หลี่หมิงจูไปคารวะหญิงชรา เป็นจังหวะเดียวกับที่อวี๋เหลียนเดินออกมาพอดี ซึ่งเห็นเพียงอวี๋เหลียนกำลังก้มหน้าท่าทางราวกับหนักอกหนักใจอะไรบางอย่างจึงไม่ทันสังเกตเห็นนาง
“อวี๋เหลียน…” หมิงจูร้องเรียกนางด้วยความดีใจ ช่วงที่ถูกกักบริเวณอยู่หลายเดือนนี้ ต้องขอบคุณอวี๋เหลียนที่แวะเวียนไปอยู่เป็นเพื่อนบ่อยครั้ง นอกจากนั้นยังช่วยนางคัดลอกบทความกุลสตรี มิเช่นนั้นนางคงเบื่อหน่ายจนเป็นบ้า
อวี๋เหลียนมีปฏิกิริยาโต้ตอบช้าเล็กน้อย นางตกตะลึงชั่วขณะแล้วจึงเผยรอยยิ้มออกมา ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่เลื่อนลอยก่อนเอ่ยขึ้นอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “พี่หมิงจูออกมาได้แล้วหรือ”
หมิงจูมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “เจ้าเป็นไรไป ถูกเหล่าไท่ไทอบรมสั่งสอนมาแล้วหรือ”
อวี๋เหลียนส่ายหน้าทันที “เปล่า มิใช่”
หมิงจูไม่เชื่อ “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงดูท่าทีไม่มีความสุขเอาเสียเลย”
อวี๋เหลียนยิ้มขมขื่น “ไม่มีอันใดจริงๆ เมื่อคืนข้าตากลมเย็นเข้าเลยรู้สึกมึนหัวเล็กน้อยก็เท่านั้น”
หมิงจูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เช่นนั้นเจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ! ข้าเข้าไปคารวะเหล่าไท่ไทก่อนแล้วไว้จะแวะเข้าไปหาเจ้า”
อวี๋เหลียนพยักหน้าโดยไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ แล้วพาสาวใช้ที่ติดตามมาด้วยเดินจากไป
หมิงจูเดินเข้าไปด้านในและได้ยินแม่จู้กำลังพูดคุยอยู่ “เหล่าไท่ไทก็ใจร้อนมากเกินไปหน่อยนะเจ้าคะ ต้าเส้าเหยียมีภรรยาหนึ่งและนางบำเรออีกหนึ่งก็ยังไม่มีบุตรออกมาสืบทอดวงศ์ตระกูลเลย เอ้อร์เส้าเหยียกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่ทันไรเองนะเจ้าคะ…อีกอย่าง อวี๋เหลียนเสี่ยวเจี่ยะยังอีกตั้งหนึ่งเดือนถึงจะถึงวัยออกเรือนนะเจ้าคะ!”
หญิงชรากล่าว “เพียงแค่ถามไถ่นางไว้ก่อนก็เท่านั้นเอง จะได้ให้นางเตรียมตัวเอาไว้ ประเด็นสำคัญยังคงต้องดูพฤติกรรมหลินหลัน หากนางดูแลทั้งสองทางได้ไม่ดีพอ พวกเราก็คงมองดูหมิงอวินได้รับความไม่ยุติธรรมไปมิได้”
“ไม่ว่าเรื่องใดๆ เอ้อร์เส้าหน่ายนายก็ทำได้อย่างดีมาโดยตลอดนะเจ้าคะ” แม่จู้พูดอย่างมีชั้นเชิง
หญิงชราอมยิ้ม “ดูเหมือนเจ้าจะถูกใจนางไม่น้อย ถึงได้คอยปกป้องนางอยู่เรื่อย”
“เหล่าไท่ไทพูดตลกไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเพียงแค่ว่าไปตามท้องเรื่องก็เท่านั้นเจ้าค่ะ” แม่จู้กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล
จากที่หมิงจูได้ยินก็พอเข้าใจขึ้นมาบ้าง ดูเหมือนท่านย่าจะมีความประสงค์ให้อวี๋เหลียนเป็นอนุภรรยาของพี่รอง จะว่าไปด้วยภูมิหลังของอวี๋เหลียน การให้นางเป็นอนุภรรยาของพี่รองก็นับว่าเป็นเกียรติแก่นางแล้ว ประเด็นสำคัญคือหากอวี๋เหลียนได้ความรักชอบจากพี่รองด้วย เช่นนั้นมิเท่ากับว่าหลินหลันคงได้ถึงขั้นอกแตกตายหรือ หมิงจูอดตื่นเต้นไม่ได้
