ตอนที่ 763 ประธานโม่ ทุกอย่างโอเคไหม

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

“ถ้ามีใครสักคนต้องสอนเขา คนคนนั้นควรจะเป็นถังหนิงมากกว่า คุณคิดว่าถังหนิงแสดงไม่ดีเท่าคุณหรือไง” ทีมงานคนหนึ่งกระซิบข้างหูของหวงฝู่ซั่ว

 

 

หวงฝู่ซั่วตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะกระแอมในลำคอเพื่อไล่ความกระอักกระอ่วน

 

 

“ประธานโม่ ทุกอย่างโอเคไหม” ผู้กำกับฉินเดินเข้ามาหาโม่ถิงเพื่อสอบถามความเรียบร้อยด้วยตัวเอง

 

 

โม่ถิงส่ายศีรษะอย่างนุ่มนวลเป็นเชิงให้ผู้กำกับรู้สึกสบายใจขึ้น

 

 

อย่างที่ได้เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ โม่ถิงนั้นล้มลุกคลุกคลานอย่างหนักเมื่อครั้งที่เขาเข้ามาดูแลไห่รุ่ยในช่วงแรก แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกคนอื่นใช้เป็นเครื่องมือ เขาจึงผ่านประสบการณ์ทุกอย่างในวงการนี้ด้วยตัวของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงหรือแสดงละคร เขาบังคับให้ตัวเองต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นและคุ้นเคยกับมัน เพราะเขาเข้าใจดีว่าตราบใดที่เขาควบคุมทุกสิ่งได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

 

 

“ดี งั้นเตรียมตัวให้พร้อมนะ ถึงเวลาถ่ายทำแล้ว” เฉินเฟิงกลับไปยังกล้องถ่ายละครและย้ำกับถังหนิง “ถังหนิง ระวังเรื่องอารมณ์ของเธอให้ดีด้วยล่ะ”

 

 

ถังหนิงมองโม่ถิงก่อนจะพยักหน้าให้ผู้กำกับ ฉากแรกคือฉากที่จวินอี้หลานสังเกตเห็นว่าตัวละครของถังหนิงกำลังตื่นเต้นกับของกระจุกกระจิกที่ดูน่าสนใจซึ่งขันทีเป็นผู้นำมาจากโลกภายนอก แต่กระนั้นเธอกลับไม่เคยเผยรอยยิ้มเช่นนั้นต่อหน้าจวินอี้หลานเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นทำให้เขาโกรธ

 

 

แรกเริ่มกล้องแสดงมุมด้านข้างที่ชิงหลานเผชิญหน้ากับจวินอี้หลาน หลังจากซูมเข้าไปยังใบหน้าของชิงหลาน กล้องได้เปลี่ยนไปโฟกัสที่จวินอี้หลาน

 

 

“ท่านประธานโม่จะทำได้จริงๆ งั้นเหรอ”

 

 

“ฉันกังวลจังเลย… ฉันว่าฉันกังวลมากกว่าตัวประธานโม่เองอีกนะ”

 

 

“ประธานโม่ไม่ใช่นักแสดงสักหน่อย ตอนที่เขาอยู่เงียบๆ เขาดูเหมือนคนที่มาจากโลกอื่นเลย ฉันหวังว่าเขาจะไม่ทำลายภาพลักษณ์ตัวเองเพราะการแสดงหรอกนะ”

 

 

ก่อนที่ฉากจะถูกเตรียมพร้อมถ่ายทำ บรรดาทีมงานที่เหลืออยู่ต่างพากันชำเลืองตามองไปยังโม่ถิง พวกเขากลัวว่าโม่ถิงจะไม่อาจแสดงได้และเป็นเรื่องน่าผิดหวัง

 

 

ในความเป็นจริงพวกเขาไม่ได้ตั้งความหวังอะไรไว้สูงนัก ถึงขนาดปิดตาของตัวเองเพราะกลัวจะสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้าจะไม่น่าดูนัก

 

 

ทันทีที่กระดานสเลตคัตฉากถูกตีลง ถังหนิงนั่งหัวเราะคิกคักอยู่บนม้านั่งไม้ทรงโค้งตัวหนึ่งพลางเปิดดูอัลบั้มภาพ ขณะนั้นเอง จวินอี้หลานก็ก้าวเข้ามามองดูใบหน้าอันมีความสุขของอีกฝ่าย และพูดขึ้น “ข้าไม่เคยเห็นท่านหัวเราะเช่นนั้นมาก่อน ข้าได้เห็นครั้งนี้ครั้งแรก”

