ตอนแรกมู่หงอวี๋ก็เป็นห่วงคิดว่าฮูหยินกู้จะมารังแกฉู่หลิวเยว่ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าสงบและท่าทางผ่อนคลายของหลิวเยว่แล้วนางก็โล่งใจ
เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว ขนาดเงื้อมมือนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาฉู่หลิวเยว่ยังเอาชีวิตรอดกลับมาได้ แล้วยังมีเรื่องอะไรที่นางทำไม่ได้อีก
ก็แค่ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลกู้ทำอะไรนางมิได้หรอก
“ช่างเถิด อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย คราวนี้เจ้ากลับมาแล้ว พวกเราต้องฉลองชุดใหญ่แล้วล่ะ!”
มู่หงอวี๋พูดด้วยดวงตากลมโตเป็นประกาย
“หลิวเยว่ ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าจะพาพวกเราไปที่โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวง! ข้าไม่ได้ไปที่นั่นนานแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่เขกหน้าผากของนางแผ่วเบาไปหนึ่งที
“รออาการของเจ้าดีขึ้นกว่านี้ เจ้าอยากจะไปทุกวันก็ไม่ใช่ปัญหา เวลานี้…เจ้าก็ตั้งตารอไปก่อนเถอะ!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่หงอวี๋หุบลงอย่างกะทันหัน และนางก็ยกสองนิ้วขึ้นมา
“ข้าสาบาน ข้าจะไม่ดื่มสุราเด็ดขาด ตกลงหรือไม่ พวกเราแค่ไปกินข้าวเอง!”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว “จริงหรือ”
มู่หงอวี๋พยักหน้าระรัว
“จริงสิๆ! หลิวเยว่ เจ้ารับปากข้าสิ ข้าขอร้องเจ้านะ!”
ฉู่หลิวเยว่แกล้งทำเป็นลังเลครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็พยักหน้าให้
“ได้!”
สองสามวันนี้พวกเขาคงจะเสียใจเรื่องนางเป็นอย่างมากและถึงเวลาที่จะผ่อนคลายบ้างแล้ว
“เช่นนั้นก็ไปกันคืนนี้เถิด เฉินหู่ เจ้าชวนเลี่ยวจงซูกับกู้หมิงเฟิงด้วยนะ”
เฉินหู่เกาหัวและมีท่าทางลำบากใจเล็กน้อย
“เอ่อคือ…ร่างกายของเลี่ยวจงซูยังไม่หายดี เขานอนซึมบนเตียงตลอดเวลา เกรงว่าคงจะไปไม่ไหว”
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย
“เลี่ยวจงซูบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้เชียวหรือ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเขาบาดเจ็บตรงผิวหนังเสียเป็นส่วนใหญ่ ผ่านมาหลายวันแล้วก็น่าจะดีขึ้นแล้ว เหตุใดแม้กระทั่งจะลุกจากเตียงยังลุกไม่ขึ้นล่ะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของมู่หงอวี๋และเฉินหู่ก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ก็นั่นน่ะสิ อาจารย์ของสำนักได้มาดูอาการเขาแล้ว ใช้ยารักษาก็แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด อาการของเขาถึงได้ประเดี๋ยวทรงประเดี๋ยวทรุด ไม่ดีขึ้นมาเลย”
เฉินหู่เล่าต่อไปอีกว่า
“อีกอย่างกู้หมิงเฟิงไม่ได้กลับเข้าสำนักมาสองวันแล้ว ข้าได้ยินมาว่า…เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลกู้แล้ว…”
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง
“เขาทำอะไรผิด ทำไมตระกูลกู้ถึงทำกับเขาแบบนี้”
มู่หงอวี๋เบาะปากงอแง
“ก็เพราะกู้หมิงจูไม่ใช่หรือ! กู้หมิงเฟิงไม่ได้รับความสนใจจากตระกูลกู้มาโดยตลอด คราวนี้กู้หมิงจูตายไป คนในตระกูลกู้จะต้องโยนความผิดไปที่เขาแน่นอน!”