ทันทีที่หลินหลันกลับมา จิ่นซิ่วก็บอกกล่าวนางว่าหมิงจูถูกปล่อยตัวจากการกักบริเวณแล้ว
หลินหลันนิ่งเงียบ ตัวแสบผู้นี้ออกมาเสียแล้ว เดี๋ยวคงได้ก่อเรื่องไม่หยุดหย่อนขึ้นมาอีกสินะ
“ข้าจะไปอาคารหนังสือ อีกเดี๋ยวเอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วรีบไปบอกกล่าวข้าด้วย” หลินหลันสั่งการแล้วจึงไปยังอาคารหนังสือซึ่งอยู่แถวสวนหลังบ้าน
ตั้งแต่หลี่หมิงอวินสิ้นสุดการสอบ พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายก็สร้างห้องหนังสือด้านนอกซึ่งอยู่ในพื้นที่ลานบ้านส่วนหน้าเพื่อสะดวกต่อการที่เขาต้องการต้อนรับแขกเหรื่อ อาคารหนังสือนี่จึงแทบจะไม่ได้ใช้การอีก หลินหลันจึงนำตำราแพทย์ของตนเองโยกย้ายมายังอาคารหนังสือนี้แทน ที่นี่จึงกลายเป็นห้องหนังสือสำหรับนางไปโดยปริยาย
หลินหลันเปิดหนังสือเพื่อหาข้อมูลจดบันทึกเกี่ยวกับโรคฝีดาษอยู่หลายเล่ม ทว่าปรากฏเพียงอาการของโรค ความอันตราย ตลอดจนวิธีการรักษาเล็กน้อย ยังไม่เคยมีผู้ใดบันทึกเกี่ยวกับการรับวัคซีนโดยการฝังไวรัส เท่าที่หลินหลันพอจำได้ เริ่มแรก การปลูกฝีเกิดขึ้นในราชวงศ์ซ่งของจักรพรรดิซ่งเจินจง ซึ่งเป็นจริงหรือไม่นั้น ยังคงรอการตรวจสอบเพื่อยืนยัน และมีบันทึกที่แน่ชัดเกี่ยวกับการปลูกฝีอยู่ในสมัยจักรพรรดิหมิงหลงชิ่ง คนโบราณที่ใช้วิธีการปลูกฝีด้วยสี่วิธีหลักๆ คือการนำเชื้อจากสะเก็ดแผลของผู้ป่วยที่เป็นโรคฝีดาษมาเช็ดใต้ผิวหนังของผู้รับเชื้อเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกัน การแปะแผ่นที่มีการผสมเชื้อไวรัสบนร่างกาย การนำเนื้อเยื่อฝีใส่ในก้อนสำลี จากนั้นสอดเข้าไปในจมูก และการนำไวรัสที่ผ่านการผสมละลายในน้ำหยดเข้ารูจมูก โดยสองวิธีแรกเห็นผลลัพธ์ค่อนข้างน้อยและเป็นอันตรายอย่างมาก ส่วนสองวิธีหลังใช้เป็นลักษณะของวัคซีน ซึ่งคนในยุคสมัยโบราณยังคงอยู่ในขั้นตอนการทดลองอย่างต่อเนื่อง จนได้พบว่าหากการนำเชื้อตกสะเก็ดที่ได้รับการฉีดวัคซีนหลายครั้งไปใช้เป็นวัคซีน ก็จะยิ่งมีพิษน้อยลงและปลอดภัยสำหรับการนำไปฉีดเป็นวัคซีน ในยาแผนปัจจุบัน วัคซีนที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นวัคซีนที่ผ่านการทดลองเพื่อเตรียมใช้งานแล้ว แต่ในสมัยโบราณไม่มีเทคโนโลยีดังกล่าว ดังนั้นการใช้วิธีการฉีดวัคซีนน้ำแบบหยดเข้ารูจมูกจึงค่อนข้างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
หลินหลันไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้วตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการปลูกฝีด้วยวิธีแบบหยดวัคซีน นางจึงหยิบกระดาษและพู่กันมาขีดเขียนเตรียมไว้สำหรับปรึกษาหารือกับคุณชายฮว๋าในวันพรุ่งนี้
ไม่ทันไรท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดมิดลง จิ่นซิ่วมารายงานว่านายน้อยกลับมาแล้ว
หลินหลันจึงรีบเก็บข้าวของแล้วออกจากอาคารหนังสือ
หลี่หมิงอวินล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนชุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“หมิงอวิน วันนี้กลับมาช้าจัง! เหนื่อยหรือไม่” หลินหลันให้ความสนใจเขาก่อนแทนที่จะบุ่มบ่ามเอ่ยถึงเรื่องที่อยากสนทนาใจจะขาด
