บทที่ 162 เจิ้งยี่โดนโจมตี

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 162 เจิ้งยี่โดนโจมตี

หลินฟานที่พึ่งจะวิ่งออกไปนั้นได้รีบหันหลังกลับและมายังจุดที่ชุนเต๋ากรีดร้อง

อย่างไรก็ตาม หลังจากโจมตีเสร็จ เฉินเฉียงได้ดำดินลงไปพร้อมกับปกปิดร่องรอยและเฝ้าตรวจสอบหลินฟาน

ความจริงแล้วเขานั้นต้องการที่จะไล่ทั้งชุนเต๋าและฟางยี่ออกจากมิติประลองไปทั้งคู่

คิดไม่ถึงว่าฟางยี่เมื่อได้ยินเสียงร้อง เธอเพียงแค่หันมามองและยิ้มออกมาอย่างสะใจและไม่คิดจะตามเสียงไปดูแต่อย่างใด และมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เธอไปก่อนหน้านี้

ในเมื่อชุนเต๋าไม่ได้อยู่แล้ว เธอจะมีโอกาสสร้างผลงานกับหลินฟานได้อย่างเต็มที่

ส่วนหลินฟานนั้น เฉินเฉียงนั้นลอบดำดินตามไปอย่างคิดๆ

หากว่าหมอนี่เจอตัวเว่ยฉิงเชินละก็จะต้องเร่งลงมืออย่างแน่นอน

เฉินเฉียงไม่มีทางยอมแล้วเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด

เขาเชื่อว่าหากเขานั้นใช้ทุกอย่างที่มี เขาสามารถจัดการหลินฟานได้แน่นอน

แต่ว่าที่นี่เป็นเพียงมิติเสมือนเท่านั้น เขาไม่สามารถฆ่าหลินฟานได้จริงๆ กลับกัน นี่จะกลายเป็นโอกาสที่หลินฟานจะหนีไปได้แทน

แทนที่จะปล่อยให้เป็นแบบนั้น เขาต้องติดตามและคอยทำลายแผนการให้หมดจะดีซะกว่า

หลินฟานได้มองไปรอบๆก่อนที่จะเห็นแอ่งเลือดและหายไปในเวลาไม่นาน นี่ทำให้เขานั้นถอดถอนลมหายใจออกมายาวๆ

นั่นก็เพราะ หากว่าเลือดบนพื้นไม่หายไป นี่แสดงว่าชุนเต๋านั้นตกตายโดยสัตว์ประหลาด

แต่เมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็มั่นใจว่าคงจะเป็นฝีมือศิษย์บางคน

ส่วนคนที่ฆ่าเธอนั้น เขาได้ลองตรวจสอบโดยรอบอยู่นานก็ไม่เห็นร่องใครสักคน นี่ทำให้เขาทำได้เพียงแสดงใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวจนเหยเกออกมา

แต่ในความจริงแล้ว เฉินเฉียงนั้นยังไม่ได้ออกไปจากที่นี่แต่อย่างใด

ด้วยการที่ขอบเขตการตรวจจับพลังจิตของเขานั้นกว้างถึงหนึ่งพันห้าร้อยเมตร นี่ทำให้เขารอดพ้นการตรวจจับของหลินฟานและตามไปได้โดยไม่ทำให้รู้ตัว

หลังจากผ่านไปสักพัก เฉินเฉียงก็ได้เห็นหลินฟางหันหลังก่อนที่จะส่ายหน้าไปมาและรีบจากไป

เขานั้นไม่คิดว่าหลินฟานนั้นมีดีเพียงระดับการฝึกยุทธเท่านั้น เขาเชื่อว่าชายคนนี้คือคนเจ้าแผนการอีกด้วย

เฉินเฉียงได้ติดตามหลินฟางโดยรักษาระยะไว้ที่สองร้อยเมตร

ในระยะนี้ ตราบใดที่เขาต้องการหยุดยั้งหลินฟาน เขาเพียงแค่ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาหรือไม่ก็เทคนิคการยิงธนูของโฮวอี้ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะจัดการได้โดยง่าย

หลังจากติดตามไปได้หนึ่งเดือน เฉินเฉียงนั้นพบว่าหลินฟานได้สังหารศิษย์ที่ร่วมประลองไปมากมาย ฆ่าได้แม้แต่ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง

“หื้มมม”

เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้สังเกตว่าหลินฟานได้ก้มหัวและมองไปที่กำไลสื่อสาร พร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า ต้องเป็นฟางยี่พบเป้าหมายของหลินฟานแล้วแน่ๆ

