ตอนที่ 87-2 ตัวตนถูกเปิดเผย

ชายาเคียงหทัย

เมื่อเห็นองค์หญิงอันซีหายตัวไปจากหน้าประตูโดยไม่ลังเลแล้ว เยี่ยหลีจึงได้แต่หันมองสวีชิงเฉินแล้วถอนหายใจ ก่อนถามขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ท่านไม่ใจอ่อนสักนิดเลยหรือ องค์หญิงอันซีเป็นหญิงสาวที่พิเศษที่สุดที่ข้าเคยพบมาเชียวนะ”  

 

 

สวีชิงเฉินสีหน้าเรียบเฉย ปรายตามองนาง “พูดอันใดไร้สาระ ข้ากับองค์หญิงอันซีเป็นสหายกัน”  

 

 

เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ “เช่นนั้นเหตุใดเมื่อครู่ท่านถึงไม่ให้ข้าบอกความจริงกับองค์หญิงอันซี นั่นหมายความว่าในใจท่านเองก็รู้ดีมิใช่หรือ”  

 

 

สวีชิงเฉินมองนางอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเอาเวลามาเสียให้กับเรื่องพวกนี้หรือ กับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกนั้นจะเสียเวลาคิดไปไย” 

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว องค์หญิงอันซีเป็นหญิงสาวที่มีความทระนงตนมาก หลังจากที่นางรู้ว่าข้าเป็นคู่หมั้นของท่านนางคงไม่มีทางคิดอันใดกับท่านอีกเป็นแน่ แต่ว่าพี่ใหญ่ หลายปีมานี้ท่านคงมิได้ใช้วิธีนี้ในการหลบหลีกโชคชะตาจากหญิงสาวทั้งหลายหรอกกระมัง ข้าจะบอกไว้ว่า ครั้งนี้ข้าทำผิดเองก่อน แต่ต่อไปท่านอย่าได้เอาข้าไปเป็นไม้กันหมาอีกเชียว”  

 

 

สวีชิงเฉินยกมือขึ้นหยิบสมุดพับเล่มหนึ่งโยนให้นาง เยี่ยหลีรับมาอ่านตัวอักษรที่อยู่ด้านบน เป็นข่าวในเมืองหลวงของหนานจ้าวหลายวันนี้ที่เทียนอี้เก๋อส่งมา ในใจอดที่จะรู้สึกหนักอึ้งไม่ได้ “พี่ใหญ่ องค์หญิงอันซีจะเป็นอันใดหรือไม่”  

 

 

สวีชิงเฉินส่ายหน้า “เสือที่ดุร้ายยังไม่กินลูกตนเอง องค์หญิงซีสยาถือได้ว่าตายไปแล้ว องค์หญิงอันซีเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่อย่างแท้จริง หากเกิดอันใดขึ้นกับองค์หญิงอันซี หนานจ้าวคงต้องยกบัลลังก์ให้กับผู้อื่นมาสืบทอดต่อ และในสถานการณ์ที่หนานจ้าวอ๋องมีเกียรติคุณที่ไม่สูงส่งนักเช่นนี้ เป็นไปได้สูงมากที่จะถูกยกเรื่องที่ไม่มีผู้สืบทอดบัลลังก์ มาบีบให้ต้องสละบัลลังก์” 

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้วด้วยความตกใจ “มีกฎเช่นนี้ด้วยหรือ” 

 

 

           “หนานเจียงกับคนจงหยวนอย่างพวกเราไม่เหมือนกัน สามารถสืบทอดบัลลังก์ได้ทั้งหญิงและชาย แต่ไม่มีการให้บุตรบุญธรรมสืบทอดบัลลังก์ หากมิมีทายาทสืบสกุล คนหนานเจียงจะคิดว่าหนานจ้าวอ๋องไม่ได้รับการคุ้มครองจากเทพเจ้า จึงย่อมไม่มีความสามารถในการคุ้มครองประชาชนของตนเช่นเดียวกัน ดังนั้นเรื่องการสละบัลลังก์จึงถือเป็นเรื่องธรรมดา”  

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ไม่มีอันตรายก็ดี เรื่องอื่นๆ ค่อยวางแผนทีหลังก็ได้” 

 

 

           “คุณหนู” องครักษ์ลับสองปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู 

 

 

           “ทำไมหรือ” 

 

 

