ตอนที่ 149 เจอกับว่าที่เจ้าบ่าวโดยบังเอิญ

เดิมพันเสน่หา

ไซ่ตี้จวิ้นไม่ได้ผิดคำพูด เขาพาเหลิ่งรั่วปิงเที่ยวชมวิวรอบเมืองตลอดทั้งวัน อีกทั้งตอนกลางคืนยังพาเหลิ่งรั่วปิงไปดินเนอร์ก่อนจะส่งเธอกลับวิลล่าตระกูลฉู่

มาถึงหน้าประตูบ้านตระกูลฉู่ ไซ่ตี้จวิ้นลังเลไม่ยอมเปิดประตูรถ เขามองหน้าเหลิ่งรั่วปิงด้วยความคิดถึง มุมปากคลี่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา

เหลิ่งรั่วปิงถูกเขาจ้องจนทำตัวไม่ถูก “คุณจะอยากมองหน้าฉันแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่คะ”

“ถ้าคุณยอม ผมขอมองแบบนี้ตลอดชีวิตครับ”

บทสนทนาแบบนี้เคยเกิดขึ้นที่เมืองเฟิ่งครั้งหนึ่งแล้ว เหลิ่งรั่วปิงที่ได้ยินเป็นครั้งที่สองจึงไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวมาก ผ่านเรื่องราวความรักที่ขึ้นลงไปมา ทำให้หัวใจของเธอในตอนนี้เหมือนมีผ้าบางๆ ห่อหุ้มเอาไว้ ไม่อาจสามารถเปิดมันออกง่ายๆ “คุณรู้ดีนี่หนิคะ ตอนนี้ฉันยังไม่ต้องการ”

แววตาไซ่ตี้จวิ้นฉายความผิดหวัง แต่เขายังคงยิ้มอย่างอบอุ่น มองดูเธอด้วยความรัก “พรุ่งนี้ผมจะช่วยหาที่อยู่ใหม่ให้คุณ คุณย้ายออกมาเถอะ” จะให้เขาวางใจปล่อยเธออยู่กับฉู่เทียนรุ่ยได้อย่างยังไรง

เหลิ่งรั่วปิงไม่คิดจะอยู่ที่วิลล่าตระกูลฉู่เป็นเวลานานอยู่แล้ว “เรื่องที่อยู่ เดี๋ยวฉันหาเองค่ะ”

“ทำไมเรื่องแค่นี้คุณถึงไม่ยอมให้ผมช่วย คุณรังเกียจมากเลยเหรอ”

เหลิ่งรั่วปิง “…”

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ที่ของคุณ แต่คุณอย่าเก็บคาเช่าแพงเกินไปนะคะ” เหลิ่งรั่วปิงไม่อยากคิดมาก แค่ที่อยู่ใหม่เท่านั้น

ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มด้วยความพอใจ “ฝันดีครับ”

“ฝันดีค่ะ”

เหลิ่งรั่วปิงปลดเข็มขัดนิรภัยลง เปิดประตูรถด้วยตนเองแล้วเดินลงไป จากนั้นโบกมือลาไซ่ตี้จวิ้น

หลังจากไซ่ตี้จวิ้นไป ฉู่เทียนรุ่ยยืนมือล้วงกระเป๋า มองดูคนที่เดินเข้ามาด้วยสายตาเย็นยะเยือก “สวีทหวานกันจริงๆ หื้ม?”

เหลิ่งรั่วปิงหันหน้ามา เธอยิ้มอย่างสดใส “วันนี้สนุกไหมคะ”

ฉู่เทียนรุ่ยกัดฟันกรอดแล้วพูดออกมาทีละคำ “คุณคิดว่ายังไงล่ะ”

“แฮะร่ๆๆ…” นอกจากยิ้มแห้งๆ แล้ว เหลิ่งรั่วปิงไม่รู้จะพูดอะไร แผนของเธอในวันนี้ คือการใช้ฉู่เทียนรุ่ยเป็นเครื่องมือเพื่อให้เธอกับไซ่หย่าเซวียนไม่ต้องมีปัญหากันอีก สิ่งที่เธอทำมันไม่สมควรเท่าไรหร่

“คุณควรจะอธิบายความสัมพันธ์ของคุณกับไซ่ตี้จวิ้นให้ผมฟังหน่อยหรือเปล่า หื้ม?”