แน่นอนแล้ว หลินฟานนั้นได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีวิ่งไปทางหนึ่งอย่างสุดกำลัง

เขานั้นไม่สนใจศิษย์นักอื่นที่พบเจอระหว่างทางเลยด้วยซ้ำ

เฉินเฉียงเองได้เก็บกระแสจิตของตัวเองเข้าไปก่อนที่จะติดตามหลินฟานไปไม่ห่างพร้อมกับความสงสัยว่าฟางยี่นั้นได้พบเจอใคร

สองวันให้หลัง เฉินเฉียงก็ได้คำตอบ

ศิษย์สำนักมังกรอาชูร่า เจิ้งยี่

เจิ้งยี่และหลินฟานนั้นทั้งคู่ต่างก็อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง และความแข็งแกร่งของทั้งสองนั้นก็พอๆกัน เฉินเฉียงเองแม้จะไม่สนใจมากนัก แต่เพื่อกรณีที่มีความผิดพลาด เจิ้งยี่อาจจะแพ้และหลินฟานชนะละก็ นี่จะทำให้การต่อสู้ของเว่ยฉิงเชินนั้นต้องอยากลำบากอย่างแน่นอน และหากเป็นอย่างนั้นจริง เขาคงจะเสียใจไปชั่วชีวิต

แต่ถึงจะอย่างนั้น เจิ้งยี่เองก็เป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักมังกรอาชูร่า เขาควรจะไม่แพ้พ่ายโดยง่าย กระมัง

ไม่นาน หลินฟานก็ได้พบกับเจิ้งยี่

เมื่อเจิ้งยี่ที่ได้พบหลินฟานที่อยู่ก็ปรากฎตัวออกมานั้นแสดงออกมาซึ่งท่าทีจริงจัง

“ศิษย์พี่หลินฟาน”

อย่างไรก็ตาม ฟางยี่ในตอนนี้ที่เดินทางมากับเจิ้งยี่ได้กล่าวทักทายออกมาอย่างมีความสุขและเดินเข้าหา

“ศิษย์น้องฟางยี่” เจิ้งยี่ได้ดึงฟางยี่เอาไว้และกระซิบออกมาเบาๆ “หลินฟานคนนี้มีระดับการบ่มเพาะที่ไม่น้อยเลยนะ ข้าเองก็ไม่ยังมั่นใจว่าจะชนะเขาได้ เจ้าอยู่ให้ห่างเข้าไว้จะดีกว่า”

ฟางยี่ได้รีบสลัดแขนของเจิ้งยี่ออกไปในทันทีและกล่าวแนะนำออกมา “ศิษย์พี่เจิ้งยี่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ศิษย์พี่หลินฟานนั้นช่วยข้าเอาไว้ตั้งหลายครั้งก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะเขาละก็ ก่อนหน้านี้ข้าและชุนเต๋านั้นคงถูกสัตว์ประหลาดระดับนายพลขั้นสูงกินไปแล้ว”

“ฮะ” เจิ้งยี่นั้นทำได้เพียงตกตะลึง เขานั้นไม่ได้สงสัยในคำพูดของฟางยี่แต่อย่างใด พร้อมกับมีท่าทีลดการป้องกันลง

หลินฟานได้ที่ถือดาบในมือได้พักดาบไว้ก่อนที่จะเอ่ยคำทักทายออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์พี่เจิ้งยี่ พวกเราเองยังมีเวลาอีกเดือนกว่าๆก่อนที่จะถึงการตัดสิน ท่านได้คะแนนมาเท่าไหร่แล้วล่ะ”

ถึงแม้ท่าทางของเจิ้งยี่จะลดการป้องกัน แต่เขายังคงตั้งแง่กับหลินฟานอยู่ดี “ศิษย์น้องหลินฟาน ข้านั้นทำอย่างสุดความสามารถแล้วแต่ยังทำได้เพียงสี่หมื่นห้าพันแต้มเท่านั้น เจ้าล่ะ”

หลินฟานได้นำบัตรประจำตัวออกมาก่อนที่จะขิงออกไป “ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่เจิ้งยี่ ข้าได้มากกว่าท่านอีก ตอนนี้ข้ามีห้าหมื่นหกพันแต้มแล้ว”

“ห้ะ เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” เจิ้งยี่พูดออกมาอย่างประหลาดใจ

หลินฟานในตอนนี้แสดงออกมาด้วยท่าทางมีมิตรไมตรีและยื่นบัตรประจำตัวออกมาและพูดออกไป “หากศิษย์พี่เจิ้งยี่ไม่เชื่อก็ลองเอาไปดูได้”

