บทที่ 140 ให้ท่านยืม

คู่ชะตาบันดาลรัก

ฮูหยินสามพูดต่อว่า “ตระกูลหมิงกำลังจะตกต่ำ ท่านลุงของลูกคงได้รับข่าวแล้วจะต้องมารับลูกเป็นแน่ แม่รู้ว่าลูกมีความสามารถ แต่เด็กผู้หญิงอยู่คนเดียวคงไม่สะดวก ไปจวนของท่านลุงจะดีกว่า ท่านลุงของลูกเป็นคนตรงไปตรงมา หัวโบราณนิดหน่อย แต่เขาเป็นคนดี ท่านป้าก็เป็นคนดีเช่นกันเพียงแต่เจ้าอารมณ์นิดหน่อย พี่สาวทั้งสองที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของลูกออกเรือนไปแล้วคงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับลูกอีก พี่ใหญ่ของลูกเป็นคนใจเย็น น่าเชื่อถือ ต่อไปลูกก็นับถือเขาเป็นพี่ชาย เขาจะเป็นคนดูแลลูกเองแล้วยังมีน้องห้า…”

พูดถึงตรงนี้ฮูหยินสามรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “ตอนนั้นเสี่ยวชีเกิดมาป่วย แม่กังวลว่าภายภาคหน้าจะไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจึงไปขอร้องท่านลุงของลูกให้หมั้นหมายปากเปล่าเอาไว้ การหมั้นหมายนี้หากลูกไม่ต้องการสามารถถอนหมั้นได้ เพียงแค่ด้วยนิสัยของท่านลุงของลูกอาจคุยด้วยยาก…”

หมิงเวยยิ้ม “ท่านแม่วางใจเถอะ ลูกจัดการเรื่องนี้ได้เจ้าค่ะ”

ฮูหยินสามมองนางแล้วพูดด้วยความสงสาร “แม่รู้ว่าลูกมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ แต่โลกนี้อยู่ยากลูกตัวคนเดียวจะต้องดูแลตัวเองดีๆ” พูดถึงตรงนี้นางหยุดชะงักอยู่นาน จากนั้นถอนหายใจแล้วพูดออกไปว่า

“ลูกไม่เหมือนกับพวกเรา โลกนี้กว้างใหญ่นัก แม่ไม่รู้จะกำชับลูกอย่างไร ได้แค่หวังว่าลูกจะปลอดภัยมีชีวิตที่ราบรื่น”

หมิงเวยน้ำตาคลอ “เจ้าค่ะ คำสั่งสอนของท่านแม่ ลูกจะจำไว้ขึ้นใจ”

ฮูหยินสามยิ้มและโอบกอดนางอีกครั้ง “หวังว่าพวกเราจะได้พบกันอีกในชาติหน้า”

คุณหนูเจ็ดย่อกายทำความเคารพ “ข้าดีใจที่ชาตินี้เราได้รู้จักกัน ท่านพี่ดูแลตัวเองด้วย”

หมิงเวยเฝ้าดูร่างกายของพวกนางค่อยๆ สลายไป ในใจรู้ดีว่านี่คือการขจัดสิ่งยึดติดและเข้าสู่การกลับชาติมาเกิด นางก้าวไปข้างหน้าเกี่ยวนิ้วประสานกันอย่างรวดเร็วเพื่อผูกลมหายใจของทั้งสองเข้าด้วยกัน

ด้วยวิธีนี้แม้ว่าเกิดใหม่พวกนางจะอยู่ห่างกันหลายพันลี้ แต่เมื่อโชคชะตามาถึงพวกนางก็จะได้พบกัน

“คุณหนูเจ้าคะ! ฮูหยินเจ้าคะ!” ตัวฝูร้องไห้แล้วคุกเข่าลง “ขอให้พวกท่านไปสู่สุคตินะเจ้าคะ”

ฮูหยินสามและคุณหนูเจ็ดยิ้มแล้วพยักหน้าทั้งสองมองหน้าและจับมือโอบกอดกันและกัน

ควันเริ่มบางลงขึ้นเรื่อยๆ และร่างของพวกนางก็ค่อยๆ จางหายไป

จนในที่สุดก็มองไม่เห็นแล้ว…

หมิงเวยมองไปยังที่ที่พวกนางจางหายไป ยืนอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานก่อนที่จะนั่งลงบนฟูกอย่างเงียบๆ แล้วก้มหน้าร้องไห้