“พวกคุณพูดกันเองไม่ใช่เหรอคะ เมื่อก่อนฉู่หนิงซยาตามจีบเขาแทบตาย ฉันเดาว่าคุณไซ่ตี้จวิ้นคงหวั่นไหวมั้งคะ”

“คุณเห็นผมเป็นเด็กสามขวบหรือไง” ทำไมเมื่อสามปีก่อนเขาถึงไม่หวั่นไหว หึ พอหนิงซยาตื่นขึ้นมาเจอกันครั้งแรกเขาก็หวั่นไหว หลอกเด็กสามขวบหรือไง

เหลิ่งรั่วปิงเม้มปากยิ้ม รอยยิ้มของเธอเหมือนดอกเบญจมาศใต้แสงอาทิตย์ เธอเดินผ่านฉู่เทียนรุ่ยเข้าไปในวิลล่า

ฉู่เทียนรุ่ยถูกเพิกเฉย ภายในใจของเขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาเดินตามเหลิ่งรั่วปิงเข้าไปในวิลล่า พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหลิ่งรั่วปิง เชื่อไหมว่าผมจะถอดหน้ากากของคุณออกมาตอนนี้เลย”

เหลิ่งรั่วปิงมองดูเขาอย่างไม่ยี่หระ “ถ้าคุณมีปัญญาก็มาสิคะ”

ฉู่เทียนรุ่ยโมโจนเลือดขึ้นหน้า ตอนเช้าเขากับเธอได้ใช้กำลังกันนิดหน่อย เขายังไม่รู้ว่าฝีมือของเหลิ่งรั่วปิงอยู่ในระดับไหน ตอนนี้ถือเป็นโอกาสดี ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยื่นมือออกไปจะคว้าตัวเหลิ่งรั่วปิง แน่นอนว่าเหลิ่งรั่วปิงไม่มีวันปล่อยให้ตนเองเสียเปรียบ ทั้งสองคนขึ้นเริ่มสู้กันในห้องรับแขก

สลับกันรุกสลับกันรับกว่าสามสิบครั้ง ฉู่เทียนรุ่ยเป็นฝ่ายเสียเปรียบตลอด สุดท้ายเขาถูกเหลิ่งรั่วปิงเตะจนล้มลงนั่งบนโซฟา

“ฮ่าๆๆ…” ฉู่เทียนรุ่ยหัวเราะอย่างมีความสุข “เยี่ยมมาก เหลิ่งรั่วปิง ฝีมือคุณเหนือกว่าผมอีก”

เหลิ่งรั่วปิงตบมือเบาๆ “รู้ว่าฝีมือของฉันระดับไหน ก็อย่ามาข่มขู่ฉันอีก คุณชักสีหน้าแบบนี้ให้ใครดูคะ”

“ครับๆๆ” ฉู่เทียนรุ่ยนวดซี่โครงของเขาที่ถูกเธอเตะ พร้อมกับส่งยิ้ม “คุณกับไซ่ตี้จวิ้นเคยรู้จักกันมาก่อน?”

“ใช่ค่ะ พวกเรารู้จักกันที่เมืองหลง”

“งั้นก็พูดแต่แรกสิ คนที่ผมเคยบอกว่าจะแนะนำให้คุณรู้จักก็คือเขานั่นแหละ ตอนนี้ก็หมดปัญไปหาแล้ว ผมเองประหยัดข้าวไปหนึ่งมื้อหนึ่ง”

เหลิ่งรั่วปิงยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา “เทียนรุ่ย ฉันอยู่ที่นี่รบกวนคุณมานานแล้ว อีกสองวันฉันจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก”

“ไปอยู่กับไซ่ตี้จวิ้น?”

