ตอนที่ 163 เหน็บแนม

แม่สาวเข็มเงิน

สีหน้าของฉือเชียนเชียนเปลี่ยนไปจนดูไม่ได้ นางจ้องเจียงป่าวชิงเขม็ง

ในยามปกติ ถ้าหากว่ามีคนหยาบคาบกับนางเช่นนี้ นางก็คงจะใช้ใครสักคนให้จับตัวฝ่ายนั้นไปตั้งนานแล้ว

เจียงป่าวชิงไม่สนใจฉือเชียนเชียน  ฉือเชียนเชียนเป็นคนที่ชอบแอบอ้างบารมีของคนอื่น ตอนนี้นางจะประมาทอีกได้อย่างไรล่ะ

เจียงป่าวชิงเอ่ยถามเกิ่งจื่อเจียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หมอเกิ่ง ข้าพูดสิ่งที่สามารถพูดได้หมดแล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ ?”

เกิ่งจื่อเจียงมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าลำบากใจ

เมื่อฉือเชียนเชียนเห็นว่ามีความลำบากใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเกิ่งจื่อเจียง นางก็ลุกลี้ลุกลนเป็นอย่างยิ่ง นางกลัวว่าเกิ่งจื่อเจียงจะถูกนางผู้หญิงโหดเหี้ยมพูดจากล่อมให้มอบตัวนางออกไป นางจึงกัดฟันแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเกิ่งจื่อเจียง “เกิ่งจื่อเจียง ข้า ฉือเชียนเชียนไม่เคยขอร้องใครมาก่อนในชีวิตนี้ ข้า… ข้าขอร้องเจ้า ช่วยข้าเถอะนะ”

ทว่าเจียงป่าวชิงที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นอย่างไร้ความเมตตา “เหอะ! เจ้าพูดเหมือนกับว่าการที่เจ้าขอร้องคนอื่นเป็นสิ่งที่เจ๋งมากอย่างนั้นแหละ ใครเขาสนใจกันล่ะ!”

“เจ้า!” ฉือเชียนเชียนถูกเจียงป่าวชิงทำให้โมโหจนแทบจะหงายหลังอยู่รอมร่อ นางกัดฟันพูดขึ้น “ข้ากับเจ้าเรามีความเกลียดชังอันลึกซึ้งอะไรต่อกัน เจ้าถึงต้องการให้ข้าไม่สามารถมีชีวิตรอดเช่นนี้ ?”

เจียงป่างชิงส่งเสียงหัวเราะเยาะเล็กน้อย “แม่นางฉือ เหตุใดเจ้าถึงแยกแยะสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ไม่ได้ ? ไม่ใช่ข้าที่ต้องการให้เจ้าไม่สามารถมีชีวิตรอด แต่เป็นเจ้าต่างหากที่กำลังจะทำให้หมอเกิ่งที่เป็นคนใจดีอุตส่าห์เก็บเจ้ามาเลี้ยงไม่สามารถมีชีวิตรอดได้อีกต่อไป คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ  หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าการที่หมอเกิ่งรับเจ้ามาเลี้ยงนั้นเขาเสี่ยงมากแค่ไหน เจ้าดูเจ้าสิว่าเจ้าทำอะไรอีก ? พังข้าวของในห้อง ทั้งยังเรียกหาแต่หมอเกิ่ง  ทำไม การที่หมอเกิ่งช่วยเจ้าไว้นั้นกลับกลายเป็นว่าเขาติดค้างเจ้าอย่างนั้นรึ ? ให้ช่วยคนอย่างเจ้าเนี่ยน่ะรึ ? คุ้มตายล่ะ!”

ฉือเชียนเชียนตาร้อนผ่าว นางอดไม่ได้ที่จะตะคอกใส่เจียงป่าวชิง “ข้าถูกทำร้ายจนบ้านแตกสาแหรกขาดแล้ว เจ้าจะไม่ให้ข้าแสดงอาการโกรธหน่อยหรือ ? เหตุใดเจ้าถึงไร้ความเมตตาได้ถึงขนาดนี้ ?!”