หลี่หมิงอวินมองนางซึ่งวันนี้สวมใส่ชุดไหมหางโจวสีเขียวอ่อนขับผิวขาวดูนวลผ่อง ทว่าขอบดวงตากลับเผยให้เห็นความหมองคล้ำอย่างชัดเจน เมื่อคืนนางนอนพลิกไปพลิกมา และดูเหมือนกว่าจะนอนหลับสนิทไปก็ยามใกล้รุ่งสางของอีกวันแล้ว
“ก็ดี ทว่ายืนจนเมื่อยเท้าไปหน่อย การพูดคุยในท้องพระโรงกินเวลายาวนาน หลังจากนั้นก็พูดคุยกันอีกเนิ่นนานที่ห้องท่านหัวหน้าราชเลขา” หลี่หมิงอวินเอี้ยวคอหันซ้ายหันขวาแล้วทำท่ายืดห่ออกอีกสองครั้งแล้วจึงหย่อนตัวลงนั่ง
“พูดคุยกันถึงอันใดบ้างหรือ” หลินหลันรู้งานเดินไปยืนข้างหลังเขาแล้วช่วยบีบนวดบ่าให้
“เยอะแยะไปหมด เริ่มจากการรุกรานของทู่เจวี๋ยทางตะวันตกเฉียงเหนือ ตามด้วยทางราชสำนักมุ่งหน้าไปยังสามเมืองและมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้น ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้ทหารรักษาการณ์ไท่หยวนและอันซีมุ่งหน้าไปให้การสนับสนุน ทางด้านเขตแดนซู่จงก็วนวายไปด้วยคนชนเผ่า ทางทิเบตจึงถือโอกาสนี้ปรับกองกำลังทหาร วันนี้องค์ชายสี่จึงขอเสนอตัวเข้าไปนำทัพ ฮ่องเต้ทรงอนุญาตและมีพระบัญชาให้จิ้งปั๋วโหว์เป็นจอมพลผิงซี องค์ชายสี่เป็นแม่ทัพผิงซี ซึ่งจะออกเดินทางในเร็ววันนี้” ในน้ำเสียงของหมิงอวินแสดงถึงความกังวลอย่างยิ่ง
หลินหลันกล่าวอย่างหดหู่ “การที่พวกชนเผ่าก่อความวุ่นวายเช่นนี้ ข้าว่าล้วนเป็นเพราะถูกบีบบังคับ ตามจริงแล้วพวกชนเผ่ามีชีวิตที่เรียบง่ายมาก หากมิใช่เพราะถูกบีบบังคับจนหมดหนทาง แล้วไยจะลุกฮือขึ้นสู้สุดชีวิตไปได้”
หลี่หมิงอวินตะลึงงัน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกชนเผ่ามีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เจ้าเคยพบเห็นหรือ”
หลินหลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตนเองพลั้งปากไป จึงรีบกล่าวเสริม “เมื่อหลายปีก่อนท่านอาจารย์เป็นหมอพเนจรเดินทางไปทั่ว เคยมีโอกาสได้ไปถึงชนเผ่าเจียง ซึ่งเล่าว่าชนเผ่าส่วนมากล้วนมีน้ำใจต่อแขกผู้มาเยือน เจ้าปฏิบัติต่อเขาอย่างดี เขาจะตอบแทนด้วยความจริงใจอย่างเต็มเปี่ยม ดังนั้นข้าก็เลยคาดเดาว่าคงเป็นเช่นนี้”
หลี่หมิงอวินพยักหน้า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ทางราชสำนักปฏิบัติต่อชาวชนเผ่าด้วยระเบียบมากมายและใช้การกดขี่เป็นหลัก มองพวกเขาเป็นคนชั้นต่ำไร้ค่า ขุนนางแห่งแคว้นซู่จงยิ่งกดขี่ข่มเหงอย่างหนัก ด้วยการบีบบังคับจากทุกทางจึงกลายเป็นเช่นนี้ ดังนั้นครั้งนี้องค์ชายสี่จึงเสนอให้ส่งทหารไปปราบปราม ทว่าข้าไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตามบรรดาแม่ทัพในราชสำนักล้วนสนับสนุนองค์ชายสี่เต็มกำลัง พวกเขาแทบจะอดรนทนไม่ไหวที่องค์ชายสี่จะได้ถือโอกาสนี้สร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา”
“ปัจจุบันนี้คำพูดเจ้ายังไม่มีอำนาจมากพอ พูดไปก็เท่านั้น ดีไม่ดีพานให้คนเขาไม่ชอบใจไปเสียอีก คงทำได้แต่ระบายอารมณ์เหล่านี้ในบ้านเท่านั้น” หลินหลันกล่าวปลอบใจ
