เล่ม 1 ตอนที่ 127 อะไรกันนี่! นางฝีมือดีอย่างเหลือเชื่อ!

ราชินีพลิกสวรรค์

“ขึ้นสังเวียนมาสู้กับมารดาเจ้าเถิด!”

 

 

ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่หันมาจับจ้อง โจวเย่าจู่ถูกเด็กสาวที่สูงไม่เท่าตนลากไปข้างหน้า ทำให้เขาอัปยศอดสูยิ่งนัก โดยความรู้สึกนี้กลั่นออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ

 

 

“เจียงหลีปล่อยข้าไปเถอะ!” โจวเย่าจู่ขัดฝืนดิ้นรน

 

 

แต่ทว่า เจียงหลีกลับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ยังคงลากเขาขึ้นไปบนสังเวียนแล้วโยนเขาไว้บนนั้น

 

 

อ้าก!

 

 

โจวเย่าจู่ยืนโซเซและล้มลงกับพื้นสังเวียน ทำให้เกิดเสียงหัวเราะหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ เสียงหัวเราะเช่นนี้แทบจะทำให้โจวจู่จมหายไปเลย

 

 

เขามองไปที่เจียงหลีด้วยแววตาที่เกลียดชัง แต่แววตาแวววาวของอีกคนกลับปรากฏเพียงรอยยิ้มเย็นชา

 

 

“วันนี้ข้าจะชำระแค้นที่เจ้าลักพาตัวข้าไปขังไว้ที่วัดร้างบนเขาอย่างสาสม” มุมปากของเจียงหลีโค้งขึ้น

 

 

เพลานี้ ทุกคนต่างทราบดีว่าทั้งสองมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนเป็นแน่

 

 

พอได้ยินเจียงหลีพูดเพียงเท่านี้ ใบหูของลู่เสวียนก็ตั้งขึ้นพลางจ้องมองไปที่โจวเย่าจู่ด้วยแววตาอาฆาต

 

 

“เจ้า…เจ้าจะทำอะไรข้า” โจวเย่าจู่นั่งลงกับพื้นโดยฝ่ามือทั้งสองข้างวางอยู่บนพื้น พร้อมถอยหลังออกไปอย่างต่อเนื่อง

 

 

เขากลับมิกล้าเผชิญหน้ากับเจียงหลีในวันนี้

 

 

แววตาของเจียงหลีเต็มไปด้วยความประชดประชัน “คนไร้ประโยชน์ ขี้ขลาดตาขาวเยี่ยงเจ้า มีค่าพอที่จะเป็นคู่แข่งของพี่ชายข้าอย่างนั้นหรือ” นางเดินเข้าไปหาโจวเย่าจู่ทีละก้าว

 

 

สำหรับโจวเย่าจู่แล้ว สีหน้าของนางดำคร่ำเครียดและสายตาเย็นเยือกเช่นนั้น ทำให้รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก “เจ้า…เจ้าอย่าเข้ามา พ่อข้าเป็นขุนนางชั้นสูงแห่งราชสำนักเชียวนะ!”

 

 

“ข้ารู้แล้ว ครั้งที่แล้วเจ้าก็บอกแล้วมิใช่หรือ เจ้ายังพูดอีกว่าบ้านของข้า บัดนี้เป็นของตระกูลโจวไปเสียแล้ว” เจียงหลีพูดหยอกเย้า

 

 

ริมฝีปากของโจวเย่าจู่ปิดสนิท เขามิกล้ามองไปที่เจียงหลี

 

 

เจียงหลีหัวเราะเยาะ “วางใจเถอะ วันนี้ดวงเจ้ายังไม่ถึงคาด เพราะนี่คือสังเวียนสำหรับเด็กใหม่แห่งสถานบันไป๋หยวน ข้าต้องการเพียงคะแนนเท่านั้น”

 

 

พอได้ยินคำพูดของเจียงหลีเพียงเท่านี้ โจวเย่าจู่ผู้เป็นกังวลถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ทว่า เมื่อมองเห็นเจียงหลีที่ยังคงเดินเข้ามาหาตนเช่นนี้ เขาก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวและเป็นกังวลอีกครั้ง

 

 

หากถูกโจมตีจนล้ม ก็ต้องเจ็บหนักอย่างแน่นอน!