เจียงป่าวชิงไม่รู้สึกใจอ่อนต่อฉือเชียนเชียนที่มักจะทำเหมือนว่าการทุ่มเทของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ นางจึงตีสีหน้าเย็นชาใส่อีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ “การที่เจ้าบ้านแตกสาแหรกขาดคือถูกคนอื่นทำร้ายอย่างนั้นสิ ? เจ้าไม่รู้อยู่แก่ใจหรืออย่างไร ? เสื้อผ้าที่เจ้าใส่กับอาหารที่เจ้ากินต่างแลกมาจากการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของพ่อเจ้าทั้งนั้น และการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเจ้าต่างก็กำลังกดขี่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น ตอนนี้พอกรรมตามสนองเจ้าแล้ว เจ้ากลับต้องการแสดงอาการโกรธ  ทำไม ? หมอเกิ่งเป็นคนบังคับให้เจ้าทำสิ่งเหล่านี้รึ ?”

ฉือเชียนเชียนล้มนั่งลงบนพื้น จากนั้นนางก็ร้องไห้ออกมาในที่สุด

เกิ่งจื่อเจียงเป็นคนใจอ่อนง่าย เมื่อเขาเห็นฉือเชียนเชียนร้องไห้ ศีรษะของเขาก็ใหญ่เหมือนถัง เขารีบเข้าไปพูดกล่อมนางทันที “แม่นางฉือ… อย่าร้องสิ ถ้าหากว่าเสียงของเจ้าดึงดูดผู้คนมาที่นี่ มันจะไม่ดีเอานะ”

ฉือเชียนเชียนได้ยินดังนั้น เสียงร้องไห้ของนางถึงจะเบาลง แต่นางยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ “ถึง ถึงอย่างไรเด็กที่แซ่เจียงคนนั้นก็ต้องการทรยศข้า!”

เจียงป่าวชิงถลึงตาใส่ฉือเชียนเชียน “เจ้าลองพูดคำว่าทรยศอีกครั้งสิ ?”

ถึงแม้ว่านางจะอายุยังน้อย แต่รูปลักษณ์ของนางกลับมีความงดงามไม่น้อยเลย ตอนนี้เมื่อนางถลึงตา หน้าตาของนางก็ดุดันขึ้นมา ท่าทางประหนึ่งผู้มีอำนาจที่ใครก็รุกรานไม่ได้ทำนองนั้น

ฉือเชียนเชียนรู้สึกหวาดกลัวจึงเช็ดมือด้วยหลังมือไปด้วยและพูดด้วยจิตใจที่พังทลายไปด้วย “ก็ได้ ข้าผิดไปแล้ว ไม่ใช่ทรยศ ไม่ใช่…”

เกิ่งจื่อเจียงถอนหายใจแล้วหันไปปรึกษากับเจียงป่าวชิงอย่างลองเชิง “แม่นางเจียง ไหน ๆ ก็ช่วยคนไว้แล้ว ข้าคิดว่าเอาแบบนี้แหละ ให้นางพักอยู่ที่บ้านข้าก่อนสักพัก ผ่านไปไม่กี่วันเมื่อสถานการณ์ผ่อนคลายลง ข้าค่อยพานางไปส่งที่บ้านญาติของนางที่รัฐจิ้นเอง”

ฉือเชียนเชียนพยักหน้าทันที

เจียงป่าวชิงหน้าตึง “หมอเกิ่งจะช่วยคนนิสัยอย่างนางไปทำไม ? หมอเกิ่งดูสิว่านางชอบพังข้าวของ  ไม่พอยังโหวกแหวกโวยวาย นี่หมอเกิ่งช่วยนักโทษหรือช่วยบรรพบุรุษกันแน่ ?”

