนสีดำทั้งหมดก็มีตะขอสีเงินปรากฏขึ้นพร้อมกัน ตูมๆๆ!

ขนสีดำทั้งหมดระเบิด แตกกระจาย กลายเป็นจุดดำเต็มฟ้า

ซั่งหยางจิ่วหลี่ยืนอยู่บนดาดฟ้า สีหน้าเย็นชา แฝงความดูแคลน ที่ปรากฏตัวพร้อมกับเขา ยังมีบุรุษวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง

บุรุษผู้นั้นใบหน้าเฉยชา สวมเสื้อคลุมสีขาว ถือพู่กันเหล็กยาวครึ่งหมี่เล่มหนึ่ง

“แม้จวนอู๋โยวเทียบกับพวกเราไม่ได้ แต่อีกาดำเป็นข้ารับใช้ของผู้ประกอบพิธี เจ้าไม่ควรฆ่าเขา พวกเรากับจวนอู๋โยวเพาะความแค้นกันเช่นนี้ไม่มีความหมาย”

ซั่งหยางจิ่วหลี่กลอกตามองบุรุษผู้นั้น ไม่ได้พูดอะไร

บุรุษผู้นั้นมองลู่เซิ่ง ดวงตาปรากฏความมุ่งร้าย เอ่ยว่า

“เพื่อค่ายพรรคของคนธรรมดา เจ้าควบคุมสถานการณ์ใหญ่ได้หรือไม่ได้กันแน่ หรือเหตุผลเหล่านี้มารดาของเจ้าไม่ได้สั่งสอนหรือ”

“ข้าซั่งหยางจิ่วหลี่กระทำเรื่องใด ท่านนับเป็นตัวอะไร กล้ามาสั่งสอนข้า!?” ซั่งหยางถลึงตา บนตัวแผ่ความดุร้าย “ยังปากมากอีกจะฆ่าท่านไปด้วย!”

“เจ้า!?” ชายวัยกลางคนคับข้องใจ เขานึกไว้แล้วว่าถ้าตนมา อีกฝ่ายจะต้องไม่พอใจแน่ กลับคิดไม่ถึงว่าท่าทีของจิ่วหลีจะเลวร้ายถึงขั้นนี้ เขาเป็นน้าแท้ๆ ของนางนะ!

“คำนับใต้เท้าจิ่วหลี่” ลู่เซิ่งค่อยเข้าไปกล่าวด้วยความเคารพ

ซั่งหยางจิ่วหลี่เป็นอัจฉริยะอันดับสองแห่งตระกูลซั่งหยาง ความน่าสะพรึงของพลัง แข็งแกร่งกว่าผู้ประกอบพิธีไม่น้อย กล้าไปหาตัวผู้คุมจัตุรัสแดงเพื่อพูดคุยต่อหน้า ระดับชั้นเช่นนี้ ระดับพันธนาการไม่อาจวัดได้อีกแล้ว

ต้องเป็นระดับสัตตะลักษณ์ จนถึงขั้นสูงสุดของระดับสัตตะลักษณ์

ดังนั้นพอลู่เซิ่งพบว่าตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องการเวลารักษา จึงให้คนเขียนจดหมายไปมอบแก่ซั่งหยางจิ่วหลี่ทันที

ในจดหมายพูดถึงความยุ่งยากที่อาจเจอในครั้งนี้ นับว่าดูท่าทีของตระกูลซั่งหยาง

คิดไม่ถึงอัจฉริยะระดับสุดยอดผู้นี้จะมาเอง หนำซ้ำยังสังหารเฒ่าเฮยที่อยู่ข้างผู้ประกอบพิธีด้วยกระบวนท่าเดียว

ตระกูลขุนนางและมารปีศาจต่างจากเขา ระหว่างพวกเขาเข่นฆ่าเป็นตาย ถ้าไม่ใช่มีความแตกต่างด้านพลังมากไป เช่นนั้นในเวลาสั้นๆ ไม่อาจฆ่าอีกฝ่าย ได้แต่เข้าสู้ศึกระยะยาว

ซั่งหยางจิ่วหลี่กำจัดเฒ่าเฮยระดับตรีลักษณ์ด้วยกระบวนท่าเดียว เห็นได้ชัดว่า พลังของนางบรรลุขั้นแข็งแกร่งกว่ามากแล้ว

“ลู่เซิ่ง สิ่งที่เจ้าพูดล้วนเป็นความจริงหรือ” ซั่งหยางจิ่วหลี่ถามด้วยใบหน้าจริงจัง

ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างขึงขัง

“ไม่มีคำโกหกแน่นอน!” ตอนนี้เขาแสร้างกล่าวอย่างชอบธรรม “ความจริงตอนนั้นข้าน้อยบาดเจ็บเพราะต้นไม้กับหินก้อนใหญ่ที่ลอยมา พอกลับมาก็รู้สึกผิดปกติ เสียงดังระดับนั้นจะต้องมีคนทำศึกใหญ่แน่ จึงเขียนจดหมายให้บริวารมอบแก่ทางท่าน เฒ่า… เฒ่าเฮยผู้นี้ถูกท่านฆ่าแล้ว จะมีปัญหาอะไรหรือไม่”

