บนเรือสำราญนั้นสนุกครื้นเครงกันเป็นอย่างมาก พวกคุณหนูล้วนไม่เหมือนกับปีก่อนๆ ที่เอาแต่รอคอยให้ถึงศาลาริมน้ำเพื่อไปสนุกสานานกันที่นั่น เพราะปีนี้ได้ให้สาวใช้ข้างกายไปถึงที่นั่นเพื่อจัดเตรียมสถานที่สำหรับพักชั่วคราวสองวันก่อน หลังจากนั้นค่อยนัดกันไปเป็นกลุ่ม
“พิงถิง ไฉนเจ้ายังอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองใบหน้าที่ร้อนรน กระนั้นก็ไม่ได้ขยับไปไหนของซั่งกวนพิงถิงอย่างสงสัย เพราะว่าที่บนเกาะไม่ได้กว้างมาก พวกนางจึงอยู่ห่างกันเพียงสองห้องกั้นเท่านั้น
“สะใภ้ใหญ่!” พิงถิงเหลือบมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างกระอึกกระอัก ฝืนยิ้มออกมาจากใบหน้าที่ยากจะปกปิดความผิดหวัง “ไม่มีใครนัดข้าให้ไปด้วย…”
ที่แท้ก็ถูกเขี่ยทิ้งนี่เอง! เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระจ่างใจขึ้นมา พิงถิงเป็นลูกอนุภรรยา ทั้งยังเป็นลูกอนุที่ภรรยาเอกไม่ชอบหน้า พวกคุณหนูลูกอนุภรรยาเหล่านั้นจึงไม่แน่ว่าจะให้ความสนใจกับนาง ลูกอนุที่ถูกเลี้ยงในนามภรรยาเอกล้วนแต่ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเว้นระยะห่างออกมาจากลูกอนุภรรยาพวกนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่คิดที่ให้ความสำคัญกับนาง และลูกอนุภรรยาเหล่านั้นเมื่อเห็นว่านางไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของภรรยาเอก ก็ย่อมถอยห่างออกจากนางให้ไกล ดังนั้นจึงไม่มีใครนัดนางมาด้วย หากนางต้องเข้าไปตัวคนเดียว มิสู้ไม่ไปจะดีเสียกว่า
“ปีก่อนๆ ล้วนเป็นคุณหนูรองที่ดึงคุณหนูของพวกเราเข้าไปด้วยเจ้าค่ะ!” ซีเยวี่ย สาวใช้ของพิงถิงกล่าวเสียงต่ำออกมาหนึ่งประโยค พิงถิงขอบตาแดงขึ้นมาเล็กน้อย ปีที่ผ่านมาเอาแต่เกลียดจิงอิ๋งที่ดึงตนไปทำนี่ทำนั่น ยามนี้จึงค่อยเข้าใจว่า นอกจากจิงอิ๋งที่ตนเกลียดที่สุดแล้ว ก็ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีตัวตนของนางเลย
“ข้าจะไปเดินดูที่ห้องครัวเสียหน่อย ดูว่าจัดเตรียมพวกของว่างและอาหารกลางวันไปถึงไหนแล้ว พิงถิงก็ไปเป็นเพื่อนข้าสิ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวเสียงเบา แม้จะไม่ชอบคุณหนูตัวน้อยที่ไม่อยู่ในสายตาผู้ใดคนนี้ ทั้งเอาแต่มองข้ามการมีอยู่ของนางมาโดยตลอด แต่นึกไปถึงกลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะของซั่งกวนเจวี๋ย อย่างไรเสียก็เป็นการถือโอกาสแสดงน้ำใจ นางจึงออกปากอย่างเรียบนิ่งให้พิงถิงตามนางมา
“ได้ สะใภ้ใหญ่!” พิงถิงซาบซึ้งอยู่บ้าง นางก็อยากเรียกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ว่าพี่สะใภ้อย่างสนิทสนมบ้าง แต่นึกถึงคุณหนูหลายตระกูลล้วนอยู่บนเกาะอยู่มากมาย อย่างไรก็ต้องเรียกตามธรรมเนียมอย่างเว้นระยะห่างและให้ความเคารพไปก่อน
“ใครให้เจ้าเรียกเช่นนั้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวตำหนิอยู่บ้าง “หรือแค่เรียกว่าพี่สะใภ้จะทำให้เจ้าลำบากใจอย่างนั้นหรือ?” “ข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียกเช่นนั้น!” พิงถิงอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ บนเรือสำราญทุกคนล้วนสนุกสนานกันยกใหญ่ แต่กลับไม่มีใครมาชักชวนนางพูดคุยเลย ในยามที่นางเป็นฝ่ายเข้าไปผูกสัมพันธ์ด้วยก็กลับถูกต้อนรับอย่างเย็นชา จะกล้าออกตัวอย่างสนิทสนมได้อย่างไร!
“พี่น้องของสามีเดิมทีก็มีไม่มาก ทุกคนล้วนเป็นลูกหลานของตระกูลซั่งกวน จะไม่มีคุณสมบัติได้อย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกสงสารนางอยู่บ้าง มีมารดาที่ไม่รู้จักหนักเบาเช่นนั้น คิดไปเองว่ามีฮูหยินใหญ่คอยหนุนหลัง ก็ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำตั้งตัวเป็นศัตรูกับภรรยาเอก ผลลัพธ์ล่ะ? ตัวเองถูกซั่งกวนฮ่าวหน่ายหนี ถูกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเกลียดขี้หน้า ลูกชายไม่ได้รับความโปรดปราน ความเป็นไปได้ที่ลูกสาวจะปรับเปลี่ยนฐานะก็สูญสลายหายไป มองอนุภรรยาหวังหันกลับมามองนาง แทบที่จะได้รับการปฏิบัติแตกต่างโดยสิ้นเชิง แม้ว่าอวี่ฮ่าวจะไม่ออกปากออกเสียง ไม่แก่งแย่งสนใจอะไร แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็จัดการเอื้ออำนวยสิ่งของต่างๆ ให้สองแม่ลูกคนนั้น ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ ก็ไม่ลืมเตรียมไว้ให้เขาแม้แต่น้อย จะเหมือนกับอวี่ไข่ได้อย่างไร หากต้องการอันใดล้วนต้องเอ่ยปากหรือกระทั่งไปประจบประแจงกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยจึงจะได้สมปรารถนา เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อเป็นอย่างมากว่า หากอนุภรรยาหวังสามารถให้กำเนิดลูกสาวอีกคนได้ ก็ย่อมถูกเลี้ยงอยู่ในนามของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ แน่นอนว่าตั้งแต่เล็กย่อมมีฐานะที่ไม่ด้อยไปกว่าหลิงหลงและจิงอิ๋งแน่นอน
“พี่สะใภ้…” พิงถิงเรียกออกมาอย่างตะกุกตะกักอยู่บ้าง นางและจิงอิ๋งมีอายุเท่ากัน แม้ว่าเพื่ออนาคตของตนต้องคอยประจบเอาใจทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด แต่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยแม้ปากจะว่าบอกว่านางนั้นดี แต่ในใจกลับยังคงชิงชังในชาติกำเนิดของนาง ไม่อนุญาตให้นางปรากฏตัวใกล้ชิดในสายตาผู้คนมากจนเกินไป รู้สึกว่าทำให้ตัวเองด้อยฐานะไปด้วย การกระทำที่ไม่คาดนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงทำให้นางซาบซึ้งใจ
“ไปเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยกมือขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไหนพิงถิงก็มีสายตาที่หลักแหลมกว่าหลิงหลงและจิงอิ๋ง นางเผยรอยยิ้มจูงมือไปกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ คล้ายกับว่าทั้งสองคนนั้นสนิทสนมเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว
——————
“พี่สะใภ้เจวี๋ย ท่านมาแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เพิ่งจะปรากฏกายที่ข้างศาลาริมน้ำ ฉีอวี่เจวียนก็ถลาเข้ามาฟ้องทันที “ข้านั้นแพ้ไปหลายรอบแล้ว ทุกครั้งล้วนเดาไม่ถูกว่าดื่มชาอะไรเข้าไปกันแน่ แทบจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะเข้าแล้ว! ท่านรีบเข้ามาช่วยข้าหน่อยเถิด!”
