บทที่ 158.1 กินเกลี้ยง โดย ProjectZyphon
แม่นางน้อยเริ่มจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้นแล้ว นางไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัว กลับยังเต็มไปด้วยความรอคอยอันเดียงสา รอให้อาจารย์อาน้อยเหยียบอยู่บนกระบี่บิน ฟิ้วทีเดียวก็พุ่งไปไกลถึงสุดขอบฟ้าสุดมหาสมุทร พลิ้วกายมาอยู่ข้างกายนาง ได้บอกกับทุกคนว่าเขาก็คืออาจารย์อาน้อยของตน
ส่วนอันตรายและจิตสังหารที่ซ่อนแฝงอยู่ในวันนั้น หลี่เป่าผิงไม่ได้นึกถึงมากนัก อย่างไรซะต่อให้แม่นางน้อยจะฉลาดแค่ไหนก็ไม่มีทางคิดได้ถึงจิตใจที่ชั่วร้ายของคนซึ่งไม่เคยถูกเขียนบรรยายไว้ในหน้าหนังสือ ต่อให้นางคิดจนสมองเล็กๆ แตกก็คิดไม่ถึงว่าคลื่นใต้น้ำที่แฝงไว้ด้วยจิตสังหารอันเย็นชาโหดร้ายเหล่านั้นจะซ่อนอยู่เบื้องหลังกวานสูงเข็มขัดกว้าง
แม่นางน้อยที่เพิ่งจะได้เผชิญโลกกว้างเพียงแค่เลือกที่จะมั่นในตัวคนคนหนึ่งสุดจิตสุดใจอย่างไร้เดียงสา
การที่ซิ่วไฉเฒ่าซึ่งนอนหลับอยู่บนหลังของเด็กหนุ่มเลือกที่จะเปิดเผยความลับสวรรค์ เกรงว่าคงเพราะอยากรักษาความน่ารักไร้เดียงสาของวัยเยาว์ที่ได้มาไม่ง่ายนี้เอาไว้
หลี่เป่าผิงเอ่ยเตือนเสียงเบา “อาจารย์อาน้อย หากถึงเวลานั้นท่านเถียงชนะคนอื่นไม่ได้ แถมยังสู้คนอื่นไม่ได้ พวกเราสามารถเผ่นหนีได้นะ”
เฉินผิงอันยิ้ม “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ขอแค่เจ้าไม่ทิ้งข้าไว้ก็พอ”
ภายหลังเฉินผิงอันพาหลี่เป่าผิงเดินเข้านอกออกในร้านเบ็ดเตล็ดอีกหลายร้าน หาซื้อรองเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ให้กับเด็กทั้งสาม ตัวเฉินผิงอันเองไม่ได้ซื้อไว้ ไม่ใช่ว่าเขาขี้เหนียวกับเรื่องนี้ แต่เป็นเพราะไม่ชินที่จะสวม ตอนที่ทดลองสวมดูก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ถึงขนาดเดินไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ยังซื้อชุดใหม่ให้เด็กทั้งสามอีกคนละสองชุด จ่ายเงินราวกับน้ำไหล หากจะบอกว่าเฉินผิงอันไม่เสียดายเลยแสดงว่าโกหกแน่ ทว่าเงินที่ต้องจ่ายจะอย่างไรก็ต้องจ่าย
หลี่เป่าผิงยังคงเลือกชุดสีแดงสด ไม่เพียงแต่มองดูแล้วเป็นมงคล เฉินผิงอันยังเคยได้ยินแม่นางน้อยบ่นมาตั้งนานแล้วว่า ดูเหมือนตอนเด็กจะมีนักพรตพเนจรคนหนึ่งเดินทางผ่านถนนฝูลวี่แล้วเคยทำนายชะตาชีวิตให้สามพี่น้องตระกูลหลี่ ตอนที่คำนวณตัวอักษรแปดตัวให้กับหลี่เป่าผิงเคยบอกว่า ทางที่ดีที่สุดวันหน้าแม่นางน้อยควรสวมชุดสีแดงเพราะจะช่วยหลีกเลี่ยงความชั่วร้ายได้ ไม่ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ตระกูลหลี่จะรักและเอ็นดูคุณหนูน้อยคนนี้แค่ไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้กลับไม่เคยเว้นที่ว่างให้ปรึกษา ยิ่งหลี่เป่าผิงเติบโตก็ยิ่งกลัดกลุ้ม ทว่าก็ยังคงทำตามแต่โดยดี คราวก่อนตอนอยู่จุดพักม้าเมืองหงจู๋ได้รับจดหมายจากทางบ้านสามฉบับ ตั้งแต่บิดามาจนถึงพี่ชายสองคนอย่างหลี่ซีเซิ่ง หลี่เป่าเจินต่างก็เตือนแม่นางน้อยเหมือนกันหมดว่า ห้ามเปลี่ยนไปสวมชุดอื่นเพราะต้องการความแปลกใหม่เด็ดขาด
แม่นางน้อยมักจะมากระซิบกับเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวว่า วันหน้าหากเจอนักพรตตัวเหม็นผู้นั้นจะต้องอัดเขาให้น่วมสักที
ตอนที่เดินซื้อของ ซิ่วไฉเฒ่ายังคงนอนหลับสบายใจเฉิบ เฉินผิงอันจึงได้แต่แบกเขาไว้บนหลังตลอดเวลา ยังดีที่อีกฝ่ายตัวไม่หนัก น่าจะไม่ถึงหนึ่งร้อยจิน (ประมาณห้าสิบกิโลกรัม) เฉินผิงอันไม่รู้จริงๆ ว่าในท้องของอาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้บรรจุความรู้มากมายขนาดนั้นไว้หมดได้อย่างไร?
ระหว่างที่เดินกลับโรงเตี๊ยมชิวหลู หีบหนังสือของหลี่เป่าผิงบรรจุของเต็มแน่น ทว่าตลอดระยะทางหลายพันลี้ที่เดินมานี้ แม้ว่ายิ่งนานวันแม่นางน้อยจะยิ่งผอมดำ แต่ร่างกายกลับแข็งแรง พละกำลังกายและกำลังใจต่างก็ดีเยี่ยม เฉินผิงอันจึงไม่เป็นกังวลว่าน้ำหนักเท่านี้จะทำร้ายร่างกายของแม่นางน้อย
มาถึงซอยเมฆคล้อยน้ำไหล ยังคงเป็นภาพมหัศจรรย์ที่เมฆหมอกลอยฟุ้งดังเดิม เฉินผิงอันมองอยู่หลายครั้งก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ แม้ว่าใน ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่นักพรตเต๋าตาบอดมอบให้ก่อนจากจะวาดภาพประหลาดที่น่าตกตะลึงเอาไว้มากมาย แต่ก็ยังไม่อาจสร้างความสะท้านใจได้เท่ากับคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริง
มาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมที่ติดภาพเทพทวารบาลหลากสีสูงใหญ่สองตน ผู้เฒ่าพลันตื่นขึ้นมา วินาทีที่เท้าทั้งสองสัมผัสพื้น บนหลังก็มีห่อสัมภาระห่อนั้นปรากฏขึ้น ในมือถือก้อนเงินหนึ่งก้อน ซิ่วไฉเฒ่าเห็นใบหน้าเด็กสองคนเต็มไปด้วยความมึนงงสงสัยก็กล่าวยิ้มๆ “ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา ข้ายังต้องไปอีกหลายแห่ง จำเป็นต้องมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเรื่อยๆ ไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเนิบช้า “เฉินผิงอัน ชุยฉานครึ่งตัวผู้นั้นแบ่งแยกดีเลวได้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่เด็ดขาดชัดเจนนัก แต่ก็พอจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร วันหน้าขอมอบให้เจ้าแล้ว คำว่าสั่งสอนด้วยคำพูดทำตัวเป็นแบบอย่างนั้น ทำตัวเป็นแบบอย่างสำคัญกว่าคำพูด และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้าให้เขามาอยู่ข้างกายเจ้า”
หลี่เป่าผิงขมวดคิ้ว “เจ้าชุยฉานผู้นั้นคือคนเลว ทำไมท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งถึงชอบปกป้องเขาอยู่เรื่อย?”