 

 

ชิงหลานเงยหน้าขึ้น ทันทีที่นางเห็นจวินอี้หลาน ก็รีบซ่อนอัลบั้มนั้นไว้ด้านหลังด้วยความประหลาดใจ

 

 

จวินอี้หลานสะบัดชุดคลุมของเขาไปด้านหลังก่อนนั่งลงบนม้านั่งไม้ตัวนั้น แววตาและน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง ใช่แล้ว มันคือความผิดหวัง จากนั้นเขาก้มหน้าลงและพยายามจะสกัดกั้นความรู้สึกตนเอาไว้ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นจวินอี้หลานคนที่ชิงหลานรู้จัก แต่กระนั้นในยามเขาเอ่ย น้ำเสียงก็ยังสัมผัสได้ถึงความไร้ชีวิตชีวาเล็กน้อย

 

 

“ข้าคิดว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่ข้ากับท่านพึ่งพากันมานานแสนนาน ท่านจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่จำเป็นต้องซ่อนจากข้าอีกต่อไปแล้วเสียอีก แต่สุดท้าย ข้ากลับต้องพบกับความผิดหวัง ข้าทำให้ท่านไม่มีความสุขกระนั้นหรือ”

 

 

ชิงหลานดูเสียใจเล็กน้อย ก่อนครองสติตอบ “หากเจ้าไม่มีสิ่งใดอื่นแล้ว ได้โปรดกลับไปเสียเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว”

 

 

พูดจบ ชิงหลายก็ลุกขึ้นจากม้านั่ง แต่กระนั้น ขณะนางกำลังจะก้าวออกไป จวินอี้หลานกลับคว้าข้อมือนางเอาไว้ ดึงนางกลับมากดเข้ากับบานประตูไม้ทรงโค้ง ทั้งสองมองหน้ากันและกัน เปลวไฟในดวงตาของจวินอี้หลานดูราวกับพร้อมจะปะทุออกมาทุกเมื่อ เขาดูเย็นชาและเจ็บปวด แต่ก็โกรธเกรี้ยวและหมดหนทางในขณะเดียวกัน อารมณ์อันซับซ้อนทำให้เขารู้สึกสับสนจนไม่รู้จะทำอะไร

 

 

ส่งผลให้มือทั้งสองข้างของเขาสั่นเทิ่ม

 

 

“ข้าบอกเจ้าแล้วให้ระวังเจ้าขันทีนั่น”

 

 

“เจ้าเป็นลูกข้า เจ้าควรเรียกข้าว่าท่านแม่นะ!”

 

 

“เจ้าไม่เชื่อที่ข้าพูดอย่างนั้นหรือ” จวิ้นอี้หลายถามขณะที่เขาคว้าเข้าที่ลำคอของชิงหลาน

 

 

“จวินอี้หลาน อย่าลืมฐานะของเราทั้งคู่ ข้าเป็นมารดาเจ้า ข้าจะเรียกใช้ใครก็ได้ที่ข้าต้องการ มันเป็นเรื่องของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า”

 

 

“แต่เจ้าจะทำอะไรล่ะ ข้าสั่งย้ายเจ้าขันทีนั่นแล้ว นับจากวันนี้ไป มันจะไม่มาเสนอหน้าที่ตำหนักไท่เฉินนี้อีก!”

 

 

ใบหน้าชิงหลานเปลี่ยนเป็นแดงก่ำจนเส้นเลือดแดงเริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้างของนาง จากนั้นน้ำตาจำนวนมากเริ่มไหลเอ่อลงมาบนแก้มของชิงหลาน ผ่านกรอบหน้านางก่อนจะหยดลงบนมือขวาของจวินอี้หลานในที่สุด

 

 

ทว่านางยังคงมีความดื้อรั้นอยู่ภายในดวงตาทั้งสองข้าง “เอาเขากลับมาซะ!”