ตัวฝูเช็ดน้ำตา นางก้าวไปข้างหน้าพลางถามด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “คุณหนูเจ้าคะ…”

หมิงเวยโบกมือ “ข้าไม่เป็นอะไร ตัวฝูเจ้าเพิ่งฟื้นร่างกายยังอ่อนแออยู่ เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

“แต่ว่าคุณหนู…”

“ข้านั่งต่ออีกสักพักก็ดีขึ้นแล้ว”

ตัวฝูรู้ว่านางกำลังเสียใจจึงตอบรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ”

นางถอยออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ปิดประตู เมื่อหมุนตัวกลับไปและเดินออกไปไม่กี่ก้าวก็เห็นว่ามีคนยืนพิงอยู่ที่หน้าต่าง

นางเกือบร้องออกไปแล้ว แต่โชคดีที่เห็นหน้าอีกฝ่ายก่อน

“ท่าน ทำไมท่านถึงได้มาอยู่ที่นี่…”

คนผู้นั้นทำมือให้นางเงียบจากนั้นก็โบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้นางออกไป

ตัวฝูลังเลแล้วลังเลอีก เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์เบื้องลึกระหว่างอีกฝ่ายกับคุณหนู จึงเชื่อฟังคำสั่งอย่างไม่เต็มใจ

…………

หมิงเวยนั่งลงบนฟูก ยกมือปิดหน้าร้องไห้เงียบๆ ประตูถูกเปิดออกเบาๆ และมีคนเดินเข้ามา นางยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหนมีเพียงไหล่ที่สั่นเล็กน้อย

“ท่านอาจารย์เคยบอกว่าผู้ที่จะเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิต ต้องเตรียมใจมาอย่างดีเพราะจะต้องพบกับความสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า เขาให้ทางเลือกแก่ข้าว่าต้องการรับป้ายสัญลักษณ์ของปรมาจารย์แห่งชีวิตหรือไม่ ในตอนนั้นข้ามั่นใจในตนเองมาก คิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าสามารถจัดการกับมันได้”

นางชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “หลังจากนั้นข้าถึงได้รู้ว่าตนเองไม่ได้เก่งกาจเพียงนั้น ก่อนหน้านี้ก็ศิษย์น้อง ต่อมาก็ท่านอาจารย์ พวกเขาจากข้าไปทีละคน โดยที่ข้าทำอะไรไม่ได้เลยถึงแม้ตนเองจะถูกไล่ล่าจนไม่มีทางให้ไปต่อจึงทำได้เพียงมองหาโอกาสรอดก็เท่านั้น”

“เมื่อมายังชาตินี้เดิมทีข้าคิดว่าตัวเองโชคดีแล้วที่มีมารดาที่ดีเพียงนี้ ข้าจินตนาการหลายครั้งว่าจะพานางออกจากตระกูลหมิงแล้วพวกเราแม่ลูกจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่สุดท้ายสวรรค์ก็ไม่ปล่อยให้ข้ามีความสุข และโจมตีใส่ข้าอีกครั้ง”

นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ขึ้นจมูกว่า “มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของสวรรค์ ผู้ที่ควรตายในที่สุดก็ต้องตายเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ยุคสมัยเดิม แต่ศัตรูของข้าก็ยังคงอยู่ เส้นทางนี้ยากกว่าที่คิดไว้เสียอีก บางทีในท้ายที่สุดข้าคงไม่สามารถเปลี่ยนโชคชะตาได้ และคงต้องตายอย่างโดดเดี่ยวในยุคสมัยที่แปลกไปนี้”

นางหยุดพูดกลั้นเสียงสะอื้น หลังจากเงียบไปสักพักภายในห้องก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น ฟูกอีกอันถูกลากไปเพื่อนั่งข้างๆ นาง แล้วเสียงของหยางชูก็ดังขึ้น “ถ้าอยากร้องไห้ล่ะก็ข้าให้ท่านยืมไหล่ได้นะ”

หมิงเวยลดมือลงใบหน้าแดงก่ำจากการร้องไห้ นางมองเขาด้วยความรังเกียจ “เวลาเช่นนี้ยังคิดเอารัดเอาเปรียบข้าอีกหรือ ฝันไปเถอะ!”