“แค่ทาสสวะเฒ่าของจวนอู๋โยวคนเดียว สังหารก็สังหาร มีปัญหาก็ให้ประมุขจวนของพวกเขามาหาข้าเอง!” ซั่งหยางจิ่วหลี่เอ่ยอย่างหงุดหงิด “เจ้าว่าผู้ประกอบพิธีแซ่ไป๋ทำศึกใหญ่กับคนอื่น นอกจากข้าแล้ว แดนเหนือยังมีใครลงมือกับเขาได้ ผู้นำอะไรนั่นของพันธมิตรบู๊หรือ”

“ข้าน้อยไม่ทราบ” ลู่เซิ่งส่ายหน้า

“ไม่ทราบก็แล้วไป จวนอู๋โยวกล้าคุกคามคนของข้าซั่งหยางจิ่วหลี่ ไม่รู้จักที่ตาย! เรื่องนี้พวกเขาไม่ถามก็แล้วไป ถ้ากล้าบุกมาจริงๆ ช่วงนี้ข้ากำลังขาดเนื้อมาขัดฟันพอดี!” สีหน้าซั่งหยางจิ่วหลี่ค่อยๆ เย็นเยียบ “ใครมาผู้นั้นตาย!”

จิตสังหารยิ่งใหญ่นัก

ลู่เซิ่งตื่นตระหนก ตอนแรกเขาเห็นความดุร้ายหมายขวัญของซั่งหยางจิ่วหลี่ ครั้งนี้ส่งจดหมายไป เพียงคิดรายงานนาง อย่างไรก็เป็นหัวหน้า เรื่องใหญ่แบบนี้ต้องแจ้งก่อน

คาดไม่ถึงนางจะลงมือด้วยตัวเอง

“จิ่วหลี ที่เจ้าเป็นตัวแทนคือตระกูลซั่งหยาง ไม่ใช่ตัวเจ้าเอง! เจ้าไม่ได้อยู่ที่รัฐมหาเกียรตินะ!” ชายวัยกลางคนผู้นั้นสุดท้ายอดส่งเสียงไม่ได้

“ไสหัวไป!”

ซั่งหยางจิ่วหลี่หมุนตัวไปประทับฝ่ามือใส่หน้าอกเขา

ตูม!

ตะขอสีเงินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางหน้าอกชายวัยกลางคน แสงเงินระเบิดออกทันที

ชายวัยกลางคนกระเด็นออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่ กระแทกกับกราบเรือโลหะบนดาดฟ้า กราบเรือยุบเป็นเส้นโค้งที่สะดุดตา

ซั่งหยางจิ่วหลี่ชักฝ่ามือขวากลับมา คิ้วขาวดุร้าย “ไปเถอะ ของที่เจ้าว่าอยู่ใด” นางมองลู่เซิ่ง

“ข้าน้อยนำติดตัวมาด้วย” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเคารพ ล้วงหยิบสิ่งของสีดำเล็กๆ ชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “นี่เป็นของที่ข้าน้อยเก็บได้จากสนามรบในหมู่บ้าน”

นั่นเป็นกระถางติ่งทรงกลมสีดำสนิทที่ขนาดเล็กยิ่ง ผิวสลักลวดลายถี่หยิบเหมือนตัวหนังสือ รอบๆ มีหกหู ขนาดเท่าไข่ไก่ ผิววัสดุไม่ใช่ทองไม่ใช่หยก เป็นกระถางติ่งใบเล็กที่จัวเหวินอวี่คิดจะแลกเปลี่ยนกับลู่เซิ่งในตอนแรก

ของสิ่งนี้ได้มาจากปากศพของความประหลาดลี้ลับ ว่ากันว่าภายในแฝงปราณศพระดับสูงสุดขีด

“คือสิ่งนี้หรือ!?” ซั่งหยางจิ่วหลี่พอเห็นของสิ่งนี้ สองตาเป็นประกาย รีบชิงไปจากมือลู่เซิ่ง

“ไม่เลวๆ เจ้าทำได้ดีมาก! ภายหลังถ้ามีของแบบนี้อีก จงจำไว้ว่าให้ส่งมาทันที!”

“ใต้เท้ายินดีก็ประเสริฐ!” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทางจวนอู๋โยว…”

“ข้าใกล้จะเลื่อนระดับแล้ว แค่จวนอู๋โยว มอบความกล้าให้เขาสิบเท่า พวกเขากล้าหรือ” ซั่งหยางจิ่วหลี่โบกมืออย่างไม่แยแส ท่าทีไม่สนใจสถานการณ์ใหญ่ของตระกูลซั่งหยางแม้แต่น้อย

แต่ลู่เซิ่งชมชอบท่าท่การไม่สนใจสถานการณ์ใหญ่แบบนี้

……………………………………….