หยดน้ำตาของฉินหงเหยียนร่วงลงบนกระเป๋าชาแนลที่เย่เฉินซื้อให้หล่อน

ชายหนุ่มที่เดินทางมากับหล่อนยื่นกระดาษทิชชู่ให้หล่อนแล้วถาม “คุณชอบเขาเหรอ?”

ฉินหงเหยียนรับกระดาษมาเช็ดน้ำตา “ฉันทำเรื่องที่ผิดต่อเขา แต่ว่าเขาไม่เพียงแต่ไม่โทษฉัน แต่ยังให้อภัยฉันอีก แถมให้ฉันเป็นรองประธานต่อจากเขาด้วยแถมยังดีกับฉันมาก ขนาดเป็นตอนที่เขาต้องลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัทเขายังแนะนำให้ฉันเป็นประธานบริษัทต่อเขา คราวก่อนเขาโดนคนตระกูลหวังรุมเล่นงาน ฉันช่วยอะไรเขาไม่ได้ มาคราวนี้เขาโดนคนตระกูลหลิ่วกับฟางรังแก ฉันยังช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาใจกว้าง ฉันฉินหงเหยียนคงจะไม่ใช่ประธานบริษัทอะไร เขาเป็นคนให้ทั้งหมดนี้กับฉัน ไม่ได้ ฉันต้องช่วยเขา!”

ยิ่งฉินหงเหยียนพูดก็ยิ่งร้อนใจ หล่อนรู้สึกว่าเย่เฉินเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดที่หล่อนเคยเจอมา

ก่อนหน้านี้คนตระกูลหวังเชื้อเชิญให้แขกของตนเองตัดทางทำมาหากินของเย่เฉิน ตอนนั้นคนที่เอาด้วยกับคนตระกูลหวังอย่างหม่าเสิน ฟางเชา จงเหว่ยต่างก็ล้มละลายไปหมดแล้ว!

มีแต่ฉินหงเหยียนที่อยู่รอดปลอดภัย แถมยังเลื่อนได้ขั้นเป็นประธานบริษัทเสียด้วย!

ฉินหงเหยียนชอบเย่เฉิน เขาไม่มีทางไม่รู้ ต่อให้เขาไม่คบหากับหล่อนแต่ก็นอนกับหล่อนได้เหมือนผู้ชายพวกนั้น

แต่ว่าเย่เฉินกลับไม่ทำแบบนั้น!

เขาให้เกียรติฉินหงเหยียนมาโดยตลอด ไม่อาศัยสิทธิ์ในการเป็นหัวหน้าเอาเปรียบหล่อน!

ในสายตาฉินหงเหยียนนี่ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง เพราะหล่อนเคยเจอผู้ชายสารเลวที่อยากนอนกับหล่อนมานักต่อนักแล้ว

ตอนที่มือขาวนวลเนียนของฉินหงเหยียนกำลังจะกดให้ลิฟต์หยุด ชายหนุ่มข้างกายก็คว้าแขนหล่อนเอาไว้ เพื่อห้ามหล่อน

“หงเหยียนอย่าวู่วาม กว่าคุณจะมีวันนี้ไม่ง่ายเลย ลองคิดถึงความลำบากที่คุณต้องเผชิญมาในอดีต อย่าทิ้งทุกอย่างเพียงเพราะผู้ชายคนเดียวสิ!”

ชายหนุ่มห้ามฉินหงเหยียนได้สำเร็จ แต่กลับทำให้หล่อนรู้สึกผิดมากกว่าเดิม

……

ร้านอาหารฮัวชิงกู่

“ชายหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่นี่มีความเป็นมายังไง? ทำไมพูดแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ประธานหญิงคนนั้นออกไปจากร้าน?”

“เหมือนว่าจะสามารถปั่นหุ่นได้ น่าจะเป็นพวกลูกคนรวย!”

“พวกลูกคนรวยแน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะกล้าพูดตรงไปตรงมาแบบนี้ได้ยังไง? ฉันว่าอย่างน้อยเขาต้องมีทรัพย์สินอย่างน้อยร้อยล้าน!”

“น้อยไป ฉันว่าอาจจะมีห้าร้อยล้านนู่น!”