“ไม่ใช่ค่ะ ฉันแค่จะไปเช่าคอนโดของเขา”

ฉู่เทียนรุ่ยไซ่ตี้จวิ้นถอนหายใจยาวๆ “เฮ้อ เหลิ่งรั่วปิง คุณไม่ให้โอกาสผมเลยสักนิด หนีไปอยู่กับไซ่ตี้จวิ้นแบบนี้เลย?”

เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะ “พอได้แล้ว ฉันกับไซ่หย่าเซวียนเพิ่งญาติดีกัน คุณอย่าทำร้ายฉันเลย”

ฉู่เทียนรุ่ยเป็นคนรักอิสระ ไม่ต้องการที่จะแต่งงาน เขาเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น

“ฮึๆๆ…” ฉู่เทียนรุ่ยหัวเราะเบาๆ “ครับ ผมไม่มีสิทธิ์ห้ามคุณ แต่ผมอยากจะบอกอะไรกับคุณอย่างหนึ่ง ผมกับไซ่ตี้จวิ้นเป็นเพื่อนกันมากว่าสิบปีแล้ว เขาเป็นคนให้ความสำคัญกับความรัก ผมดูออกว่าเขาจริงจังกับคุณ ถ้าคุณไม่คิดที่จะคบเขา ก็รีบบอกเขาเถอะ”

เวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งเดือนที่อยู่ด้วยกัน ฉู่เทียนรุ่ยมองทะลุปรุโปร่ง เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อีกทั้งเขาคิดว่าเธอยังไม่ลืมหนานกงเยี่ย

เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้น “ทำไมคะ คุณบอกว่าฉันเป็นญาติคุณ แต่ตอนนี้กังวลว่าฉันจะเล่นกับความรู้สึกของเพื่อนสนิทคุณ?”

สีหน้าของฉู่เทียนรุ่ยเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “คุณรู้ว่าผมไม่ได้หมายความแบบนั้น คุณเป็นญาติของผม ส่วนไซ่ตี้จวิ้นเป็นเพื่อนสนิทของผม ผมอยากให้พวกคุณรักกัน แต่ดูออกว่าหัวใจของคุณไม่ได้อยู่ที่เขา ผมแค่ไม่อยากให้สุดท้ายพวกคุณทั้งสองคนต่างทำร้ายความรู้สึกของกันและกัน”

เหลิ่งรั่วปิงมองฉู่เทียนรุ่ยเงียบ เธอเห็นเงาของอาเธอร์บนตัวเขา เขาเหมือนพี่ชาย เหมือนญาติ “ฉันรู้ค่ะ ฉันจะจริงจังกับความรู้สึกของเขา แต่ฉันขอเวลาหน่อย”

“อื้ม” ฉู่เทียนรุ่ยตบมือเหลิ่งรั่วปิงเบาๆ “ผมรู้ว่าคุณอยากมีชีวิตเรียบง่าย ไซ่ตี้จวิ้นเป็นผู้ชายรักเดียวใจเดียว การที่คุณจริงจังกับเขาผมดีใจมากนะ ถ้าเป็นไปได้ คุณอย่าร่อนเร่ไปไหนอีกเลย ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่ประเทศเอ้าตู ผมเป็นญาติของคุณ ผมจะคอยอยู่เคียงข้างคุณเอง”

“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่คนที่จะซึ้งใจง่ายๆ แต่ฉู่เทียนรุ่ยเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้ง

*****

ไซ่ตี้จวิ้นใจร้อนมาก เขาหาที่อยู่ให้เหลิ่งรั่วปิงอย่างรวดเร็ว เป็นคอนโดมิเนียมหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมือง พร้อมกับเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้เธอจนครบ เธอแค่ลากกระเป๋ามาก็สามารถเข้าอยู่ได้เลย

ยืนอยู่ในคอนโดมิเนียมที่ตกแต่งอย่างหรูหรา เหลิ่งรั่วปิงคลี่ยิ้ม “คุณไซ่ตี้จวิ้น คุณให้ฉันอยู่คอนโดที่ดีขนาดนี้ คิดจะเก็บค่าเช่าฉันเท่าไหร่คะ”

ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มอย่างอ่อนโยน “สามารถได้นักสถาปนิกเก่งๆ อย่างคุณฉู่มาร่วมงาน ถือเป็นเกียรติของผม คุณตั้งใจออกแบบอาคารให้ดีเป็นการตอบแทนก็แล้วกันครับ”

เหลิ่งรั่วปิงรู้ ถ้าเธอพูดเรื่องค่าเช่าเขาจะต้องโมโหแน่ๆ ดังนั้นเธอก็จะอยู่ที่นี่ด้วยความสบายใจแล้วกัน “จริงด้วย ฉันทำความเข้าใจเกี่ยวกับอดีตของฉู่หนิงซยา เหมือนว่าเธอไม่มีความสามารถด้านไหนเลย อีกทั้งยังไม่มีความรู้เรื่องสิ่งก่อสร้าง ถ้าฉันไปเป็นนักสถาปนิกของบริษัทคุณ ฉันกลัวว่าจะทำให้คนอื่นสงสัย”

“เรื่องนี้ผมคิดดูแล้ว ความเป็นจริงเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ก่อนที่ฉู่หนิงซยาจะประสบอุบัติเหตุ เธอได้ไปเรียนต่างประเทศสองปี แม้ว่าเธอจะเอาแต่เที่ยวเล่น แต่ถ้าจะพูดถึงความรู้ที่เธอเรียนมา ไม่มีใครสามารถพูดได้ทั้งหมด คืนนี้คุณไปร่วมงานเลี้ยงกับผม ผมมีวิธีที่จะทำให้คุณเข้ามาอยู่ในวงการสถาปนิกเอง”

“งานเลี้ยงอะไรคะ”

“เป็นงานเลี้ยงที่นักธุรกิจ นักการเมืองและดารามา สั้นๆ ก็คือเป็นงานเลี้ยงระดับหรู”

“ฉันไม่อยากไปค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงเกลียดการไปงานเลี้ยงพวกนี้มาก โดยเฉพาะงานเลี้ยงที่หรูหราแบบนี้

“ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบ แต่ตอนนี้คุณคือฉู่หนิงซยา สถานะนี้บีบให้คุณต้องอยู่ในวงการ”

เหลิ่งรั่วปิงยิ้มเศร้า “ฉันฝันอยากมีชีวิตที่เรียบง่าย แต่ใครจะไปคิดว่าจะต้องกระโดดเข้าไปอยู่ในวงการแบบนี้อีก”

ไซ่ตี้จวิ้นทัดคล้องผมเธอไว้หลังใบหู “คุณเคยได้ยินคำนี้ไหม เสี่ยวอิ่นซ่อนตัวอยู่ในป่า ต้าอิ่นซ่อนตัวอยู่ในเมือง ขอแค่จิตใจสงบก็พอแล้ว”

เหลิ่งรั่วปิงเข้าใจทันที “ค่ะ คุณพูดถูก”

“เยี่ยม เดี๋ยวผมพาคุณไปกินของอร่อยๆ เอง” ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มแล้วจับมือเหลิ่งรั่วปิง เขาพาเธอเดินออกไปจากคอนโดมิเนียม

ภายในร้านอาหารหรู ไซ่ตี้จวิ้นเลือกที่นั่งริมหน้าต่างตามความชอบของเหลิ่งรั่วปิง พร้อมกับสั่งอาหารที่เธอชอบ

“พี่ตี้จวิ้น?”

เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้น เธอมองตามต้นเสียง เห็นชายหนุ่มหน้าหน้าตาดี แบรนด์เนมบนตัวเขาทำให้รู้ว่าเป็นทายาทเศรษฐี และดวงตาดุดันแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นทายาทเศรษฐีที่ร้ายไม่เบา

ไซ่ตี้จวิ้นไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาเพียงแค่ชำเลืองตามองไฮโซหนุ่ม แล้วคลี่ยิ้ม “อดีตว่าที่เจ้าบ่าวของคุณ กู้จือเหา ทายาทคนที่สองของบริษัทกู้ซื่อ”

มือที่ถือส้อมของเหลิ่งรั่วปิงถึงกับชะงักทันที เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ฉู่หนิงซยาคนนี้ยังมีเรื่องวุ่นวายอะไรอีก กู้จือเหาคนนี้แค่มองก็รู้ว่ารับมือยาก!