“เป็นไปได้อย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เลิกคิ้ว นี่ไม่ใช่หัวข้อที่ง่ายมากหรอกหรือ? จะทายผิดทุกครั้งได้อย่างไรกัน?
“จริงนะ!” ฉีอวี่เจวียนพยักหน้าอย่างสุดชีวิต “อีกอย่างพวกพี่น้องที่อยู่ที่นี่ก็แทบไม่มีใครเก่งกาจเลย ทำให้พวกคุณชายที่น่าชังอีกฝั่งนั้นแทบจะขำขันกันอยู่แล้ว!”
“ใช่แล้ว!” มู่หรงชิงอีเผยยิ้มบางยืนอยู่ด้านหลังฉีอวี่เจวียน คุณหนูตระกูลมู่หรงอีกสองคนล้วนยืนอยู่ด้านข้างชิงอี มีเพียงนางที่ถูกเชิญเข้ามาร่วมสนุก ส่วนชิงหวั่นนั้นไม่อยากที่จะร่วมกลุ่มกับพวกนาง
“พี่สะใภ้เจวี๋ย เจ้าต้องหาวิธีสั่งสอนพวกเขาให้ได้รับบทเรียนจึงจะถูก!” ผู้ที่กล่าวคือคุณหนูคนหนึ่งในตระกูลหลี่ เยี่ยนมี่เอ๋อร์จำได้อยู่เล็กน้อย แต่กลับไม่รู้ว่านางชื่ออะไร
“พิงถิง เอาแบบนี้…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กวักมือ ก่อนจะกระซิบข้างหูพิงถิงสองประโยค จู่ๆ พิงถิงก็เบิกตากว้าง ส่งเสียง ‘คิกๆ’ ก่อนจะหัวเราะตามมา
“ข้าเข้าใจแล้ว! จะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” พิงถิงพยักหน้ารัว ใบหน้าที่ผิดปกตินั้นทำให้พวกคุณหนูที่ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้กับน้องสามีสองคนจะทำอะไรกันแน่เกิดคันยุบยิบอยู่ในใจ
“พี่สะใภ้เจวี๋ย พวกเจ้าคุยอะไรกันหรือ?” หวงฝู่อวี๋หลิงนั้นไม่ชอบคบค้าสมาคมกับพิงถิงมาโดยตลอด ทั้งยังเกลียดท่าทีที่นางมีต่อจิงอิ๋ง แต่ปีที่ผ่านมาจำต้องไว้หน้าจิงอิ๋ง จึงพยายามฝืนใจอยู่กับนาง
“ความลับของสวรรค์มิอาจเปิดเผย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม ยื่นนิ้วโบกไปมาด้านหน้าริมฝีปาก “หากอยากจะรู้จริงๆ ก็ไปกับพิงถิงได้ แต่ว่า ไปได้มากสุดสามคนเท่านั้น หากมากไป ทำให้คนอีกฝ่ายสงสัยเข้า นั่นก็ไม่ดีแล้ว!”
ฉีอวี่เจวียนดึงตัวพิงถิงไว้ กล่าวยิ้มๆ “พิงถิง ข้าไปกับเจ้าได้หรือไม่?”
พิงถิงตกตะลึงไปเล็กน้อย ฉีอวี่เจวียนเป็นลูกภรรยาเอกของตระกูลฉี อีกทั้งยังเป็นลูกสาวภรรยาเอกเพียงคนเดียว แม้ว่าจะใจกว้างสดใส แต่เพราะว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับจิงอิ๋งไม่น้อย จึงเอาแต่พูดจาทำเรื่องไม่ไว้หน้าตนมาโดยตลอด จะเคยพบท่าทีเป็นมิตรของนางเช่นนี้ได้อย่างไร
“ข้าด้วย!” แม้ว่าหวงฝู่อวี๋หลิงจะยังคงเผยสีหน้าไม่ดีให้พิงถิง แต่แค่ไม่ทำหน้าดำทะมึนก็พอแล้ว
“เอาสิ! พวกเจ้าสามคนรีบไปรีบกลับล่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง ส่งสายตาเป็นนัยให้จื่อหลัว ก่อนจื่อหลัวจะยิ้มรับเดินออกไปเป็นเพื่อนทั้งสามคนทันที
“พี่สะใภ้เจวี๋ย ตกลงมีความคิดอะไรกันแน่?” คุณหนูจากตระกูลทั่วป๋าคนหนึ่งเดินยิ้มเข้ามาใกล้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย กลับเห็นในดวงตาของทั่วป๋าฉินซินเต็มไปด้วยความใคร่รู้ กระนั้นยังคงเผยท่าทีที่น่าชิงชังเช่นนั้นออกมา
“อันนี้น่ะหรือ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฉีกยิ้มขึ้นมา ทำให้คุณหนูพวกนั้นล้วนรู้สึกตาพร่าลายไปบ้าง “รอพวกพิงถิงกลับมาคำตอบของปริศนาก็จะเปิดเผยเอง อย่างไรให้พวกเจ้าคันยุบยิบในใจสักหน่อยดีกว่า!”
