หลินสวินออกจากห้องอ่านหนังสือไปที่ห้องฝึกสงบใจบนชั้นสาม
ภายในห้องโถงอันว่างเปล่า หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนเบาะทรงกลมใบเดียวที่มีอยู่ในห้อง สูดหายใจเข้าลึกๆ เคลื่อนพลังและเลือดลมรอบกาย
จวบจนกระทั่งตอนที่เลือดลมทั่วร่างกายราวกับถูกหลอมเหลวจนเดือดคลั่ง ในที่สุดแหวนประสานมายาที่กำอยู่กลางฝ่ามือก็เกิดการเปลี่ยนแปลง!
มันเกิดแรงสั่นสะเทือน ตอบสนองกับพลังภายในเส้นเลือดของหลินสวินอย่างน่าอัศจรรย์
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ทั้งร่างกายและจิตใจของหลินสวินก็ถูกพลังอันลึกลับและไม่คุ้นเคยครอบงำ
ในหัวมีเสียงที่ดังชัดเจนกังวานราวกับเสียงระฆังในยามรุ่งสาง คล้ายกำลังท่องคัมภีร์ดังก้องอยู่ในห้วงจิตของหลินสวิน
สิ่งที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือ เสียงที่กำลังท่องอยู่ชัดเจนมากแท้ๆ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงใดก็ฟังไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเข้าใจความลี้ลับที่ซ่อนเร้นอยู่ได้
ความรู้สึกนั้นเหมือนกำลังฟังคัมภีร์สวรรค์ก็ไม่ปาน
จนสุดท้ายหลินสวินก็ล้มเลิกความคิดที่จะทำความเข้าใจ ตั้งใจฟังอย่างสงบ เหมือนกำลังฟังคำโบราณที่คลุมเครือและลึกลับบทหนึ่ง
ท่ามกลางความงุนงง หลินสวินเริ่มนั่งสมาธิตามจิตใต้สำนึก เคลื่อนพลังปราณฝึกฝน จิตใจว่างเปล่า ล่องลอยอยู่ในห้วงจิตไม่คลาย
ในสมองของเขา เสียงที่ชัดเจนกังวานนั้นยังคงท่องต่อไปเรื่อยๆ ประดุจเสียงระฆังก้องกังวานไม่รู้หยุด
……
เช้าตรู่ของวันถัดมา หลินสวินตื่นจากสมาธิและลืมตาขึ้น ร่างกายรู้สึกสบายและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ตัวเบาราวกับขนนก
ทันใดนั้นเขาพลันตกตะลึง พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งที่พลุ่งพล่านเหมือนมหาสมุทรในร่างกายของเขา เปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ฝึกเพียงคืนเดียว กลับได้ผลเทียบเท่าการฝึกสิบวันของที่ผ่านมา!
และไม่เพียงเท่านี้ การขับเคลื่อนของพลังก็เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา สติรับรู้เฉียบคม จิตใจปลอดโปร่ง รอบๆ ตัวทั้งภายในและภายนอกราวกับถูกชำระล้างจนบริสุทธิ์เหนือโลกีย์
หลินสวินเพิ่งบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณเมื่อวาน แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าพื้นฐานยุทธ์ในตัวเขาแข็งแกร่งอย่างมาก กระชับมั่นคง ราวกับได้ผ่านการต่อสู้และเคี่ยวกรำมาอย่างโชกโชนมาแล้วก็ไม่ปาน
นี่มัน…
หลินสวินเองยังไม่อยากจะเชื่อ
เหลือเชื่อจริงๆ!
การฝึกเพียงแค่ค่ำคืนเดียว ไม่เพียงทำให้พลังปราณได้รับการกลั่นเกลาและพัฒนาขึ้น แม้แต่จิตใจและวิญญาณยังราวกับถูกชำระล้างจนบริสุทธิ์เหนือโลกีย์
การเปลี่ยนแปลงระดับนี้น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว
ไม่นานหลินสวินพลันตระหนักได้ว่า นี่น่าจะเป็นความดีความชอบของแหวนประสานมายา!
เมื่อคืนที่ผ่านมา ‘เสียงธรรม’ ที่ชัดเจนดังก้องอยู่ในสมองเขา ยังคงยืนยงและก้องกังวานไม่รู้จบ แม้เขาจะฟังไม่ออก ไม่เข้าใจความหมายอันลึกลับที่ซ่อนอยู่ก็ตาม
แต่ภายใต้อิทธิพลของพลังจาก ‘เสียงธรรม’ กลับทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อในการฝึก!
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนแปลงพลังปราณในชั่วข้ามคืนของเขา ต้องเกี่ยวข้องกับ ‘เสียงธรรม’ นั่นอย่างแน่นอน
‘ดูเหมือนว่าสิ่งที่เสียงนั่นท่องคงจะเป็น ‘คัมภีร์ประสานมายา’! แต่ที่ฟังความลึกลับที่ซ่อนอยู่ไม่ออก อาจจะเพราะระดับพลังปราณของข้ายังตื้นเขินนัก…’
หลินสวินเหมือนใคร่ครวญขบคิด
คัมภีร์ประสานมายาเป็นอีกหนึ่งสมบัติที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลหลิน มีเพียงสายเลือดโดยตรงที่เป็นผู้นำของตระกูลหลินคนเดียวเท่านั้นที่สามารถฝึกได้
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ก็เพราะ ‘คัมภีร์ประสานมายา’ ทำให้ตระกูลหลินได้เป็นหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงของนครต้องห้าม!
หลินสวินมั่นใจอย่างยิ่งว่า ผลประโยชน์ที่ตนได้รับในตอนนี้ถือว่าเล็กน้อยมาก ถ้าเข้าถึงความลึกลับของ ‘คัมภีร์ประสานมายา’ อย่างแท้จริง อาจจะสามารถเข้าใจความอัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ได้!
‘ต่อไปในการฝึกปราณ สามารถใช้แหวนประสานมายาเข้าช่วย ฟังและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เชื่อว่าสักวัน จะต้องเข้าใจความลึกลับนี้’
‘ในขณะเดียวกัน การฝึกด้วยวิธีนี้ก็ให้ข้อดีอันใหญ่หลวงต่อการฝึกของเรา อย่างน้อยความเร็วของการฝึกก็มากขึ้นจากเดิมไปอีกระดับอย่างเห็นได้ชัด!’
หลินสวินหายใจเข้าลึกๆ และตัดสินใจ
……
บนยอดภูเขาชำระจิต
สายลมเย็นเยียบ เมฆลอยคล้อยผ่าน
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี แสงอาทิตย์สีทองอร่ามส่องผ่านชั้นเมฆ สาดประกายแสงอันเจิดจ้า
สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีเงาร่างสองเงากำลังประลองกันกลางอากาศ!
โครม!
แรงหมัดราวกับสายฟ้า ฟาดฟันผ่านชั้นเมฆ ราวกับสายฟ้าผ่าที่รวดเร็ว บริสุทธิ์ และเผยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว
ผมสีดำประบ่าของเสี่ยวเคอแผ่สยาย ดวงหน้าที่งดงามละเอียดลออยามนี้กลับเต็มไปด้วยไอสังหาร ให้ความรู้สึกดุร้ายกดดัน
ร่างของนางลอยเหินฟ้า การเคลื่อนไหวรวดเร็วเฉียบไว นางใช้วิชามวยที่เรียบง่าย แต่กลับสามารถสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ว
กลางอากาศตรงข้ามกับเสี่ยวเคอ มีเงาร่างของหลินสวินพลิ้วไหว ดูสะบักสะบอมไม่น้อย
ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของ ‘เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์’ ยิ่งใหญ่เกินไร้ที่เปรียบ คิดว่าเขาคงถูกเสี่ยวเคอจู่โจมจนตกจากกลางอากาศแล้ว
โครม!
ลมหมัดกระหน่ำมาราวกับสายฟ้าแห่งการทำลายล้าง ฉีกชั้นบรรยากาศหลายสิบจั้งออกเป็นเสี่ยงๆ
หลินสวินหมดทางหนี ทำได้แค่ฝืนสู้ รู้สึกเพียงว่าแขนทั้งสองข้างชาวาบ เลือดลมทั้งร่างเดือดพล่าน ร่างกายสะท้านจนกระเด็นออกไป
เขาเพิ่งจะทรงตัวได้ เสี่ยวเคอก็โจมตีอีกครั้ง
“หยุด!”
หลินสวินตะโกนอย่างไม่ลังเล
โครม!
เห็นเพียงว่าลมหมัดที่เผด็จการราวกับสายฟ้านั่นถูกเสี่ยวเคอเก็บกลับไปอย่างกะทันหัน หายไปอย่างไร้ร่องรอย เรียกได้ว่าสั่งได้ดั่งใจ
“ไม่เลว เพิ่งจะบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ พลังที่มีอย่างน้อยๆ ก็สามารถเทียบกับผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางแล้ว”
ร่างของเสี่ยวเคอมาหยุดอยู่บนยอดเขา ในขณะที่วิจารณ์เสียงเรียบ
ความจริงในใจนางไม่ได้สงบเลยสักนิด แม้หลินสวินถูกตีจนสะบักสะบอม จนสุดท้ายต้องสั่งหยุดอย่างจนปัญญา แต่มีเพียงเสี่ยวเคอที่รู้ดีว่า ฝีมือของหลินสวินใช้คำว่ายอดเยี่ยมเปรียบเทียบไม่ได้แล้ว แต่ต้องเรียกว่าปีศาจ!