           “เมื่อครู่เทียนอี้เก๋อส่งข่าวมาขอรับ นายท่านเหลียงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว บัณฑิตขี้โรคจึงพานายท่านเหลียงไปยังสถานที่ที่ซ่อนสิ่งของไว้แล้ว เมื่อครู่คุณชายหานก็รีบตามไปแล้วขอรับ” องครักษ์ลับสองเอ่ยเสียงขรึมขึ้น 

 

 

           “บ้าจริง เขาไปวุ่นวายอันใดด้วย! เหตุใดจึงเข้ามาวุ่นวายได้ทุกครั้งกันนะ” เยี่ยหลีเอ่ยก่นด่าเสียงต่ำ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นสั่งการว่า “เจ้ากับองครักษ์ลับสามไปเตรียมตัวเสีย พวกเราจะตามไปเดี๋ยวนี้” 

 

 

           “ขอรับ” องครักษ์ลับสองหายไปจากหน้าประตูอย่างรวดเร็ว เยี่ยหลีหันกลับไปพูดกับสวีชิงเฉินว่า “พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการก่อน หากมีเรื่องอันใดท่านสั่งองครักษ์ลับให้ไปจัดการได้เลย ในเมื่อองค์หญิงอันซีพูดเช่นนี้ ท่านจะต้องรีบเดินทางออกจากหนานจ้าวหรือไม่”  

 

 

สวีชิงเฉินส่ายหน้า “ข้ายังมีบางเรื่องที่จะต้องจัดการให้แน่ชัด ตอนนี้จะอยู่ที่นี่ไปก่อน เจ้าระวังตัวด้วย”  

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “พี่ใหญ่เองก็ระวังตัวด้วย” 

 

 

เยี่ยหลีพาองครักษ์ลับสองและสามขึ้นม้าเร็ววิ่งห้อไปตามเครื่องหมายที่เทียนอี้เก๋อและองครักษ์ลับทิ้งเอาไว้ โชคดีที่หนานเจียงไม่ถือว่ากว้างใหญ่นัก บริเวณโดยรอบเมืองหลวงก็ย่อมไม่กว้างใหญ่ไปกว่ากัน  

 

 

พวกนางขี่ม้ามาได้สองชั่วยามกว่า ในที่สุดก็หาจุดที่เทียนอี้เก๋อส่งมาให้ข่าวพบ พวกนางพบรอยเครื่องหมายที่หานหมิงซีทำทิ้งไว้ที่ตีนเขา “คุณชาย ที่นี่แหละขอรับ พวกเขาเข้าไปในภูเขาแล้ว”  

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า แล้วหันไปสั่งการว่า “แยกกันไป”  

 

 

องครักษ์ลับสามคัดค้าน “มิได้ขอรับ คุณชายแยกไปคนเดียวอันตรายเกินไป”  

 

 

เยี่ยหลีไม่รู้จะทำอย่างไรดี “องครักษ์ลับสามไปกับข้า องครักษ์ลับสองลอบตามมา” 

 

 

           “ขอรับ” 

 

 

           นางพาองครักษ์ลับสามเดินเข้าภูเขาไปตามเครื่องหมายที่หานหมิงซีทิ้งไว้ ภูเขาและป่าของหนานเจียงนั้นชื้นแฉะกว่าทางภาคเหนือมาก มีแมลงและพืชมีพิษอยู่หลากหลายชนิด โชคดีที่สิ่งมีชีวิตพวกนี้สร้างความลำบากให้กับทั้งสองไม่มากนัก  

 

 

พวกนางเดินเข้าไปตามเครื่องหมายที่ทำไว้ทันที “คุณชาย ลองดูข้างหน้าสิขอรับ” องครักษ์ลับสามกระชับอาวุธในมือ มองไปด้านหน้าด้วยสายตาระมัดระวัง ภูเขาลูกเล็กด้านหน้ามีร่างชายในชุดของเทียนอี้เก๋อนอนกองอยู่สามสี่คน รอยเลือดบนบาดแผลมีความแห้งกรัง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาตายมาหลายชั่วยามแล้ว  

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวโดยรอบ แล้วจึงชี้ไปยังอีกทิศทางหนึ่ง “ไปทางนั้น”  

 

 

องครักษ์ลับสามเดินนำขึ้นไปด้านหน้า ระหว่างทางพวกเขาพบศพคนของเทียนอี้เก๋อเป็นระยะๆ องครักษ์ลับสามพูดเสียงเบาขึ้นว่า “ไม่มีคนของพวกเราขอรับ”  