“เกลียดนัก!” พวกคุณหนูพากันหัวเราะร่า คนส่วนมากล้วนชื่นชอบความโดดเด่นและอารมณ์ขันที่ทำให้คนอยากเข้าใกล้ของพี่สะใภ้ซั่งกวน แน่อนว่า ทั่วป๋าฉินซินนั้นเกลียดจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“จื่ออวิ๋น ชงชาทั้งหมดออกมาหนึ่งกา แล้วใส่ขวดเล็กๆ ไว้เสีย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกคำสั่งทั้งรอยยิ้ม จื่ออวิ๋นรับคำสั่งก็ลงมือทำอย่างรวดเร็วทันที ไม่นานก็ชงชาสิบกว่าชนิดออกมา
“ในส่วนผสมของชาแดงเติมกลีบดอกไม้ ลำไยอบแห้ง น้ำผึ้ง และพุทราจีนลงไป จากนั้นส่งไปให้พวกเขาทายว่าด้านในมีอะไรบ้าง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย ออกคำสั่งอย่างราบเรียบ
“คิก…แค่นี้ก็จะยากสำหรับพวกเขาแล้วหรอกหรือ?” ทั่วป๋าฉินซินหัวเราะเยาะอย่างเยือกเย็น ก่อนจะคาดไม่ถึงว่าพวกคุณหนูกว่าครึ่งหนึ่งจะเบิกตามองนางด้วยความโมโห ในใจหดเกร็งขึ้นมา ไม่คิดจะสร้างความลำบากอะไรต่ออีก
จื่ออวิ๋นทำตามคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เติมส่วนผสมลงในชาแดงทันที ก่อนจะมอบให้สาวใช้ที่ยืนคอยอยู่ ใช้เชือกส่งไปฝั่งตรงข้าม ไม่นานนัก อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา เขียนชื่อชาแดงและส่วนผสมออกมาอย่างครบถ้วนชัดเจน ทั่วป๋าฉินซินหัวเราะอย่างเรียบนิ่งขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่กังวลว่าจะทำให้คนอื่นโมโห จึงไม่ได้กล่าวคำระคายหูอันใดออกมา
“จื่ออวิ๋น เติมน้ำบริสุทธิ์ลงบนชา ใช้กลิ่นของน้ำชาปิดเอาไว้ แล้วส่งไปอีกครั้ง ตอนเคลื่อนส่งไปให้ระวังด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ตั้งนานแล้วว่าไม่น่าจะยากสำหรับพวกคนอีกฝั่งนั้นได้ ต้องรู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับชาสุรา พวกคุณหนูเหล่านี้ล้วนมีความรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่พวกคุณชายไม่เหมือนกัน พวกเขาจำเป็นต้องคบค้าสมาคมกับคนประเภทต่างๆ ดื่มชาจิบสุรานั้นย่อมเป็นวิชาหนึ่งที่ต้องเรียนรู้ไว้
“พี่สะใภ้เจวี๋ย เช่นนี้จะยากสำหรับพวกเขาแล้วหรือ?” หวังเหยียนซินรู้สึกงุนงง นางรู้ดีว่าพวกคุณชายนั้นเก่งกาจเรื่องชามากกว่าพวกนาง
“แน่นอนว่าไม่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง พวกคุณหนูพากันถอนหายใจอย่างผิดหวังโดยพร้อมเพรียงกัน
“เช่นนั้นทำเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้ไปทำไมกัน ไม่เสียเวลาเปล่าหรอกหรือ?” ทั่วป๋าฉินซินไม่พลาดโอกาสที่จะเย้ยหยัน กล่าวเสียงสูง “แทนที่จะทำเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านี้ ยังมิสู้คิดว่าจะทำอย่างไรให้กลายเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา!”