อาศัยที่กู้จือเหายังไม่เดินเข้ามาใกล้ ไซ่ตี้จวิ้นรีบพูดเสริม “ตอนนั้นเขาเกลียดฉู่หนิงซยามาก แต่เพราะแรงกดดันจากครอบครัวเขาจึงต้องหมั้นกับฉู่หนิงซยา หลังจากหมั้นกันไม่นานฉู่หนิงซยาก็ประสบอุบัติเหตุจนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา เขาจึงรีบถอนหมั้นทันที”

“พี่ไซ่ตี้จวิ้น บังเอิญมากเลยนะครับ” กู้จือเหายิ้มอย่างมีเลศนัย เขานั่งลงข้างไซ่ตี้จวิ้น ไม่มองเหลิ่งรั่วปิงแม้แต่น้อย ราวกับว่าเธอไม่ได้นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร เอาแต่พูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบไซ่ตี้จวิ้น

ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มบางๆ “จือเหา มากินข้าวเหรอ”

กู้จือเหาเกาหัวอย่างไม่ใส่ใจ แล้วถอนหายใจเบาๆ “เฮ้อ พี่ตี้จวิ้น ผมรู้สึกเบื่อมากเลย”

“ถ้ารู้สึกเบื่อทำไมไม่เข้าไปทำงานที่บริษัทล่ะ”

“ที่บริษัทมีพ่อกับพี่ใหญ่ ผมไม่จำเป็นต้องเข้าไปทำงานหรอก” กู้จือเหาพูดแล้วมองมาทางเหลิ่งรั่วปิง เขาชะงักแล้วทำทีตกใจเหมือนเหยียบระเบิด “ฉู่หนิงซยา?”

เหลิ่งรั่วปิงเลิกคิ้วขึ้น “ไม่เจอกันนานเลยนะคะ คุณกู้จือเหา”

กู้จือเหามองดูเหลิ่งรั่วปิงอย่างพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงตรงหน้าคือฉู่หนิงซยา ทั้งๆ ที่เธอก็หน้าตาเหมือนเดิม แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม แต่ถ้าจะถามว่าไม่เหมือนเดิมตรงไหน เขาเองก็พูดไม่ออกเหมือนกัน

ฉู่หนิงซยาคนก่อน ทั้งหยาบคายและแต่งหน้าหนามาก อีกทั้งยังเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจ ทว่าฉู่หนิงซยาในตอนนี้ ตัวของเธอมีออร่าแผ่ออกมา เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ สง่างามและบริสุทธิ์ราวกับเป็นนางฟ้า ผมยาวประบ่าธรรมดาทั่วไปนี้ ทำให้เธอสวยเหมือนภาพวาด โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น เขาไม่เคยเห็นดวงตาที่เป็นประกายขนาดนี้มาก่อน

หรือว่าการนอนไม่ได้สติทำให้เปลี่ยนสง่าราศีของคน เหมือนเกิดใหม่?

กู้จือเหาดึงสายตากลับมาจากหน้าของเหลิ่งรั่วปิง มองไปที่ไซ่ตี้จวิ้น “เธอคือฉู่หนิงซยาจริงๆ เหรอครับเนี่ย”

“อืม” ไซ่ตี้จวิ้นเข้าใจในความสงสัยของกู้จือเหา เขาเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร

กู้จือเหามองไปที่เหลิ่งรั่วปิงอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองยังไงเธอก็มีเสน่ห์มาก เขาพูดพึมพำในใจ ทำไมเมื่อก่อนเขาถึงไม่รู้สึกว่าฉู่หนิงซยาสวยมากขนาดนี้