ฉือเชียนเชียนตะโกนออกมาด้วยสภาพจิตใจที่พังทลาย “ข้าไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว ข้าเปลี่ยน… เปลี่ยนนิสัยก็ได้” นางกอดขาเกิ่งจื่อเจียง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ “เกิ่งจื่อเจียง  ไม่สิหมอเกิ่ง  หมอเกิ่งคนดี! ต่อไปข้าจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว ข้าเปลี่ยน ข้าจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่!”

นางร้องไห้จนน้ำมูกกระเด็นใส่ตัวเกิ่งจื่อเจียง

เกิ่งจื่อเจียงเองก็รู้สึกจิตใจพังทลายเช่นกัน “แม่นางฉือ เจ้าเปลี่ยนแล้ว แต่น้ำมูกของเจ้าเปื้อนเสื้อผ้าของข้าเช่นนี้ ข้ายังไม่ซักเสื้อผ้าชุดอื่น แบบนี้ข้าจะออกไปเจอผู้คนได้อย่างไร ?”

ฉือเชียนเชียนราวกับถูกชี้ทางสว่างอย่างไรอย่างนั้น นางปล่อยเกิ่งจื่อเจียงแล้วแทบจะกระโดดขึ้นมาอยู่รอมร่อ “หม่อเกิ่ง ข้าจะซักเสื้อผ้าให้เอง ข้าจะไปซักให้ประเดี๋ยวนี้เลย” พูดเสร็จนางก็วิ่งไปที่ริมบ่อน้ำที่มีเสื้อผ้าสกปรกวางอยู่ เพราะนางกลัวว่าถ้าไม่ไปตอนนี้ก็จะสายไป ส่วนเจียงป่าวชิงก็ไม่ได้พูดคำพูดอะไรที่แทงปอดแทงจิตใจของนางอีก

เกิ่งจื่อเจียงมองแม่นางฉือหรือฉือเชียนเชียนที่วัน ๆ เอาแต่วางท่าเป็นคุณหนูด้วยท่าทางตกตะลึง ตอนนี้นางวิ่งไปที่ริมบ่อน้ำเพื่อที่จะซักเสื้อผ้าให้เขาอย่างขยันขันแข็ง

“ไม่ใช่… นี่มัน…” เกิ่งจื่อเจียงรู้สึกซับซ้อนกับอารมณ์ของตัวเองมาก เขากลัวว่าแม่นางฉือเชียนเชียนจะซักเสื้อผ้าของเขาจนพัง เพราะนางดูเหมือนไม่ใช่คนที่จะซักผ้าเป็น

เจียงป่าวชิงตบไหล่เกิ่งจื่อเจียงเบา ๆ “หมอเกิ่ง การช่วยคนจะต้องทำให้ฝ่ายนั้นชัดเจนในจุดยืนของตัวเองด้วย สั่งสอนแบบนี้ ต่อไปนางก็จะโหวกเหวกโวยวายน้อยลง ข้าเห็นแล้วรู้สึกรำคาญแทนหมอเกิ่งจริง ๆ”

ตอนนี้เกิ่งจื่อเจียงถึงจะเข้าใจ “แม่นางเจียง ที่แท้เจ้าก็มีจุดประสงค์เช่นนี้นี่เอง”

เจียงป่าวชิงเบะปาก “หมอเกิ่งไม่ต้องสนใจหรอกว่าข้ามีจุดประสงค์อะไร ข้ารู้ว่าในเมื่อหมอเกิ่งช่วยนางไว้แล้วถึงขนาดนี้ คาดว่าหมอเกิ่งคงจะทำใจส่งนางเข้าไปในคุกไม่ลงอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตีหน้าดำคร่ำครึและหักหนามอันนี้ออกซะ”

ในใจของเกิ่งจื่อเจียงเหมือนมีหินก้อนใหญ่ตกลงไปบนพื้นทำนองนั้น เมื่อสักครู่ตอนที่เขาเห็นเจียงป่าวชิงมีปฏิกิริยาที่รุนแรงถึงขนาดนั้น เขาก็ตะโกนใส่หน้าฉือเชียนเชียน ทั้งยังคิดว่าเจียงป่าวชิงมีความแน่วแน่ที่ตั้งใจจะส่งฉือเชียนเชียนไปให้กับทางฝ่ายราชการจริง ๆ เสียอีก