 

 

คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดมุ่น เท้ายังคงก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุด 

 

 

           พวกเขาเดินต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงอาวุธปะทะกันดังมาจากด้านหน้า ทั้งสองหันมองหน้ากัน แล้วจึงค่อยๆ แทรกตัวเดินขึ้นหน้าต่อไปด้วยความระมัดระวัง  

 

 

ในปากถ้ำถ้ำหนึ่ง บัณฑิตขี้โรคกำลังหัวเราะด้วยสีหน้าได้ใจ มองคนที่นั่งอยู่กับพื้นพร้อมหัวเราะด้วยน้ำเสียงมาดร้าย “หานหมิงซี เจ้าคิดว่าข้ากลัวพี่ใหญ่ของเจ้าเลยไม่กล้าลงมือทำอันใดเจ้าอย่างนั้นหรือ ตลอดทางมานี้คนของเทียนอี้เก๋อคอยขัดแข้งขัดขาข้ามาตลอด ข้าไว้ชีวิตเจ้ามาถึงตอนนี้ก็ถือว่าเกรงใจมาแล้วกระมัง”  

 

 

หานหมิงซีล้มตัวลงนั่งกับพื้นอย่างทุลักทุเล ท่าทางคุณชายตระกูลดังที่ถือพัดพับติดมืออยู่เป็นนิจ ถูกโยนทิ้งลงกับพื้นดิน เขากระแอมไอขึ้นสองครั้งแล้วจึงพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่ฆ่าข้าเสียเล่า” 

 

 

           “ฮ่าๆ เจ้าไม่ต้องรีบร้อน เจ้าลำบากตรากตรำคอยวิ่งเต้นให้ฉู่จวินเหวย ก่อนตายข้าก็ควรให้เจ้าได้พบหน้าเขาสักหน่อยใช่หรือไม่ เจ้าวางใจได้ ถึงเวลาข้าจะส่งเขาลงไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าด้วย” บัณฑิตขี้โรคหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าเด็กแซ่ฉู่นั้นก็ช่างใจกล้านัก ไม่เคยอยู่ในยุทธภพคงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของข้า หานหมิงซีเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันหรือ ของของข้าเคยแบ่งให้ผู้ใดเมื่อไรกัน ถึงขั้นกล้าเรียกค่าตอบแทนจากข้า แล้วยังคิดหวังอยากได้ดอกปี้ลั่วอีก หึหึ…แค่กๆ… ตอนนี้ดอกปี้ลั่วอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะคอยดูว่าสำหรับเขาแล้ว สหายที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่กี่วันอย่างเจ้านั้นสำคัญหรือว่าของล้ำค่าที่ประเมินมูลค่าไม่ได้นี่จะสำคัญกว่ากัน” 

 

 

           “เหลวไหล…” หานหมิงซีเอ่ยเสียงต่ำด้วยความดูแคลน  

 

 

บัณฑิตขี้โรคดูจะได้ใจเป็นอย่างมาก เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเย็นว่า “ดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่เหลือของเจ้าให้ดีเถิด ทางที่ดีเจ้าควรสวดขอพรให้ฉู่จวินเหวยคิดว่าเจ้าสำคัญจนสามารถมาถึงที่นี่ได้ภายในหนึ่งชั่วยาม ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าคงต้องจำใจยอมพลาดละครฉากสำคัญ แล้วเอาศพเจ้าคืนให้เขาเท่านั้น” 

 

 

           เยี่ยหลีมองเหตุการณ์ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเงียบๆ พร้อมย่นคิ้วอย่างใช้ความคิด ไม่นาน องครักษ์ลับสามก็กลับมาข้างกายนางพร้อมเอ่ยเสียงต่ำว่า “รอบๆ ไม่มีใครซุ่มอยู่ขอรับ” 

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า ลุกยืนขึ้นเดินออกไปด้านนอก องครักษ์ลับสามคิดจะดึงตัวนางไว้ก็ช้าไปเสียแล้ว เยี่ยหลียื่นมืออ้อมหลังมาส่งสัญญาณมือให้เขาซ่อนตัวไว้ เขาจึงทำได้เพียงซ่อนตัวกลับเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง เขาหันไปสบตากับองค์รักษ์ลับสองที่ซุ่มอยู่ แล้วจึงจับตามองไปยังผืนหญ้าด้านนอกถ้ำ