เขาเพิ่งจะบรรลุเมื่อวาน วันนี้ก็สามารถสู้กับตนได้ขนาดนี้แล้ว ถ้าพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ!
เสี่ยวเคอคิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับที่หลินสวินทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดยามบรรลุปราณเมื่อวานแน่นอน
พื้นฐานของเด็กคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว จนตอนนี้เสี่ยวเคอยังจำได้ว่า ตอนที่หลินสวินบรรลุสู่ขั้นผสานใจแห่งระดับจิตผสานวิญญาณที่ค่ายกระหายเลือด ทำให้ทั้งทะเลสาบจิตผสานสะเทือนจนเกือบจะแห้งขอด
ตอนนั้นเสี่ยวเคอและสวีซานชีต่างคิดว่า บ่อพลังวิญญาณที่หลินสวินกลั่นหลอมขึ้นจะต้องอยู่ในขั้นหนึ่งเป็นแน่ หรืออาจถึงขั้นที่แข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ
เมื่อสรุปทุกอย่าง บวกกับความสำเร็จของหลินสวินในวันนี้ เสี่ยวเคอก็ตระหนักได้ว่าเด็กคนนี้เป็นปีศาจ จะวัดตามมาตรฐานธรรมดาได้อย่างไร?
“ครูฝึก บอกจุดที่ข้ายังด้อยจะดีกว่า จู่ๆ ชมข้าแบบนี้ กลับทำให้ข้ารู้สึกหวาดหวั่น”
หลินสวินหายใจหอบลงไปนั่งกองกับพื้น เมื่อครู่นี้เขาถูกโจมตีรุนแรงมาก แต่ในใจกลับรู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก ราวกับได้กลับไปที่ค่ายกระหายเลือด
ตอนนั้นเขาก็มักจะถูกเสี่ยวเคอพาฝึกตัวต่อตัว แน่นอนว่าเขาเป็นฝ่ายที่โดนเล่นงานตลอด
“เจ้าแน่ใจนะ?”
เสี่ยวเคอถามเรียบๆ
“แน่ใจ”
หลินสวินพยักหน้า ที่เขาให้เสี่ยวเคอมาประลองด้วย ก็เพื่อจะดูว่าหลังจากบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว ความสามารถพัฒนาไปถึงระดับไหน
ในขณะเดียวกันก็จะได้คุ้นชินกับพลังแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณให้เร็วที่สุด
เพราะระดับที่ต่างไปจากเดิม วิธีการต่อสู้ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้อยู่แค่บนพื้นดิน แต่สามารถขึ้นไปต่อสู้กลางอากาศได้แล้ว สังหารจากระยะไกลได้แล้ว
นี่เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และทำความคุ้นเคยสำหรับหลินสวิน
เพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์ลอยตัวเหนือเวหา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กลางอากาศ
เสี่ยวเคอมีพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์ชั้นยอด มีครูฝึกแห่งค่ายกระหายเลือดที่ชำนาญการต่อสู้อย่างนางมาฝึกให้ตัวต่อตัว ก็ไม่ต่างอะไรกับการได้อาจารย์ท่านหนึ่งมาชี้แนะ ข้อดีนั้นย่อมไม่อาจประเมินได้
“ได้ ถ้าพูดถึงจุดบกพร่องของเจ้า ถือว่ามีไม่น้อยเลย ทั้งยังเป็นจุดสำคัญทั้งสิ้น”
เสี่ยวเคอใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนเสียงอันเรียบเฉยเย็นเยียบจะดังขึ้น “ข้อแรก วิธีเคลื่อนไหวกลางเวหาของเจ้ายังไม่ดีพอ การตอบสนองไม่เพียงพอ หากข้าเป็นศัตรู สามารถสังหารเจ้ากลางอากาศได้ภายในกระบวนท่าเดียว”
“ข้อสอง การควบคุมพลังของเจ้าไม่ดีเลย ไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยความแม่นยำช่ำชอง ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองพลังที่มากเกินไป ในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ จุดบกพร่องนี้ทำให้ถึงตายได้”
ฟังถึงตรงนี้ ความได้ใจเสี้ยวหนึ่งในใจหลินสวินพลันหายวับไป แปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ที่แท้ในสายตาของยอดฝีมืออย่างครูฝึกเสี่ยวเคอ ตนยังด้อยถึงเพียงนี้…
ฟังดูอย่างละเอียดแล้ว หลินสวินเองก็ต้องยอมรับว่าจุดบกพร่องที่เสี่ยวเคอพูดถึงนั้นตรงจุดตรงประเด็น ล้วนแต่จับจุดอันตราย ทำให้เขาไม่อาจไม่นับถือ
“ยังมีอีก การใช้พลังแห่งฟ้าดินของเจ้าก็ตื้นเขินเกินไป ยอดฝีมือที่แท้จริง สามารถใช้พลังแห่งฟ้าดินสังหารศัตรูในขณะที่พูดคุยกันได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียแรงเลยสักนิด”
เสี่ยวเคอพูดต่อว่า “โดยรวมแล้ว เจ้ามีพลังที่พอจะเทียบได้กับระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลาง แต่ประสบการณ์การต่อสู้กลับไม่เพียงพออย่างมาก”
หลินสวินถูกวิจารณ์จนรู้สึกอัดอั้น ยิ้มขื่นพูด “ครูฝึก ข้าแย่ขนาดนั้นจริงๆ หรือ”
เสี่ยวเคอย้อนถาม “เจ้าอยากฟังจุดบกพร่องมิใช่หรือ?”