“ช่วยไม่ได้นี่นา”
ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกจนใจเล็กน้อย ได้แต่ยิ้มแล้วอธิบายอย่างอดทน “ข้าสลายตราผนึกบนร่างเขาออกไปแล้ว หากครั้งหน้าเจ้ายังรู้สึกว่าเขาสมควรถูกฆ่าก็ไม่ต้องสนใจว่าตาแก่อย่างข้าจะคิดอย่างไร ควรจะทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น การที่ข้าคอยให้การปกป้องเขาอยู่อย่างนี้ หนึ่งเพราะการที่เขาเดินทางผิด สาเหตุเกินครึ่งล้วนเป็นเพราะในอดีตข้าสั่งสอนเขาผิดๆ ไม่ควรที่จะปฏิเสธเขาทุกเรื่องอย่างหนักแน่นถึงเพียงนั้น สร้างความผิดพลาดให้ชุยฉานกลายเป็นคนที่สรุปทุกอย่างตามอำเภอใจตัวเอง”
ผู้เฒ่าสีหน้าเหนื่อยล้า เสียงทุ้มต่ำ “แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนั้นข้าแบ่งเวลามาไม่ได้จริงๆ มีการถกเถียงครั้งหนึ่งที่ต้องเอาชนะให้ได้ จึงไม่ทันมีเวลามาอธิบายต้นสายปลายเหตุให้เขาฟังดีๆ ไม่ได้ช่วยเขาวิเคราะห์อนุมานไปทีละนิด ดังนั้นเรื่องในภายหลังจึงเป็นแบบนั้น เจ้าเด็กนี่พอโมโหก็ทรยศต่ออาจารย์ ทิ้งเรื่องเละเทะกองใหญ่ไว้ข้างหลัง หม่าจานก็คือหนึ่งในนั้น อีกอย่างทางเส้นใหม่ที่เขาเลือก หากสามารถเดินได้มั่นคงทุกย่างก้าว ก็มีหวังว่าจะประทานบุญคุณให้กับคนในโลกไปอีกร้อยปีพันปีจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถช่วยเพิ่มควันธูปอีกหนึ่งก้าวให้กับระบบลัทธิขงจื๊อของพวกเรา…บัญชีเลอะเลือนที่เป็นทั้งกิจการยิ่งใหญ่และเป็นทั้งเรื่องน่าอับอายนี้ วันหน้าเมื่อพวกเจ้ามีโอกาสเดินสู่ที่สูงทอดสายตามองไปไกล ไม่แน่ว่าก็อาจจะได้พบเจอเหมือนกัน ถึงเวลานั้นอย่าทำแบบข้า จงตรึกตรองให้มาก อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ต้องมีความอดทน โดยเฉพาะกับคนข้างกาย อย่าเห็นเป็นเงาดำใต้โคมไฟ (เปรียบเปรยว่ามองข้ามคนใกล้ชิดหรือเรื่องใกล้ตัว) ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียใจมาก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ฝ่ามือที่ผอมแห้งของผู้เฒ่าก็ลูบลงบนศีรษะของเฉินผิงอัน แล้วจึงลูบลงบนศีรษะเล็กๆ ของหลี่เป่าผิง “พวกเจ้าน่ะ อย่าคิดจะรีบร้อนเติบโต เพราะเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เข้าจริงๆ แล้ว เรื่องที่ไม่อาจทำตามใจปรารถนาจะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งน้อยนักที่จะมีเพื่อนอยู่ข้างกายตลอดเวลา เสื้อผ้ารองเท้านั้นยิ่งใหม่ยิ่งดี แต่เพื่อนกลับยิ่งเก่ายิ่งดี ทว่าเก่าแล้วแก่แล้ว ก็ย่อมมีวันที่ต้องแก่ตายไป”
หลี่เป่าผิงเอ่ย “เทพเซียนบนภูเขาที่เป็นผู้ฝึกลมปราณอย่างหลินโส่วอี หากฝึกตนได้สำเร็จก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นร้อยปี หรืออาจถึงพันปีเชียวนะ!”