เมื่อเห็นท่าทางที่ดูเป็นมิตรนี้ เจิ้งยี่รู้สึกอับอายในท่าทางตั้งแง่ของตนในทันที

นี่ทำให้เขานั้นคิดว่าตนเองคิดมากไป

และนี่ทำให้เจิ้งยี่ลดการป้องกันลง และยื่นมือไปหยิบบัตรของหลินฟานมาดู

และเป็นตอนนี้ที่หลินฟานเห็นเป็นโอกาสและตวัดดาบที่พักไว้ในมืออย่างรวดเร็วหมายจะตวัดฟันไปที่แขนขวาของเจิ้งยี่

ถึงจะลดการป้องกัน เจิ้งยี่ยังไงซะก็ยังอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง เขานั่นรีบกระโดดถอยหนีอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกุมแขนขวาด้วยมีซ้ายและขมวดคิ้วแน่น และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “แกนี่มันน่ารังเกียจจริงๆ”

ในขณะเดียวกัน เขาก็พบว่าฟางยี่ที่อยู่ข้างๆเธอนั้นได้เผยรอยยิ้มหวานออกมาและทำเพียงมองดูราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น

นี่ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าฟางยี่นั้นรวมหัวกับคนนอกเล่นงานเขา

ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในตอนนี้ บัตรประจำตัวของเขาอยู่ในแหวนบนมือข้างที่ขาดไป ต่อให้เขาอยากจะหนีออกจากมิตินี้ก็ไม่อาจจะทำได้

แต่เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมหลินฟานไม่สังหารเขาแต่ทำเพียงแค่ตัดอวัยวะบางส่วนไปเท่านั้น

หลินฟานได้ส่งเสียงหัวเราะที่ชั่วร้ายออกมา ก่อนที่จะเตะแขนของเจิ้งยี่ไปข้างๆ ก่อนที่จะตวัดดาบไปมาและพุ่งเข้าใส่เจิ้งยี่

แต่เดิม ทั้งสองนั้นต่อให้มีระดับเท่ากันทำให้พอที่จะต่อสู้ได้อย่างสูสี แต่ในตอนนี้เมื่อเจิ้งยี่เสียแขนและอาวุธที่อยู่ในแหวนมิติไป ต่อให้ระยะห่างนั้นยังไกลจากกัน แต่เขาเองก็ทำได้เพียงหลบเลี่ยงเท่านั้น

ไม่นาน ความเจ็บปวดเหลือคณาก็ได้ทำให้ร่างกายของเจิ้งยี่หมดแรง จนตอนนี้เขานั้นแทบจะทำอะไรไม่ได้แล้ว

เป็นตอนนี้ที่หลินฟานได้โจมตีออกมาอย่างดุเดือดและเล็งเป้าหมายไปที่หัวของเจิ้งยี่ในทุกๆครั้ง

ด้วยการที่เจิ้งยี่เองเป็นศิษย์ที่มีทักษะที่สูงล้ำ ท่าเท้าของเขานั้นไม่ด้อยแต่อย่างใด ต่อให้โดนการกระหน่ำโจมตีจากหลินฟานมากมาย เขาก็สามารถหลบได้แม้ก็ทั่งตอนที่อยู่กลางอากาศ

ผ่านไปนานพอดู หลินฟานเองก็เริ่มหมดความอดทน เขาได้เก็บดาบและเริ่มโจมตีด้วยฝ่ามือ

เมื่อไม่ได้โดนโจมตีด้วยดาบ เจิ้งยี่นั้นก็ได้เบาใจลง เพราะนี่ทำให้เขานั้นหายใจหายคอได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม เป็นตอนนี้ที่ทำให้เขาต้องตกตะลึงในสิ่งที่เห็น

หลินฟานได้ทะยานขึ้นฟ้าพร้อมปีกสีเงินที่ปลิวไสวอยู่กลางหลัง พึ่งโจมตีที่กลางหัวของเจิ้งยี่ด้วยฝ่ามือ

ฉากนี้น่าตกตะลึงจนทำให้เจิ้งยี่ลืมที่จะป้องกันหรือหลบหนี หลังจากเจิ้งยี่โดนการโจมตีด้วยฝ่ามือนี้เข้าไปแล้ว หลินฟานก็ค่อยๆลอยตัวลงสู่พื้นพร้อมกับรอยยิ้มที่แสดงออกมาอย่างพึงพอใจ