“เป็นอย่างที่เจ้าว่า ในสถานตอนนั้นจะพูดออกไปได้อย่างไรกัน ในช่วงท้ายจึงเอ่ยถึงเรื่องการแพร่ระบาดของฝีดาษในมณฑลส่านซี ด้วยปัจจุบันหลายเขตในส่านซีมีการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษ ผู้คนต่างหนีกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง นับว่าเป็นระดับที่เลวร้ายที่สุดในรอบสามร้อยปีนับตั้งแต่ก่อตั้งจักรวรรดิมา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคก่อนที่จะควบคุมไม่ได้ มณฑลและเขตที่อยู่ติดกับมณฑลส่านซีจึงมิได้รับอนุญาตให้นำผู้ติดเชื้อออกจากพื้นที่แพร่ระบาด หมอหลวงของสถานรักษาแห่งหมอหลวงเข้ามาในพระราชวังเมื่อคืนที่ผ่านมาและได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไข อย่างไรก็ตามพวกเขายังคิดหาวิธีที่ดีในการควบคุมการแพร่ระบาดมิได้ เจ้าหน้าที่บางคนจึงเสนอว่าหากควบคุมการแพร่ระบาดไม่ได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคฝีดาษทั้งหมดควรถูกเผาให้ตายไปเสีย…” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความขุ่นเคืองใจ
หลินหลันรู้สึกเดือดดาลเช่นกันเมื่อได้ยินดังกล่าว “นี่เป็นคำพูดของคนหรือ หากเป็นญาติพี่น้องคนในครอบครัวตนเองติดโรคระบาดนี้ พวกเขาก็จะนำไปเผาเช่นกันใช่หรือไม่ ข้าว่าอันดับแรกควรลากผู้พูดประโยคนี้ไปตัดหัวทิ้งเสียก่อนยังดีกว่า”
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้ม “ผู้ที่เห็นดีเห็นงามกับประโยคเช่นนี้ก็หามีจำนวนน้อยๆ ไม่”
“นี่มันเกินไปแล้ว ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานโขยงหนึ่งด้วยซ้ำ ไม่สิ สัตว์เดรัจฉานยังมีความเป็นมนุษย์มากกว่าพวกเขาเสียอีก พวกเขาเทียบกับสัตว์เดรัจฉานไม่ได้เลยสักนิด” หลินหลันก่นด่าด้วยความโมโห
“ยามนี้ฮ่องเต้ก็จนปัญญาเช่นกัน ทำได้เพียงรอให้หมอหลวงค้นหาวิธีการออกมาแล้วถึงตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไร…” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างอ่อนใจ “ทว่าข้าคาดเดาว่าหมอหลวงก็คงหาวิธีการดีๆ ขึ้นมามิได้เช่นกัน สถานการณ์โรคระบาดครานี้มันรุนแรงเกินไป”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไร หรือจะเอาแต่มองดูโรคระบาดนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ หรือ” หลินหลันรู้สึกจนใจอย่างยิ่ง
“สิ่งเดียวที่พอทำได้ในยามนี้คือรีบแอบส่งวัตถุดิบยาชุดใหญ่ไปให้โดยเร็วที่สุด” หลี่หมิงอวินส่ายหน้าพลางถอนหายใจและทันใดนั้นเขาก็เอ่ยขึ้น “จริงสิ วันนี้องค์ชายสามกลับเสนอตัวเป็นอาสาไปเยือนเขตโรคระบาดเพื่อสังเกตการณ์สถานการณ์และไปปลอบขวัญชาวบ้านในฐานะตัวแทนองค์รัชทายาท”
หลินหลันตกตะลึง “องค์ชายสามเคยเป็นโรคฝีดาษแล้วหรือ”
หลี่หมิงอวินส่ายหน้าแล้วกล่าว “มิเคย ดังนั้นวันนี้ทันทีที่เขาเอ่ยปากจึงถูกฮ่องเต้คัดค้านทันที”