ผู้เฒ่าถามยิ้มๆ “แล้วหลังจากหนึ่งร้อยปี หนึ่งพันปีล่ะ?”
หลี่เป่าผิงถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อน?”
ผู้เฒ่าถูกความไร้เดียงสาของแม่นางน้อยหยอกให้อารมณ์ดี หลุดหัวเราะพรืด “งั้นมาพูดถึงในทางกลับกัน แม่นางที่ดีเยี่ยมอย่างเจ้าเป่าผิงน้อยนี้ หากวันหนึ่งเจ้าไม่อยู่บนโลกมนุษย์แล้ว เพื่อนของเจ้าคงเสียใจมากๆ อย่างน้อยตาแก่อย่างข้าก็ต้องเสียใจจนร้องไห้โฮ ถึงเวลานั้นแม้แต่เหล้าก็คงไม่อยากดื่ม”
หลี่เป่าผิงพลันกระจ่างแจ้ง พยักหน้ารับราวไก่จิกข้าวเปลือก “ใช่ๆๆ ใครก็ห้ามตาย!”
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือส่งเงินก้อนนั้นออกไป เฉินผิงอันมองมันแล้วถาม “คงไม่ใช่แมลงเงินหรอกกระมัง? ชุยฉานก็มีอยู่ก้อนหนึ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้ายิ้ม “ของเด็กเล่นแบบนั้นก็มีแต่ชุยฉานตอนเด็กเท่านั้นที่ชื่นชอบ รู้สึกว่าน่าสนใจ หากเปลี่ยนมาเป็นชุยฉานตอนแก่ ขนาดจะมองให้นานหน่อยเขายังคร้านจะทำด้วยซ้ำ วัตถุที่เหมือนก้อนเงินชิ้นนี้คือตัวอ่อนกระบี่ที่ไม่มีเจ้าของ เมื่อเทียบกับชิ้นที่ชุยฉานซ่อนไว้ในวัตถุฟางชุ่นแล้วก็ยังมีระดับสูงกว่ามาก ประเด็นสำคัญคือมันมีที่มายิ่งใหญ่ วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสได้ไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจะต้องพากันไปที่ภูเขาสุ้ยซานสักรอบ ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้ดื่มเหล้าเลิศรสของใครบางคนสักครั้ง เหล้าผลไม้ของภูเขาสุ้ยซานรสชาติยอดเยี่ยมที่สุดในโลกเลยล่ะ!”
ซิ่วไฉเฒ่าชูนิ้วโป้ง “แม้แต่เทพเซียนก็ยังดื่มเหล้าเมามาย”
เฉินผิงอันรับก้อนเงินมา
ผู้เฒ่าเอ่ยเย้า “นั่นแน่ ก่อนหน้านี้ไม่ยอมเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าพูดจนปากแทบฉีกก็ยังไม่พยักหน้าตอบรับ ทำไมตอนนี้ถึงรับมันไว้แล้วล่ะ”
เฉินผิงอันตอบอย่างกระอักกระอ่วน “รู้สึกว่าหากยังปฏิเสธความหวังดีจะทำร้ายความรู้สึกกันมากเกินไป”
หลี่เป่าผิงเอ่ยเบาๆ “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ก็เพราะว่าของชิ้นนี้เหมือนเงินไงล่ะ อาจารย์อาน้อยจะไม่ชอบได้หรือ?”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง
หลี่เป่าผิงกุมหัว ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “เป่าผิงน้อย เจอกันครั้งหน้าไม่ต้องเรียกข้าว่าท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอะไรแล้ว เจ้าคือลูกศิษย์ของฉีจิ้งชุน ข้าคืออาจารย์ของฉีจิ้งชุน เจ้าควรเรียกข้าว่าอะไร?”