เฉินหู่กำหมัดแน่น
“ถึงกระนั้นที่ผ่านมาเขาก็กลับบ้านนับครั้งได้ เขาไม่ถือว่าเป็นบ้านของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พ้นมาได้ก็ดี!”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“จะพูดเช่นนี้ไม่ได้”
การที่กู้หมิงเฟิงไม่ได้รับความสำคัญคือเรื่องหนึ่ง ส่วนที่เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วก็ยังมีแซ่กู้ห้อยมาด้วย ดังนั้นคนอื่นๆ จึงยังมีความยำเกรงกันอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้…
ฉู่หลิวเยว่คิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ข้าเกรงว่าวันนี้พวกเราน่าจะยังกินข้าวมื้อนี้ไม่ได้แล้ว เฉินหู่ ตอนนี้เจ้าไปตามหากู้หมิงเฟิง หากมีข่าวคืบหน้าให้รีบมาบอกพวกเรา ส่วนข้ากับมู่หงอวี๋จะไปดูเลี่ยวจงซูก่อน”
เมื่อได้ยินที่ฉู่หลิวเยว่พูดดังนั้น ทั้งสองคนก็ร่วมแสดงความเห็นด้วย
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ได้ผ่านมิตรภาพแห่งความเป็นความตายมาด้วยกันแล้ว ดังนั้นจึงมิอาจปล่อยปละละเลยได้
มู่หงอวี๋เก็บสีหน้าล้อเล่นของนาง
“ข้ารู้ว่าเลี่ยวจงซูอยู่ที่ไหน เจ้าตามข้ามา”
…
ทันทีที่ฉู่หลิวเยว่ตามมู่หงอวี๋มาถึงที่พักของรักเรียนชั้นผู้ฝึกยุทธ์ ก็ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คนมากมายให้หันมาสนใจ
ข่าวการกลับมาอย่างปลอดภัยของฉู่หลิวเยว่ลือไปทั่วสำนักเมื่อวันก่อน เมื่อได้ยินว่านางจะกลับมาในวันนี้หลายคนก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่มายังเขตที่พักของผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ จึงทำให้เกิดความชุลมุนขึ้นมาเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่เห็นแต่ทำเหมือนไม่เห็นสายตาเหล่านั้น จากนั้นนางก็เดินตามมู่หงอวี๋มาจนถึงด้านหน้าตึกเล็กๆ หลังหนึ่ง
มู่หงอวี๋เดินไปที่ด้านหน้า ก่อนจะยกมือเคาะประตู
“จี้อวี้หรง เจ้าอยู่หรือเปล่า”
ในไม่ช้าก็มีคนมาเปิดประตูให้ ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงผอมผู้หนึ่ง
เขามองแวบเดียวก็จำมู่หงอวี๋ได้ ดังนั้นจึงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้นาง
“มู่หงอวี๋ มาเยี่ยมจงซูหรือ”
มู่หงอวี๋พยักหน้าให้แล้วเอ่ยว่า
“ใช่แล้ว ข้ากับฉู่หลิวเยว่มาเยี่ยมเขา!”
เมื่อชายหนุ่มผู้นั้นได้ยินชื่อฉู่หลิวเยว่ก็ชะงักไปเล็กน้อย คราวนี้เขาจึงสังเกตเห็นว่ามีคนอีกผู้หนึ่งอยู่ข้างหลัง
เขาทำหน้าแปลกประหลาดเล็กครู่หนึ่ง ก่อนจะหายวับไปกับตา
“ที่แท้พวกเจ้าก็มาด้วยกันนี่เอง รีบเข้ามาสิ จงซูเพิ่งตื่นเมื่อครู่นี้เอง พวกเจ้าจะได้ขึ้นไปเยี่ยมเขาพอดี”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตา
แต่มู่หงอวี๋กลับไม่เห็นถึงความผิดสังเกต นางก็ลากฉู่หลิวเยว่ขึ้นไปบนชั้นสองทันที
“ถ้าอย่างนั้นพวกข้าขึ้นไปก่อนนะ หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
จี้อวี้หรงแย้มยิ้ม
“เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันทั้งนั้น เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว พวกเจ้าคุยกันเถิด พอดีข้ามีธุระต้องจัดการสักหน่อย ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนนะ”
เมื่อพูดจบเขาก็เก็บของลวกๆ แล้วปิดประตูเดินออกไปทันที
ฉู่หลิวเยว่หันหลังไปมองเขาครู่หนึ่ง
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือเปล่า แต่นางรู้สึกว่าฝีเท้าของจี้อวี้หรงเหมือนคนกำลังวิ่งหนี…