 

 

ได้ยินเช่นนั้น จวินอี้หลานก็ผ่อนแรงจากอุ้งมือที่รัดรอบคอชิงหลาน และพิศมองนางอย่างเย้ยหยัน “ข้าลืมไป ท่านแม่ไม่มีเจตนาจะทำร้ายข้าเพราะเห็นแก่คนนอกอยู่แล้ว” พูดจบ เขาก็ก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าวก่อนจะหันหลังกลับและเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง

 

 

ชิงหลานยืนพิงประตูขณะที่เสียงสะอื้นเบาๆ จะเปลี่ยนเป็นการร้องไห้อย่างเจ็บปวด

 

 

“คัต!” ผู้กำกับเฉินเฟิงตะโกนก่อนยืนขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เยี่ยมมาก! ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าประธานโม่จะมีพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่แบบนี้ ที่สำคัญที่สุด ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทั้งสองคนจะถ่ายฉากนี้ได้ในเทกเดียว”

 

 

ทุกคนภายในกองถ่ายต่างตกตะลึง…

 

 

นี่มันเพิ่งเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

ฉากนั้นแสดงจบตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

ทุกคนต่างพากันกลั้นหายใจ ตอนที่โม่ถิงบีบคอถังหนิงทำเอาพวกเขารู้สึกราวกับตัวเองถูกบีบคอไปด้วย มันดูสมจริงมาก

 

 

“จวินอี้หลานรักชิงหลานมากจริงๆ …”

 

 

“โถ่… ชิงหลานต้องใจแข็งมากเลย ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองในขณะที่ต้องรับมือกับความป่าเถื่อนของจวินอี้หลาน มันน่าใจสลายที่สุด…”

 

 

“เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้นี้มันอะไรกัน โม่ถิงสุดยอดไปเลย! ไม่เห็นเคยมีใครพูดว่าประธานโม่แสดงละครได้ด้วย”

 

 

“เขาทำได้ทุกอย่าง นี่เขายังต้องการให้พวกเราทุกคนมีชีวิตอยู่อีกไหมเนี่ย”

 

 

เฉินเฟิงมองดูท่าทีสับสนที่ทุกคนแสดงออกมาทางสีหน้าและอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ “ประธานโม่ไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์พวกนี้หรอกนะ เขาเคยผ่านการฝึกซ้อมมาก่อนตอนที่เข้ามาดูแลไห่รุ่ยครั้งแรก”

 

 

“ทำไมไม่เห็นมีใครรู้เรื่องนี้เลย”

 

 

“ฉันคิดว่าถังหนิงเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน”

 

 

โม่ถิงรู้วิธีแสดงละครจริงๆ ที่จริงการแสดงของเขานั้นไร้ที่ติ!

 

 

ทันทีที่ทุกคนรู้เรื่องนี้ พวกเขาต่างพากันรู้สึกตื่นเต้น โลกนี้ช่างน่าเหลือเชื่อ คนคนหนึ่งจะสมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้อย่างไร

 

 

หลังเดินออกจากกองถ่าย โม่ถิงก็กลับมาเป็นตัวเองที่เย็นชาภายใต้ชุดสูทอันเรียบกริบพร้อมกับสีหน้าที่ดูจจริงจังอีกครั้ง แต่เมื่อเขาอยู่ในชุดโบราณ เขาพลันกลายเป็นจวินอี้หลานในทันที

 

 

“นายยังอยากจะสอนประธานโม่เรื่องการแสดงอยู่ไหม ดูการแสดงที่ลื่นไหลของเขาแล้วการแสดงของนายดูเหมือนเด็กเล่นขายของไปเลย!”

 

 

หวงฝู่ซั่วส่งเสียงไม่พอในใจลำคอก่อนจะหันหลังกลับพร้อมเอามือกอดอก “คนที่สมบูรณ์แบบเกินไปมันน่าเบื่อจะตาย!”

 

 

นักแสดงที่มีความสามารถจะสามารถชี้นำนักแสดงคนอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกันได้ โดยเฉพาะคนที่แสดงอยู่ในฉากเดียวกัน

 

 

ถังหนิงคุ้นเคยกับการควบคุมอารมณ์ของเธอ แต่เมื่อชั่วครู่ที่ผ่านมา ตอนที่เธอแสดงร่วมกับโม่ถิง เธอลืมตัวไปโดยสมบูรณ์ว่าเธอคือถังหนิง ทุกการโต้ตอบที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบต่อท่าทีของโม่ถิงทั้งสิ้น

 

 

ดังนั้นเธอจึงไม่อาจจินตนาการถึงระดับความสามารถในการแสดงของโม่ถิงได้

 

 

ชายคนนี้สมควรโดนตี ตอนที่อยู่บ้านเขาพูดมาได้ยังไงว่าตัวเองแสดงละครไม่ได้

 

 

“เอาละ ท่านประธานโม่ คุณจะอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้มาได้หรือยังคะ อย่าพูดนะว่าคุณแสดงละครไม่ได้น่ะ” ถังหนิงถามพลางยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง