บทที่ 83 ประจันหน้า
แสงกระบี่สีดำพาดผ่าน ร่างของหลัวซิวลงสู่พื้น เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น หน้าอกกระเพื่อม หอบหายใจอย่างรุนแรง
ศพของปีศาจหมาป่าหิมะหล่นลงบนพื้น หัวกลิ้งลงมา เลือดสาดกระเซ็น
“ยังเหลือ 7 ตัว!”
กระบี่ยาวขยับ ตวัดคราบเลือดบนนั้นออก หลัวซิวหรี่ตาลง วิชาท่าร่างเคลื่อนไหว พุ่งเข้าไปฆ่า
ปีศาจหมาป่าหิมะ 7 ตัว ก็ส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน
…….
“หลัวซิวเข้าไปนานขนาดนี้ ทำไมยังไม่ออกมา”
“ไอ้หมอนั่นคงไม่ได้แอบอยู่ข้างใน เพราะไม่อยากออกมาใช่ไหม นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ได้ยินว่าหลินจิงหยุน รออยู่ที่เวทีดวลความเป็นตายแล้ว”
“พวกนายว่า เขาจะตายอยู่ข้างในหรือเปล่า”
“ไม่มีทาง! ข้อบังคับของค่ายกลในหอคอยมังกรบิน คือเมื่อจอมยุทธ์บาดเจ็บอันตรายถึงชีวิต ต้องถูกส่งออกมาทันที เป็นพันปีมานี้ ไม่มีใครเคยตายมาก่อน!”
ขณะพวกศิษย์นอกสำนักจำนวนมาก กำลังถกเถียงอยู่ข้างนอกหอคอยมังกรบิน แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาจากหอคอยมังกรบิน
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว!”
ฉากข้างหน้ากลายเป็นภาพลวงตา หลัวซิวปรากฏตัวข้างนอกหอคอยมังกรบิน ข้างหน้าไม่มีปีศาจหมาป่าหิมะแล้ว
สีหน้าของเขาซีดเล็กน้อย เสื้อผ้าบนตัวมีรอยขาดหลายแห่ง แต่แววตากลับเป็นประกายระยิบระยับ เพราะการฆ่าในหอคอยมังกรบิน รอบๆ ตัวเขา ยังมีความอาฆาตแผ่ออกมาอย่างรุนแรง
ปีศาจหมาป่าหิมะ 15 ตัว ที่ชั้นสามของหอคอยมังกรบิน ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ผ่าน หลังฆ่าได้ 13 ตัว เขาใช้ปราณแท้จนหมด ไม่สามารถใช้วิชาท่าร่างออกมาได้ ตอนที่กำลังจะโดนปีศาจหมาป่าหิมะ 2 ตัวสุดท้าย ฉีกเป็นชิ้นๆ ก็ถูกส่งออกมา
การทดสอบฆ่าครั้งนี้ ทำให้หลัวซิวเข้าใจพละกำลังของตัวเอง เพิ่มเข้าไปอีกขั้น
“ดูสิว่าหลัวซิวจะอยู่อันดับที่เท่าไร!”
“ดูท่าทางที่เขาสูญเสียปราณแท้ น่าจะอยู่ใน 500 อันดับหรือเปล่า”
ทุกคนในที่นี้ ต่างมองไปยังศิลาอันดับรายชื่อข้างหอคอยมังกรบิน เหมือนสายตาของทุกคน มองไปยังอันดับรายชื่อที่อัดแน่นอยู่ด้านล่าง เพื่อหารายชื่อของหลัวซิว
แต่ทุกคนหาอยู่นาน ก็ยังหาชื่อของหลัวซิวไม่เจอ
“นี่……นี่เป็นไปได้ยังไง”
ขณะนั้น มีคนยื่นมือชี้ไปใน 200 รายชื่อที่อยู่สูงและสะดุดตาที่สุด
เมื่อเห็นท่าทางของคนนั้น ทุกคนอดใจสั่นไม่ได้ อย่าบอกนะว่า……
เห็นรายชื่อลำดับที่ 130 บนอันดับรายชื่อ ชื่อของหลัวซิวอยู่ตรงนั้น!
ส่วนลำดับที่ 200 แต่เดิม ถูกดันไปอยู่ในรายชื่อที่อัดแน่นอยู่ด้านล่างพวกนั้น
หลัวซิว! อันดับที่ 130 !
“พระเจ้าช่วย เป็นไปได้ยังไง เขาเพิ่งวิชาชี่ไห่ขั้น3เองนะ!”
ทุกคนอดหายใจเฮือกไม่ได้ เพราะเรื่องแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นที่นอกสำนักเซียวเหยามาก่อน
โดยทั่วไปคนที่สามารถอยู่ใน 150 อันดับแรก อย่างน้อยล้วนมีวิชาชี่ไห่ขั้น7 สถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา มีคนมีความสามารถ ใช้ผลการฝึกตนวิชาชี่ไห่ขั้นห้า อยู่ในอันดับพวกนั้น!
แต่ทว่าตอนนี้ หลัวซิวทำลายสถิติใหม่อีกครั้ง เขาใช้ผลการฝึกตนวิชาชี่ไห่ขั้น3 ทัดเทียมกับทุกคนที่มีวิชาชี่ไห่ขั้น7!
ไม่เพียงแค่นั้น การที่สามารถอยู่ในอันดับที่ 130 ในบรรดาวิชาชี่ไห่ขั้น7 ก็อยู่ในอันดับผู้มีฝีมือสูงแล้ว!
“ผลการฝึกตนของเขาคือวิชาชี่ไห่ขั้น3 เรื่องนี้ไม่มีทางผิดแน่นอน”
“แต่ผลการฝึกตนไม่สามารถอธิบายพละกำลังของจอมยุทธ์ได้ทั้งหมด”
“การบรรลุถึงวิทยายุทธ์ของหลัวซิว ต้องสูงส่งอย่างแน่นอน ได้ยินว่าวิชาท่าร่างของเขาวิจิตรมาก โดยเฉพาะกระบี่ของเขา รวดเร็วดั่งสายฟ้า!”
“แต่เขาน่าจะไปไม่ถึงชั้นสาม ไม่งั้นลำดับรายชื่อคงสูงกว่านี้”
แววตาที่ทุกคนมองหลัวซิว เต็มไปด้วยความตกตะลึง คนที่เพิ่งเข้านอกสำนักเซียวเหยา ผลการฝึกตนเพิ่งอยู่ในวิชาชี่ไห่ขั้น3 เข้าไปในหอคอยมังกรบินครั้งแรก ก็ได้รับคะแนนขนาดนี้
นี่ มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
เทียบกับฝั่งหอคอยมังกรบิน ตอนนี้สถานที่ที่คึกคักที่สุดในสำนักเซียวเหยา คือเวทีดวลความเป็นตาย
เมื่อวาน เรื่องดวลความเป็นตาย ของหลัวซิวกับหลินจิงหยุน ดังไปถึงหูศิษย์นอกสำนักตั้งนานแล้ว
สำหรับศิษย์ขั้นปฐมภูมิที่เข้ามาใหม่คนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะท้าประลองคนเก่าๆ ที่มีชื่อเสียงเล็กน้อย นี่เป็นเรื่องที่เห็นได้ไม่มาก ตั้งแต่ก่อตั้งนอกสำนักเซียวเหยามาพันปี
เวทีดวลความเป็นตาย ตั้งอยู่กลางลานฝึกยุทธ์
เวทีประลองยุทธ์ทั่วไปสูง 2 เมตร กว้างและยาว 10 เมตร
ส่วนเวทีดวลความเป็นตายสูง 5 เมตร กว้างและยาว 5 เมตร
ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานฝึกยุทธ์ ราวกับกระเรียนยืนอยู่ในฝูงไก่ โดดเด่นเหนือใคร แสดงฐานะพิเศษออกมาอย่างชัดเจน
พื้นที่กว้างและยาว 5 เมตร นับว่าไม่ใหญ่ แค่ขึ้นไปประจัญบาน เป็นตายทุกย่างก้าว!
เมื่อเวลาเดินไปเรื่อยๆ ดวงอาทิตย์อยู่กลางฟ้า ใกล้ถึงช่วงเวลาเที่ยง
“ทำไมหลัวซิวยังไม่มา หรือว่ากลัวตาย จนไม่กล้ามา”
“ดวลความเป็นตาย แค่ยื่นเอกสารรับรอง ต้องประจันหน้า ถ้ากลัวจนไม่กล้ามา ต้องโดนยกเลิกผลการฝึกตน ถูกไล่ออกนอกสำนัก”
“มาก็ตาย ไม่มาก็ตาย เหอะๆ”
“หลัวซิวก็สมองมีปัญหา วิชาชี่ไห่ขั้น3 ท้าประลองวิชาชี่ไห่ขั้น7 เขาคิดว่าตัวเองเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ”
ถึงฝั่งเวทีดวลความเป็นตาย มีคนรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครมองหลัวซิวดีเลยสักคน เพราะนี่คือการต่อสู้ตัดสิน ที่พละกำลังเหนือชั้นกันอย่างสิ้นเชิง
พูดถึงการที่คนมาดูการต่อสู้เยอะขนาดนี้ เพราะศิษย์ขั้นปฐมภูมิ ที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างหลัวซิว มีชื่อเสียงไม่น้อย
อันดับหนึ่งของการทดสอบขั้นปฐมภูมิ ไม่นับว่าเก่งอะไร แต่นอกสำนักมีข่าวลือนานแล้ว เขากับลู่เมิ่งเหยา ลูกสาวของเจ้าสำนักสนิทชิดเชื้อกัน ตอนทดสอบ ถูกผู้ดูแลที่ชื่อจางหลู่เหลียงทำให้ลำบากใจ ทำให้เจ้าสำนักลู่เฟยเฉิน ออกหน้าเอง ไม่เพียงปกป้องเขา หนำซ้ำยังให้จางหลู่เหลียงเข้าคุกน้ำใต้ดิน ถ้าไม่มีสัมพันธ์ในสำนัก จางหลู่เหลียงคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ไกลจากเวทีดวลความเป็นตาย ผู้อาวุโสเคราขาวคนหนึ่ง ยืนอยู่ห้องใต้หลังคาชั้นบนสุด ใบหน้าชรามีรอยยิ้มเย็นชา
“คนหนุ่มนิสัยฉุนเฉียว อ่อนหัดสิ้นดี” ผู้อาวุโสเคราขาวยกจอกชาขึ้นดื่ม รอยยิ้มบนใบหน้า เย็นชาลงเรื่อยๆ
ผู้อาวุโสเคราขาวทำหน้าที่ดำเนินเรื่องนอกสำนัก ของเอกสารรับรองการดวลความเป็นตาย และเขาคือจางหลู่เหลียง!
ในความเป็นจริง ครั้งนี้หลินจิงหยุนกับเจียงตงชิงไปหาเรื่องหลัวซิว โดยมีจางหลู่เหลียงคอยช่วยเหลืออยู่เงียบๆ
แต่เพราะบทเรียนครั้งที่แล้ว จางหลู่เหลียงไม่กล้าออกมาตรงๆ ดังนั้นจึงให้พวกหลินจิงหยุน ใช้ลู่เมิ่งเหยา เป็นข้ออ้างในการลงมือกับหลัวซิว
เรื่องราวกลายมาเป็นดวลความเป็นตาย เหตุการณ์เช่นนี้ คือผลลัพธ์ที่จางหลู่เหลียงต้องการ
“คิดว่ามีเจ้าสำนักคอยปกป้องนาย ก็เลยชะล่าใจไม่หวาดระแวงงั้นเหรอ นอกสำนัก วิธีที่ข้าจะฆ่านาย มีอย่างมากมาย!”
จางหลู่เหลียงดื่มชา ในใจหวังว่าหลัวซิวจะไม่กล้ามา ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะได้มีข้ออ้างลงมือเอง ทำลายผลการฝึกตนของไอ้เด็กเวรนั่น ถึงตอนนั้นจะให้เขาตายยังไง เขาก็จะได้ตายอย่างนั้น
“มาแล้ว!”
ภายใต้ดวงอาทิตย์อันร้อนแรง หนุ่มชุดดำคนหนึ่ง สะพายกระบี่เข้ามา ดึงดูดสายตาของทุกคนที่นี่
“เขากล้ามาจริงๆ งั้นเหรอ” คนส่วนใหญ่มีสีหน้าประหลาดใจ
“หลัวซิวกล้าประจันหน้า ไม่แน่อาจมีวิธีพิเศษอะไรก็ได้” มีคนส่วนน้อยที่คิดว่าหลัวซิวไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น รู้ว่าต้องตาย แต่ยังกล้าประจันหน้า ต้องมีอะไรแปลกประหลาดอย่างแน่นอน
“พูดก็ถูก ดวลความเป็นตาย สามารถใช้วิธีอะไรก็ได้ ถ้าหลัวซิวมีของมีค่าคุ้มครองชีวิต หรือสมบัติค่ายกลที่โจมตีเพียงครั้งเดียว ไม่แน่อาจกำจัดหลินจิงหยุนได้” มีคนเข้าใจอย่างรวดเร็ว และทำการคาดเดาออกมาเช่นนี้