นางจึงเอ่ยถามในระหว่างทางเดินขึ้นบันไดชั้นหนึ่ง
“คนผู้นั้นที่ชื่อจี้อวี้หรง เขาก็พักอยู่ที่นี่เช่นกันหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ เขาพักอยู่ที่นี่กับเลี่ยวจงซูมาโดยตลอดเลยนะ! แถวนี้เป็นเขตของผู้ฝึกยุทธ์ ทุกคนต่างอยู่รวมๆ กันไป ไม่ได้สุขสบายเหมือนปรมาจารย์อย่างพวกเจ้าที่สามารถพักบ้านคนละหลังได้หรอกนะ ก่อนหน้านี้จงซูก็เคยเอ่ยถึงเขาอยู่เหมือนกันว่าเขามีนิสัยชอบเก็บตัว แล้วก็พบปะพูดคุยกับพวกเราน้อยมาก”
มู่หงอวี๋พูดในขณะที่เดินอยู่
“แต่อย่างว่า อันที่จริงเขาก็เป็นคนดี เขาเป็นคนที่ดูแลจงซูมาตลอดหลายวันนี้เชียวล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า แล้วไม่ถามสิ่งใดอีก
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสองก็มาถึงห้องนอนบนชั้นสองแล้ว
ทันทีที่เขาเข้าไปในประตูห้อง ฉู่หลิวเยว่ก็เห็นเลี่ยวจงซูนอนอยู่บนเตียงและอดที่จะแปลกใจไม่ได้
เพียงเวลาแค่ไม่กี่วัน เลี่ยวจงซูซูบผอมลงไปมาก แก้มของเขาตอบลึกลงไป ดวงตาหมองหม่นไร้ความเป็นประกาย ทั้งยังดูซีดเซียวและอิดโรยเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่เข้ามา เลี่ยวจงซูก็เผยรอยยิ้มซีดเซียวและพยายานฝืนสังขารยกมือขึ้นมา
“พวกเจ้ามาแล้วหรือ นั่งสิ”
มู่หงอวี๋ขมวดคิ้วมุ่น
“ทำไมเจ้าถึงดูแย่กว่าเมื่อสองวันก่อนนี้อีก หรือเพราะเจ้าไม่ยอมกินยาดีๆ”
เลี่ยวจงซูส่ายหน้า แล้วพูดน้ำเสียงอ่อนแรง
“ร่างกายข้าไม่แข็งแรงเอง ไม่สำคัญนัก หลิวเยว่นี่สิ…เจ้ากลับมาได้แล้ว ช่างดีจริงๆ”
ถึงแม้ว่าเขากำลังจะป่วยอยู่ แต่เขาก็ได้ยินเรื่องของฉู่หลิวเยว่แล้ว เวลานี้เขาก็รู้สึกดีใจมากเหมือนกันที่ได้เห็นนางยืนอยู่ตรงนี้เป็นอย่างดี
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปข้างหน้าและจับข้อมือของเขา
“ร่างกายของเจ้า พวกอาจารย์ท่านว่าอย่างไรบ้าง”
เลี่ยวจงซูขยับริมฝีปากจะพูด แต่เขากลับไอโขลกๆ
“แค่กๆ…ก็ไม่มีอะไร…ไม่ได้มีปัญหาใหญ่ เป็นเพราะร่างกายของข้าอ่อนแอเอง จึงดูดซึมยาไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นอาการจึงไม่ดีขึ้น…อาจารย์บอกว่า กินยาต่อไปอีกสองวันแล้วค่อยมาดูอาการอีกที…แค่ก…”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
มู่หงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้
“หลิวเยว่ เจ้าเห็นอะไรหรือ”
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เปิดผ้าห่มของเขาออกทันที
“อ๊ายยย หลิวเยว่!”
มู่หงอวี๋ตกใจรีบห้ามนาง น่าเสียดายที่ฉู่หลิวเยว่มือเร็วไปหน่อย นางจึงห้ามเอาไว้ไม่ทัน
เลี่ยวจงซูคิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะรวดเร็วปานนั้น และเขารู้สึกเขินอายเป็นอย่างยิ่งแล้วต้องการดึงผ้าห่มกลับคืนมา
ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับไม่สนใจสีหน้าของทั้งสองคนเลย และสายตาของนางก็เอาแต่จับจ้องไปที่ขาข้างซ้ายของเขา
ขาข้างซ้ายบริเวณที่ถูกกัดเนื้อนั้น ตอนนี้มันทั้งบวมและผิดรูปผิดร่าง ทั้งยังหนากว่าขาอีกข้างถึงสองเท่าจนขากางเกงเกือบปริแตก!
มู่หงอวี๋อุทานด้วยความตกใจ
“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
เลี่ยวจงซูมีสีหน้าซีดหมอง
“ตั้งแต่กลับมาวันนั้นก็เป็นแบบนี้แล้ว อาจารย์ก็ไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไรเหมือนกัน…”
ฉู่หลิวเยว่พึมพำเสียงขรึม
“เจ้าถูกพิษ!”