“องค์ชายสามเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมไม่เบาทีเดียว เพราะรู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้ไม่มีทางให้บุตรชายของตนเองไปเสี่ยงอันตราย เขาจึงกระโดดออกไปเสนอตัวร้องขอและเอ่ยประโยคชวนประทับใจสองสามประโยค ทั้งไม่ทำให้ตนเองต้องตกไปอยู่ในขอบเขตอันตราย นอกจากนั้นยังได้รับคำชื่นชมของฮ่องเต้และความเลื่อมใสของบรรดาข้าราชสำนักทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ ช่างเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดเสียจริง” หลินหลันกล่าวอย่างครุ่นคิด
“ไม่เลวเลยจริงๆ ฮ่องเต้ทรงชื่นชมว่าเขามีคุณธรรมและจิตใจเมตตา เป็นความจงรักภักดีที่ควรค่าแก่การยกย่อง โดยรวมๆ แล้ววันนี้เป็นองค์ชายสี่และองค์ชายสามที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ขณะที่องค์รัชทายาทกลับนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มเฉยเมย
อวี้หลงเข้ามาเอ่ยย้ำเตือน “เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าหน่ายนาย นี่ก็ค่ำมากแล้ว น่าจะได้เวลาไปคารวะเหล่าไท่ไทแล้วกระมังเจ้าคะ ”
หลินหลันตบลงไปที่หน้าผากของตน “ดูความจำข้าเข้าสิ มัวแต่พูดคุยจนลืมเวล่ำเวลาไปหมดแล้ว”
ทั้งสองรีบลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าออกไปโถงจาวฮุ่ย
พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายไม่อยู่ โดยบอกกล่าวไว้ว่ากำลังพูดคุยธุระอยู่กับผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ในห้องหนังสือด้านนอก ส่วนมื้ออาหารค่ำก็ให้คนส่งไปให้ที่ห้องหนังสือด้านนอกนั่น นอกจากนั้นยังให้หมิงอวินเข้าไปร่วมพูดคุยด้วยเช่นกันหลังรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว
หลินหลันอดตำหนิอยู่ภายในใจไม่ได้ จะคุยอันใดนักหนา คุยกันมาตลอดทั้งคืนทั้งวันแล้วก็ยังไม่เห็นจะได้อันใดขึ้นมาเสียที
เมื่อหลี่หมิงจูมองเห็นหลินหลันจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้รอง มิได้เจอกันนานเลยนะเจ้าคะ” หัวตาเฉี่ยวคู่นั้นแฝงไว้ด้วยการดูถูกเหยียดหยันและยั่วยุ ประมาณว่าข้าผู้ยิ่งใหญ่หวนกลับมาแล้ว เจ้าช่วยระวังตัวเอาไว้หน่อยแล้วกัน
หลินหลันฉีกยิ้มอ่อน “หลายเดือนมานี้เปี่ยวเหม่ยคงลำบากน่าดู การคัดลอกบทอบรมสตรีหนึ่งพันชุดและกฎระเบียบประจำบ้านอีกหนึ่งพันชุดนี่มันมิง่ายดายเลยนะ! เดาว่ายามนี้เปี่ยวเหม่ยคงท่องบทอบรมสตรีและกฎระเบียบของบ้านได้ขึ้นใจแล้วกระมัง”
หลี่หมิงจูแอบกัดฟันด้วยความเคียดแค้น ทั้งหมดนี้มิใช่ว่าต้องขอบคุณเจ้าหรอกหรือ แต่ในไม่ช้าก็เร็วเจ้าเองก็จะได้ลิ้มรสบทของการรับโทษแล้วเช่นกัน
“ใช่สิเจ้าคะ! เกี่ยวกับสองสิ่งนี้ หากพี่สะใภ้รองไม่เข้าใจตรงไหน วันหน้าวันหลังก็มาถามไถ่จากข้าได้ ข้าจะช่วยอธิบายให้พี่สะใภ้รองฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วนสุดความสามารถ” หลี่หมิงจูกล่าวอย่างลอยหน้าลอยตา
หลี่หมิงอวินที่อยู่ข้างๆ กล่าวขึ้นภายใต้ท่าทีผ่อนคลาย “รู้จักมรรยาทมิเท่ากับรู้จักปฏิบัติตามมรรยาท เห็นทีว่าเปี่ยวเหม่ยถูกกักบริเวณไปสามเดือนและคัดลอกบทลงโทษอีกหนึ่งพันชุด ก็ยังไม่ทำให้ตระหนักถึงความยากลำบากของท่านลุงเขยของเจ้าได้สินะ”