 

 

“ลุกขึ้น!” ทันใดนั้น เจียงหลีก็ตะโกนด้วยเสียงดุดัน

 

 

ผู้คนทั้งด้านบนและด้านล่างสังเวียนต่างพากันตกตะลึงไปตามๆ กัน

 

 

ซึ่งแม้แต่ลู่เสวียนเองก็มองไปที่หญิงสาวตัวเล็กๆ คนนั้นด้วยความตกใจราวกับว่านางคิดไม่ตกเหตุใดนางถึงระเบิดอารมณ์ที่ทรงพลังเช่นนั้นออกมา

 

 

โจวเย่าจู่มองไปที่หญิงสาวซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความตะลึงงันเช่นกันแล้วลุกขึ้นยืนอย่างมิสามารถควบคุมตัวเองได้

 

 

“ปล่อยวิญญาณยุทธ์ของเจ้าออกมา” เจียงหลีตะโกนอีกครั้ง

 

 

บรรยากาศรอบๆ สังเวียนตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบสงบทันที พวกเขาทั้งหมดต่างเฝ้าดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นบนสังเวียนอย่างเงียบๆ และไม่มีใครรู้ว่าสาวชุดดำผู้สง่างามคนนี้จะทำอะไรต่อไป

 

 

“ข้า…”

 

 

“อืม”

 

 

เสียงอุทานที่เย็นเยือกของเจียงหลี ขัดจังหวะคำพูดที่สั่นเทาของโจวเย่าจู่

 

 

แสงสีทองที่อยู่ด้านหลังเขาแทบจะมาพร้อมกับปลายเสียงของเจียงหลี ทันใดนั้นวิญญาณยุทธ์ก็ปรากฏขึ้นทันที

 

 

แน่นอนว่าแม้จะปล่อยวิญญาณยุทธ์แล้ว สถานการณ์ของโจวเย่าจู่ก็มิได้ดีขึ้นเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นเพราะความขี้ขลาดของเขาเองเป็นเหตุทำให้จิตวิญญาณยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวังและห่อเ**่ยวในหัวใจ

 

 

แพ้แล้ว!

 

 

แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงแข่งด้วยซ้ำ!

 

 

พอทุกคนเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ

 

 

พลังอำนาจของหญิงสาวผู้นั้นจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ต่อให้โจวเย่าจู่จะปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกไป แต่ในพลังกลับพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

 

 

เจียงหลีวางมือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง แววตาแวววาวกลับเปลี่ยนเป็นดุดัน แล้วมองไปที่โจวเย่าจู่พร้อมกับก้าวไปข้างหน้า

 

 

อ้า!

 

 

โจวเย่าจู่กรีดร้อง ขาของเขาอ่อนระทวยพร้อมกับก้าวถอยหลังสามก้าว วิญญาณยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังเขาที่ประสานกับพลังของเจียงหลี ได้พังทลายและมลายหายไปอย่างไม่ทันคาดคิด

 

 

ตู้มมม!

 

 

โจวเย่าจู่งอเข่าพร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเจียงหลี โดยเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่เปียกชุ่ม

 

 

ทุกคนที่อยู่บริเวณสังเวียนต่างนิ่งเงียบและแววตาที่ตกตะลึงนั้นแฝงไปด้วยความหวาดกลัว ไม่ว่าโจวเย่าจู่จะไร้ความสามารถสักเพียงใด แต่เขาก็เป็นถึงหลิงซื่อขั้นที่หก

 

 

ขณะเดียวกัน เจียงหลีใช้เพียงพลังอำนาจของตนในการปราบปรามเขาอย่างสมบูรณ์ โดยเขามิได้มีโอกาสตอบโต้เลยแม้แต่น้อย

 

 

ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ

 

 

ความคิดนี้ได้ผุดขึ้นในใจของผู้คนนับไม่ถ้วนแล้ว

 

 

ลู่เสวียนจ้องไปที่สังเวียนอย่างตื่นตะลึง แววตาปรากฏความชื่นชมอยู่เล็กน้อยแล้วพูดในใจว่า พี่ใหญ่ไปขุดหลียาโถ่วมาจากที่ใดกัน ช่างเป็นคนอันเป็นที่รักยิ่งเสียจริงๆ

 

 

เจียงหลีอายุเพียงสิบสามปี ถึงกระนั้นก็ตาม ใครจะสามารถคาดเดาได้ว่านางจะยืนทะยานขึ้นระดับสูงถึงจุดใดและจะระกอบอาชีพลักษณะใดอีกไม่กี่ปีหรือสิบกว่าปีต่อจากนี้

 

 

เงื่อนไขคือนางต้องเติบโตอย่างมีคุณภาพก่อน ดวงตาของลู่เสวียนเฉยชาและมือทั้งสองก็กำหมัดแน่น หลียาโถ่วพรสววรค์สูงยิ่งนัก ต้องปกป้องดูแลให้ดี!

 

 

“เจ้าแพ้แล้ว” เจียงหลีกล่าวอย่างเย็นชา พลังอำนาจบนร่างกายของนางมิได้ลดน้อยถอยลงเลย แต่มีเพียงโจวเย่าจู่เท่านั้นที่สัมผัสถึงแรงกดดันที่มิอาจต้านทานได้

 

 

เจียงหลีขาดความสนใจเล็กน้อย ปฏิกิริยาของโจวเย่าจู่ ทำให้นางผิดหวังอย่างมาก นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โจวเย่าจู่เปรียบเสมือนมดในสายตาของนางก็ไม่ปาน

 

 

แต่ถ้าหากเรื่องของเจียงหลินเฟิงเกี่ยวข้องกับพ่อของโจวเย่าจู่จริงๆ นางคงรู้สึกเสียดายแทนตระกูลโจวที่พ่ายแพ้ให้กับคนเยี่ยงนี้!