หลี่เป่าผิงตะลึงงัน “อาจารย์ปู่? อาจารย์ตา?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ายิ้มตาหยี “แบบนี้ถึงจะถูก เรียกได้ทั้งสองอย่าง เอาตามที่เจ้าชอบ”
แม่นางน้อยรีบกุมมือคารวะ โค้งตัวลงต่ำมาก เพียงแต่ลืมไปว่าด้านหลังตัวเองยังแบกหีบหนังสือที่ค่อนข้างหนักเอาไว้ ศูนย์ถ่วงร่างกายไม่มั่นคงจึงเกือบจะล้มคะมำหน้าทิ่มพื้น เฉินผิงอันต้องรีบเขาไปช่วยยกหีบหนังสือใบน้อยให้นาง
ผู้เฒ่ายืดตัวตรง ยืนนิ่งไม่ขยับ รับการคำนับครั้งนี้ไว้อย่างตรงไปตรงมา
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็ขยับห่อสัมภาระให้เข้าที่ ถอนหายใจหนึ่งที “ตัวอ่อนกระบี่มีชื่อว่า ‘เสี่ยวเฟิงตู’ จงรับไว้อย่างสบายใจ โชคชะตาและผลกรรมของตัวอ่อนกระบี่ก่อนหน้านี้ล้วนถูกตัดขาดจนสะอาดเอี่ยมมานานแล้ว ส่วนข้อที่ว่าจะใช้มันอย่างไรก็ง่ายมาก แค่ใช้ใจอย่างเดียวเท่านั้น เรือมาถึงท่าย่อมต้องจอด มันจะรับเจ้าเป็นนายด้วยตัวเอง หากไม่ใช้ใจ ต่อให้เจ้าประคองมันไว้ในอุ้งมือหนึ่งหมื่นปี มันก็ไม่มีทางตื่นขึ้นมา ยังสู้ทองแดงหรือเหล็กผุๆ สักชิ้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันเก็บมันไว้ด้วยความระมัดระวัง
ซิ่วไฉเฒ่าเห็นแล้วก็พยักหน้า “ไปล่ะ”
ผู้เฒ่าหมุนตัวจากไป
หลี่เป่าผิงเอ่ยเรียกด้วยความสงสัย “อาจารย์ตา?”
ผู้เฒ่าหันกลับมาถามยิ้มๆ “ทำไมรึ?”
แม่นางน้อยชี้ไปที่ท้องฟ้า “อาจารย์ตา ท่านจะเดินทางไกลไม่ใช่หรือ? ทำไมไม่ฟิ้วหนึ่งทีแล้วหายตัวไปล่ะ?”