หลี่หมิงจูมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันทีแต่กลับไม่กล้าเงยหน้ามองไปยังพี่รองท่านนี้ หมิงจูเลือกตวัดสายตามองมาที่หลินหลันพร้อมกับชักสีหน้าใส่ด้วยความโกรธเกรี้ยว
นางฮานเห็นท่าทีของหลี่หมิงอวินที่นับวันจะยิ่งแข็งข้อมากขึ้น ภายในใจจึงรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างยิ่งเช่นกัน แม้ว่าในสายตาของหลี่หมิงอวินจะไม่เห็นนางเป็นแม่อีกต่อไป ทว่าท่านย่าของเขายังอยู่ แล้วมันใช่หน้าที่เขาที่ต้องมาอบรมสั่งสอนผู้อื่นหรือ
นางฮานสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปรับสีหน้าให้เบิกบานก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หมิงจูเอ๋ย พี่รองของเจ้าพูดถูกยิ่งนัก ในเมื่อรู้จักมรรยาทแล้วก็ต้องปฏิบัติตามมรรยาทด้วย วันหน้าวันหลังอย่าได้พูดจาเลอะเทอะอีก”
หมิงจูกลอกตามองบนแล้วขานรับอย่างไม่เต็มใจ “เจ้าค่ะ…”
หญิงชราเอ่ยถามหมิงอวินภายใต้สีหน้ายิ้มแย้ม “ระยะนี้ท่านพ่อเจ้ายุ่งเรื่องอันใดนักหรือ กระทั่งกินข้าวปลาสักมื้อก็ปลีกออกมามิได้”
หมิงอวินลุกขึ้นกล่าวตอบ “เรียนท่านย่า ช่วงนี้ท่านพ่อมีราชกิจยุ่งยากมากมายขอรับ”
หญิงชราพยักหน้า “ราชกิจเป็นเรื่องสำคัญ ทว่าก็ต้องรักษาสุขภาพไว้ด้วยเช่นกัน หมิงอวิน เจ้าก็ปฏิบัติงานในราชสำนักเช่นกัน อย่างไรก็ช่วยแบ่งเบาความกังวลของท่านพ่อเจ้าให้มากๆ เข้าไว้ล่ะ”
หมิงอวินกล่าวด้วยท่าทีอ่อนน้อม “หลานเข้าใจเป็นอย่างดีและหลานจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ”
หญิงชราถอนหายใจ นางมองไปที่หมิงอวินแล้วจึงมองไปยังหมิงเจ๋อ “หมิงเจ๋อเอ๊ย! การสอบใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่”
หมิงเจ๋อลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “เรียนท่านย่า หลานขะมักเขม้นในการอ่านตำรามาโดยตลอด ครานี้หลานจะทุ่มเทแรงกายแรงใจสุดความสามารถที่มีทั้งหมดแน่นอนขอรับ”
หลินหลันแสยะยิ้ม การเอ่ยประโยคเช่นนี้ เสมือนกับครั้งก่อนเป็นเพียงการที่เขาไปสอบเล่นๆ ซึ่งไม่ได้เอาจริงเอาจังแต่อย่างใด
หญิงชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดีมากๆ หากครานี้สามารถสอบผ่านได้ วันข้างหน้าท่านพ่อและพวกเจ้าทั้งสามคนจะได้เป็นขุนนางในราชสำนักเช่นเดียวกัน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก”
นางฮานยิ้มเล็กยิ้มน้อยขณะมองไปยังบุตรชายของตนเองและนึกจินตนาการไปถึงวันที่หมิงอวินโมโหจนแทบกระอักเลือด
หมิงจูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีท่านพี่ใหญ่ก็มีความสามารถมากล้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งก่อนพลั้งพลาดไปเท่านั้นเอง ครานี้จะต้องประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
หมิงเจ๋อแอบจ้องเขม็งใส่หมิงจู นังเด็กซื่อบื้อ อย่าเอ่ยถึงเรื่องราวครั้งก่อนอีกจะได้หรือไม่