หลินสวิน “…”
“เอ่อ ถ้าเอาข้าไปเทียบกับผู้ฝึกปราณในระดับเดียวกัน ความสามารถของข้าเป็นอย่างไร?” หลินสวินอดถามไม่ได้
แต่กลับเห็นเสี่ยวเคอพูดเสียงเย็น “เจ้ามีพลังเทียบเท่ากับขั้นกลางแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว สายตายังจะเอาแต่จ้องคนในระดับเดียวกันอีกหรือ ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ใช่คนขี้ขลาดแบบนี้”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่หลินสวินก็ยิ้มออก
เขาเข้าใจแล้ว ในสายตาเสี่ยวเคอ ในบรรดาผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้น มีน้อยคนนักที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้!
คนที่ตนควรให้ความสำคัญจริงๆ คือยอดฝีมือขั้นกลางแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณ!
นับตั้งแต่วันนั้นหลินสวินก็ฝึกปราณทุกคืน กลางวันก็คว้าทุกโอกาสเพื่อประลองกับเสี่ยวเคอ ชีวิตผ่านไปอย่างสงบเรียบง่าย
แม้จะถูกตีอย่างหนักและสะบักสะบอมไม่เหลือสภาพทุกครั้ง แต่หลินสวินกลับสัมผัสได้ว่า การควบคุมพลังระดับมหาสมุทรวิญญาณของตนพัฒนาไปมากในแต่ละวัน!
ถึงขั้นที่หลินสวินยังอึ้งในความสามารถด้านการเรียนรู้ของตนเอง ราวกับว่าจู่ๆ หัวสมองก็ปลอดโปร่ง ประสาทการรับรู้เป็นเลิศ ทุกปัญหาที่พบเจอล้วนถูกคลี่คลายอย่างง่ายดาย
ความสามารถในการเรียนรู้และเข้าใจอันน่ากลัวแบบนี้ เมื่อก่อนไม่เคยมีมาก่อน!
นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘คัมภีร์ประสานมายา’ ที่ตนฟังทุกคืน เสียงธรรมอันลึกลับนั่นกำลังเปลี่ยนแปลงตัวเขาอย่างเงียบๆ…
เวลาครึ่งเดือนก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้หลังจากประลองกับเสี่ยวเคอ หลินสวินกำลังทบทวนข้อบกพร่องของตนในการต่อสู้ แต่จู่ๆ เสี่ยวเคอกลับพูดขึ้นว่า “ต่อไปไม่จำเป็นต้องประลองแล้ว วิธีการต่อสู้ที่ควรจะควบคุมได้ เจ้าก็ควบคุมได้หมดแล้ว ต่อไปต้องพึ่งการหมั่นฝึกฝนของเจ้า”
หลินสวินอึ้ง “เท่านี้หรือ?”
เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเคอดูลนลานอยู่บ้าง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไม ข้าถ่ายทอดทุกอย่างให้ขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะสงสัยว่าข้าซ่อนความสามารถอีกหรือ”
หลินสวินรีบส่ายหน้า พูดด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า “ใครจะกล้า”
เสี่ยวเคอแค่นเสียงคราหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป ไม่นานร่างสันโดษสูงเพรียวก็หายไป ทิ้งให้หลินสวินงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจว่าเสี่ยวเคอเป็นอะไรไป
เขาไม่รู้หรอกว่าการประลองในช่วงที่ผ่านมา เพราะพัฒนาการที่ไวจนเกินเหตุของเขาทำให้เสี่ยวเคอรู้สึกตกใจ
เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับตัวประหลาด ที่ไม่ว่าจะสอนหรือให้คำแนะนำอะไรไปก็เรียนรู้ได้ทันที ทำให้เสี่ยวเคออดรู้สึกไม่ยุติธรรมไม่ได้
เป็นผู้ฝึกปราณเหมือนๆ กัน เหตุใดเด็กคนนี้ถึงเรียนรู้ได้ดีขนาดนี้?
ช่างวิปริต!
——