ซิ่วไฉเฒ่าหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ไหว พยักหน้ารับทั้งที่รอยยิ้มยังแต้มใบหน้า เสียงสวบดังหนึ่งครั้งก็หายตัวไปจริงๆ
เฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงต่างก็เงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย บนนั้นไม่มีเงาร่างของผู้เฒ่าอยู่แล้ว
แต่แท้จริงแล้วหน้าตรอกเมฆคล้อยน้ำไหลที่อยู่ติดกับถนนกลับมีซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ เขาหันหน้ากลับมามองหน้าประตูโรงเตี๊ยมชิวหลู ก่อนจะเดินจากไปอย่างเชื่องช้า
……
กลับเข้ามาในลานบ้าน สตรีร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บนม้านั่งหิน กำลังเงยหน้ามองม่านฟ้า มุมปากยกยิ้มอ่อนโยน
ในลานบ้านแห่งเดียวกัน ใกล้ในระยะประชิด อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยต่างก็ไม่อาจรับรู้ได้ถึงการคงอยู่ของวิญญาณกระบี่ท่านนี้ ทุกครั้งที่นางปรากฏตัวจะต้องมีการกั้นขวางลมปราณระหว่างสองฝ่าย เป็นเหตุให้เด็กหนุ่มเด็กสาวมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่อาจรับสัมผัสถึงนางได้เลย
หลี่เป่าผิงเอ่ยทักทายแล้วก็เดินเอาของไปวางในห้อง เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายวิญญาณกระบี่
สตรีร่างสูงใหญ่ยื่นมือออกมา ในฝ่ามือก็มีกระบี่โบราณที่แขวนอยู่ใต้สะพานมาอย่างยาวปรากฎขึ้น นางเอ่ยเข้าประเด็นทันที “ในเมื่อเรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลง ข้าเองก็ควรปรับตัวตามไปด้วย เดิมทีพวกเราตกลงกันไว้ที่หนึ่งร้อยปี ตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน แต่หลังจากนี้ข้าจะเพิ่มความเร็วในการขัดเกลาตัวกระบี่ให้มากขึ้น เพื่อให้มันกลับคืนสภาพดั้งเดิมได้สักเจ็ดแปดส่วนภายในเวลาหกสิบปี นี่หมายความว่าแท่นสังหารมังกรชิ้นนั้นของเจ้ายังไม่พอ ไม่พอมากๆ”
เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ แท่นสังหารมังกรขนาดเล็กที่จู่ๆ ก็มาปรากฏในลานบ้านตัวเองชิ้นนั้นถูกตนแบกไปไว้ที่ร้านตีเหล็กแล้วไม่ใช่หรือ
นางยิ้มบางๆ “ยังจำได้หรือไม่ว่ามีครั้งหนึ่งที่เจ้านั่งฝันอยู่บนสะพาน เคยตกลงไปในน้ำพร้อมตะกร้าไม้ไผ่ที่แบกอยู่ด้านหลัง? อันที่จริงครั้งนั้นข้าเอาแท่นสังหารมังกรไปเก็บไว้ ภายหลังหินที่เจ้านึกว่าเป็นแท่นสังหารมังกรคือหินธรรมดาที่ข้าใช้เวทบังตาอำพราง อืม จะบอกว่าธรรมดาก็ไม่ค่อยถูกต้องนัก ควรจะเรียกว่าเป็นหินดีงูที่มีคุณภาพดีที่สุดชิ้นหนึ่ง มากพอจะทำให้สัตว์เลื้อยคลานตัวน้อยกลายมาเป็น…สัตว์เลื้อยคลานตัวใหญ่? ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายหากต้องการเปลี่ยนเวลาหนึ่งร้อยปีเป็นประมาณหกสิบปีก็คือ อย่างน้อยข้าจำเป็นต้องใช้แท่นสังหารมังกรขนาดใหญ่ในภูเขาลูกนั้นจนหมดเกลี้ยง บางทีอาจไม่ต้องใช้หินทั้งหน้าผา แต่ก็ต้องเกินครึ่งแน่นอน ทว่าเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าย่อมมีวิธีตบตาคนอื่น หากไม่ได้จริงๆ ก็โยนตำราลับสักสองสามเล่มให้กับพวกนักพรตสำนักการทหารของศาลลมหิมะ เขาเจินอู่ ฯลฯ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าการค้าครั้งนี้ไม่คุ้มค่า ไม่แน่ว่าอาจจะดีใจจนหลั่งน้ำตา แต่ละคนกุมหัวร่ำไห้อย่างซาบซึ้งใจก็เป็นได้”
เฉินผิงอันเหมือนกำลังอ่านหนังสือสวรรค์ที่อ่านอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จึงได้แต่เหม่อลอยไร้คำโต้ตอบ
—–