“เฮ้!” หยางชูไม่พอใจ

“ท่านคิดว่าไหล่ของข้าจะให้ใครยืมก็ได้งั้นหรือ! ด้วยรูปลักษณ์ของข้า บอกว่าให้ท่านเอารัดเอาเปรียบยังจริงเสียกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นท่านกอดตัวเองไปเถอะ เอารัดเอาเปรียบให้พอ! เงินทองไม่รั่วไหลออกนอกแน่!”

“…….”

หมิงเวยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา “ชุบน้ำให้ข้าหน่อยน้ำอยู่ทางด้านนั้น”

“ข้าเป็นคนรับใช้ของท่านหรือ”

“ท่านจะไปหรือไม่ไป” หยางชูลูบหน้าตนเองแล้วรับผ้าเช็ดหน้ามา “ถือว่าข้าติดหนี้ท่านอยู่”

หลังจากบิดผ้าเช็ดหน้าที่เปียกแล้ว หมิงเวยก็นำมาเช็ดหน้าทั้งสองคนต่างเงียบไม่พูดอะไร หยางชูมองใบหน้าของนางอย่างใจลอย

อันที่จริงแล้วใบหน้านี้งดงามจริงๆ เขาจำการพบกันครั้งแรกที่โรงน้ำชาได้ การปรากฏตัวของนางทำให้ทั้งห้องประหลาดใจ

แต่ในตอนนั้นเขาแค่รู้สึกว่าแม่นางผู้นี้แค่งดงามก็เท่านั้น

แต่ตอนนี้…นางร้องไห้จนจมูกแดง ตาบวมเล็กน้อย ใบหน้ายับยู่ยี่แต่กลับรู้สึกว่านางมีชีวิตชีวามากดูน่ารักเล็กน้อย

เอ๋…เมื่อครู่ศีรษะเขาโดนกระแทกหรือ ทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้น่ารักกัน อย่าล้อเล่นหน่อยเลย นางปากคอเราะรายเช่นนี้ผู้อื่นเอาเปรียบนิดหน่อยก็ไม่ยอม แถมยังชอบพูดให้ผู้อื่นหมดความมั่นใจ น่ารักตรงไหนกัน

“ข้าพูดว่า…” หมิงเวยเหล่มองเขา “เย็นป่านนี้แล้วท่านไม่ยอมกลับไปคิดจะทำอะไรหรือ”

หยางชูตอบ “ดึกดื่นจะรีบกลับไปทำไม มีใครบางคนอยู่เบื้องหลังนายท่านสาม ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะมาช่วยเขาหรือไม่อยู่ที่นี่สักคืนจะดีกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความผิดพลาด”

เหตุผลนี้ใช้ได้ดีทีเดียว

นางเพิ่งคิดเสร็จก็ได้ยินเขาพูดว่า “ข้าไม่คิดที่จะทำอะไร ท่านถามเช่นนี้หวังให้ข้าทำอะไรหรือ”

“….” หมิงเวยกระตุกยิ้มมุมปาก นางรู้ว่าคนผู้นี้พูดดีๆ ด้วยเกินสองประโยคไม่ได้จริงๆ

“จริงสิ เมื่อครู่เหมือนข้าจะได้ยินอะไรแปลกๆ” หยางชูมองนางด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาราวกับกำลังพินิจพิเคราะห์

“อะไรคือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของสวรรค์ อะไรคือผู้ที่สมควรตาย เดิมทีข้าคิดว่าท่านเป็นคนมาจากอดีตที่เจออุบัติเหตุไม่คาดคิดเหลือเพียงดวงวิญญาณ แล้วมีโอกาสได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งเสียอีก”

หมิงเวยชะงัก

ฟังเขาพูดต่อไปว่า “เปลี่ยนชะตากรรมสวรรค์ หากยุคสมัยของท่านเร็วกว่าตอนนี้ ชะตากรรมของเวลานั้นต้องผ่านไปแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ผู้ที่สมควรตายอีก คนในอดีตจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ใดควรตายในอนาคตมีเพียงคนจากอนาคตเท่านั้นที่จะรู้ว่าผู้ใดในอดีตที่ควรตายหรือที่จริงแล้วท่านมาจากอนาคตกัน”

………………………