 

 

“ไสหัวไป” เจียงหลีตะโกนด้วยเสียงเย็นชา

 

 

ใบหน้าของโจวเย่าจู่ซีดขาวดุจกระดาษ พอได้ยินคำนี้ เขาก็คลานลงสังเวียนราวกับได้รับนิรโทษกรรมและหายตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว

 

 

เขาเดินจากไปและมิกล้าแม้แต่จะล้างแค้น

 

 

เพราะไม่มีใครรับรู้ถึงความน่ากลัวของเจียงหลีได้เท่ากับเขาอีกแล้ว

 

 

เจียงหลีที่โด่งดังอย่างกะทันหันเป็นที่รู้จักของเหล่าบรรดาเด็กใหม่มากขึ้นอย่างรวดเร็ว และผลการท้าประลองที่นางกำราบโจวเย่าจู่ก็แพร่กระจายอย่างน่าอัศจรรย์เช่นกัน จนดึงดูดผู้ที่อยู่ในสิบอันดับแรกเข้ามา

 

 

โดยทั่วไปแล้วคนที่อยู่ในสิบอันดับแรก ก็มักไม่อยากเห็นม้ามืดปรากฏตัวขึ้น

 

 

“เจ้าคือเจียงหลีหรือ”

 

 

เจียงหลีมาถึงสถาบันไป๋หยวนเพียงวันที่สอง ผู้อยู่ในอันดับที่สิบก็อดไม่ไหวที่จะก้าวออกมา

 

 

เพราะหากเจียงหลีเก็บคะแนนได้มากยิ่งขึ้น ก็อาจจะเป็นเขาที่ถูกเตะออกเป็นคนแรก

 

 

สำหรับลู่เสวียนที่ทำผลงานดีไม่แพ้กัน กลับถูกละเลย ไม่ว่าสาเหตุมาจากสถานะของเขาเองหรือไม่ก็ตาม บัดนี้ พลังวังชาทั้งหมดกลับพุ่งไปที่เจียงหลีเพียงคนเดียว

 

 

“เจ้าเป็นใครกัน” เจียงหลีที่เพิ่งจบจากการต่อสู้บนสังเวียนหันหน้ากลับมามองชายหนุ่มที่ขึ้นมาบนสังเวียนจึงยักคิ้วเอ่ยถาม

 

 

ชายหนุ่มยิ้มอย่างมั่นใจ “ข้าเป็นใครน่ะหรือ เจ้ายังมิคู่ควรที่จะถามเช่นนั้น วันนี้ข้าจะลองดูว่าเจ้าเก่งกาจสมคำร่ำลือหรือไม่”

 

 

พอพูดถึงเพียงเท่านี้ เขาก็ปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกมาทันทีและพุ่งตรงไปที่เจียงหลี

 

 

เจียงหลีขมวดคิ้วและมองไปที่ชายหนุ่มผู้นั้น

 

 

พลังวิญญาณที่คมราวกับมีดดาบกระหน่ำเข้าหานางจนเสื้อผ้าของนางเกิดเสียงสายลมดัง

 

 

แน่นอนว่านางเพียงยกมือข้างเดียวและออกหมัดอย่างจริงใจไม่เสแสร้งด้วยความเร็วที่ช้ามาก แต่เมื่อนางสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณจากคู่ต่อสู้ นางก็กลายเป็นสัตว์ร้ายคำรามทะลุผ่านการป้องกันของคู่ต่อสู้อย่างมิอาจต้านทานได้และหมัดก็ได้พุ่งตรงไปที่เอวของเขา

 

 

เอื้อก!

 

 

ผู้ท้าประลองถึงกับกระอักเลือดและร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้วกระเด็นออกจากสังเวียน

 

 

มีอีกกระบวนท่าแล้ว!

 

 

ทุกคนต่างตกตะลึง สองวันที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าเจียงหลีจะต่อสู้กับผู้ใดก็ตาม ล้วนออกอาวุธเพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น คู่ต่อสู้ก็ต่างพ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียวเช่นกัน

 

 

นางแข็งแกร่งได้ถึงขนาดไหนเชียว!

 

 

ในที่สุด เด็กใหม่คนอื่นๆ ต่างเริ่มครุ่นคิดประเด็นนี้ในใจ

 

 

“ไร้มารยาทสิ้นดี” เจียงหลีที่อยู่บนสังเวียนยืนมองร่างที่บินเหินออกไปแล้วกล่าวอย่างเย็นชา

 

 

แน่นอนว่าขณะนี้มีเสียงดังมาจากระยะไกล เจียงหลีเงยหน้าขึ้น มองเห็นเพียงฝูงชนแออัดกลุ่มเดิมแยกออกเป็นทางซ้ายขวาโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับมีเงาคนค่อยๆ ปรากฎออกมา…