บางคนนิ่งเงียบ บางคนก็เห็นด้วย แต่คนที่ผิดหวังกลับมีมากที่สุด
“คุณหนูทั้งหลาย พวกเจ้าอยากจะทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาหรืออยากจะเย้าแหย่พวกเขามากกว่ากัน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่สนใจทั่วป๋าฉินซิน กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“เดิมทีคิดอยากจะทำเป็นให้เรื่องยากสำหรับพวกเขา เพียงแต่ถ้าสามารถเย้าแหย่พวกเขาได้ อะไรก็ล้วนได้ทั้งนั้น! ใช่หรือไม่ ทุกคน?” หวังเหยียนซินรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นเก่งกาจ และเกลียดชังน้องสามีของพี่สาวตนคนนั้นเป็นอย่างมาก
“ใช่!” พวกคุณหนูตอบกลับทั้งหัวเราะ เยี่ยนมี่เอ๋อร์โบกมือเบาๆ จื่ออวิ๋นก็นำน้ำชาที่จัดการเสร็จแล้วส่งไป
ไม่นาน อีกฝั่งก็ตอบกลับอีกครั้ง นอกจากเขียนชื่อชาและแหล่งที่มาอย่างละเอียดทุกประเภทแล้ว ยังส่งข้อความที่ทำให้เหล่าคุณหนูโมโหขึ้นมาด้วย ‘ไม่เลว! พัฒนาขึ้นนี่! พยายามต่อไป!’
“พี่สะใภ้เจวี่ย ต้องจัดการพวกเขาขั้นสุดไปเลย!” พวกคุณหนูล้วนมีโทสะขึ้นมา พวกเขาลำพองตัวเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ
“ใช่ ไม่อาจปล่อยพวกเขาไปได้!” แม้ว่าปีที่ผ่านมาจะถูกพวกผู้ชายหยอกล้อจนเป็นปกติ ทั้งยังถูกพวกเขาสร้างความลำบากให้ กระนั้นก็เป็นเรื่องของคนๆ เดียว แต่ปีนี้เพราะเป็นกิจกรรมที่เป็นกลุ่มจึงนับว่าแตกต่าง
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างมีแผนในใจ และในยามนี้พวกพิงถิงที่ยิ้มจนใบหน้าแทบจะปริก็พากันเดินเข้ามา พวกนางไม่ได้ให้สาวใช้ช่วย ต่างก็ยกถาดเข้ามาด้วยตนเอง ด้านบนมีขวดเล็กๆ และของต่างๆ พวกคุณหนูที่หัวไวก็กระจ่างใจขึ้นมาทันทีว่ากำลังจะทำอันใด ยกมือปิดปากก่อนจะหัวเราะออกมา ในยามที่คนด้านข้างถามขึ้นอย่างสับสน ก็มีเสียงเบาพูดถึงการคาดเดาของตนเองขึ้นมา ชั่วพริบตานั้นคนทั้งหมดต่างก็พากันปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะทันที คล้ายกับว่ากลัวพวกผู้ชายอีกฝั่งจะสงสัยได้…
“เอาล่ะ ทุกคน เริ่มลงมือเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าลืมล่ะ ต้องใช้กลิ่นหอมของชาผสมผสานไปด้วย ไม่ใช่ว่าไม่ทันได้เปิดดูก็เดาออกเสียแล้ว ก่อนจะส่งไปต้องให้ข้าตรวจสอบดูก่อน อีกอย่างต้องส่งไปในเวลาเดียวกัน!”
“ได้!” พวกคุณหนูรับคำอย่างเฮฮา เริ่มลงมือทำงานด้วยบรรยากาศครึกครื้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน…
————————