บอกตามตรง เขาที่เป็นคนกลางรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง

ทว่าตอนนี้เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจมาก

เกิ่งจื่อเจียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจ “แม่นางเจียง เจ้าช่างเป็นคนดีจริง ๆ…”

เจียงป่าวชิงยกมือขึ้นห้ามเกิ่งจื่อเจียง “หมอเกิ่งพอเลย ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วว่าหลังจากพูดคำนี้จะต้องตามมาด้วยเรื่องที่ไม่ดี… ดูสิว่าข้าพูดถูกใช่ไหมล่ะ ? หมอเกิ่งผู้มีจิตใจดีอย่าได้พูดคำนี้อีกเด็ดขาดเลยนะ”

เกิ่งจื่อเจียงหัวเราะคิกคัก

จากนั้นเจียงป่าวชิงก็สอนเกิ่งจื่อเจียงเกี่ยวกับการทำยารักษาอาการแห้งของปอดและอาการไอ ซึ่งแบ่งส่วนเหมือนกับ ‘ยาต้านโรคไข้หวัด’ เกิ่งจื่อเจียงเห็นว่าเจียงป่าวชิงไม่เพียงแต่ไม่โทษเขาที่แอบช่วยลูกสาวของขุนนางผู้กระทำผิดอย่างลับ ๆ  นางยังสอนเขาเกี่ยวกับการทำยาชนิดใหม่อีกด้วย

ในความตื้นตันใจ เขาจึงอยากตั้งชื่อยานี้ว่าเนี่ยนชิงเอิน ซึ่งมีความหมายว่าสำนึกในบุญคุณของเจียงป่าวชิง

เจียงป่าวชิงขนลุกไปทั้งตัว นางรีบทำการปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยวจนสุดท้ายยาเม็ดนี้ก็ได้ชื่อว่า ‘ยาเม็ดระงับอาการไอ’ ซึ่งเป็นชื่อที่เรียบง่ายอยู่พอสมควร

หลังจากที่ปรึกษาหารือเรื่องยาเม็ดระงับอาการไอเสร็จสิ้น ก็กินเวลามาถึงช่วงเที่ยงแล้ว เกิ่งจื่อเจียงอยากให้เจียงป่าวชิงอยู่กินมื้อกลางวันด้วยกัน แต่เจียงป่าวชิงกลับปฏิเสธ นางโบกมือแล้วจากไปทันที

เมื่อออกจากร้านยาของเกิ่งจื่อเจียง ความผ่อนคลายที่อยู่บนใบหน้าเจียงป่าวชิงก็จางหายไป นางถอนหายใจเล็กน้อย

อันที่จริงความตั้งใจเดิมของนางคือต้องการเหน็บแนมฉือเชียนเชียนแทนเกิ่งจื่อเจียงเท่านั้น แต่หลังจากที่นางเห็นเกิ่งจื่อเจียงมีท่าทางลังเล นางจึงไม่บังคับอะไรเขาอีก

ในเมื่อเกิ่งจื่อเจียงเต็มใจช่วยฉือเชียนเชียนก็ปล่อยให้เขาช่วยนางไป เพราะนี่คือสิ่งที่เขาเลือกเอง

ทุกคนต่างเป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น เป็นเรื่องปกติที่จะต้องรับผิดชอบต่อการเลือกของตัวเอง เพราะการมีชีวิตอยู่เป็นการอยู่อย่างไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วต้องมารู้สึกละอายใจไม่ใช่หรือ ?

แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ส่วนในอนาคตจะพัฒนาไปเป็นอย่างไรนั้น ล้วนเป็นโชคชะตาของตัวเองทั้งสิ้น

เจียงป่าวชิงเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็ออกไปจากซอยเล็ก ๆ แห่งนี้

.