“ห้าร้อยล้าน! แม่ง ใช้เงินทั้งชีวิตก็ไม่หมดหรอก”

พวกแขกคนอื่นๆ ในร้านอาหารต่างก็ถกเถียงกัน

พวกเขาต่างก็เป็นคนทั่วๆ ไปมีเงินเดือนสี่ห้าพันหยวนเท่านั้น จึงไม่รู้เรื่องของโลกคนมีเงินมากมายนัก

ในสายตาพวกเขาเงินร้อยล้านก็ถือว่าเป็นจำนวนตัวเลขมหาศาลแล้ว

ส่วนหลักแสนล้านนั้นพวกเขาไม่กล้าจะคิดถึง รู้สึกว่าอยู่ไกลความจริงมากเกินไป

ทว่าแสนล้านสำหรับคนที่อยู่ในครอบครัวแบบเย่เฉินและหลิ่วอวี่เจ๋อแล้ว นี่เป็นจำนวนตัวเลขที่พวกเขาแบมือขอก็ได้มาอย่างง่ายดาย

หลังจากที่ฉินหงเหยียนไปแล้ว หลิ่วอวี่เจ๋อก็เดินมาหาเย่เฉินอย่างลำพองใจ “เย่เฉินนายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”

เย่เฉินย่อมรู้ว่าเดียรัจฉานตัวนี้เป็นใคร!

หมอนี่ก็คือไอ่คนชั่วที่เคยลวนลามภรรยาเขา!

เย่เฉินนึกถึงรูปภาพที่หวังหยวนหยวนเอาให้ตนเองดู ในภาพนั้นหลิ่วอวี่เจ๋อกอดหวังเจียเหยาเอาไว้ด้วยท่าทางสนิทสนมกันอย่างมาก

เพราะวันนั้นหวังเจียเหยาใส่กระโปรงสั้น ดังนั้นมือขวาของหลิ่วอวี่เจ๋อ เรียกได้ว่าแต๊ะอั๋งต้นขาหญิงสาว!

ในวินาทีนี้เย่เฉินอยากจะตัดมือขวาของหมอนี่ทิ้งจริงๆ!

แต่เย่เฉินรู้ดีว่าตนเองไม่อาจทำเช่นนี้

ความใจร้อนคือสิ่งชั่วร้าย ถ้าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือทุกอย่าง แล้วพาตัวเองตกที่นั่งลำบากแล้วนั้น ไม่ใช่ทางเลือกของปัญญาชน

เย่เฉินยังไม่ทันได้พูดอะไร ฟางเชาก็เดินมาอย่างลำพองใจ

“เย่เฉิน แหกตาดูให้ชัดๆ นี่คือลูกพี่ลูกน้องของฉัน ทายาทรุ่นที่สามของตระกูลหลิ่วเมืองเทียนไห่ ต่อให้นายเองก็เคยเป็นประธานบริษัทมาช่วงหนึ่งก็น่าจะรู้ถึงความเก่งกาจของตระกูลเขาแล้วใช่ไหม?”

หลิ่วอวี่เจ๋อกล่าวว่า “เย่เฉินเดิมทีเราไม่รู้จักกัน ฉันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรให้รังแกนายให้ล้มละลาย แต่ในเมื่อนายกล้าพูดจาทำนองว่า ‘ชอบเล่นกับผู้หญิงเมืองเทียนไห่’ นายว่าฉันควรซ้อมนายไหมล่ะ!”

เย่เฉินถลึงตามองฟางเชาแล้วจึงกล่าวว่า “ผมไม่เคยพูดจาแบบนี้มาก่อน”

ดูท่าแล้วฟางเชาไปที่เทียนไห่ก็เพื่อล้างแค้นเย่เฉิน คงใส่ไฟว่าร้ายเขาไปไม่น้อย

เขากล่าวเช่นนี้ก็เพื่อยั่วโมโหคนตระกูลหลิ่ว ให้พวกเขาออกหน้าก็แค่นั้น

ฟางเชากระวนกระวาย เขารีบร้อนชี้เย่เฉิน “นายพูดเองกับปาก! ฉันได้ยินเองกับหู! เย่เฉินแกมันไอ้คนตาขาว กล้าพูดแต่ไม่กล้ารับ! เหอะๆ หรือเพราะตอนนี้แกไม่ใช่ประธานบริษัทแถมยังโดนขับออกจากตระกูลใช่ไหมล่ะ รู้ตัวแล้วล่ะสิว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลูกพี่ลูกน้องของฉัน ไม่กล้าล่วงเกินตระกูลหลิ่วดังนั้นถึงไม่กล้ายอมรับ? แกยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ไหมเนี่ย!”

เย่เฉินปรายตามองฟางเชาด้วยแววตาอำมหิต “ผมเย่เฉินไม่ว่าจะเป็นยาจกหรือประธานบริษัท ผมไม่เคยไม่ยอมรับในสิ่งที่ผมเคยพูด!”

หลิ่วอวี่เจ๋อเองก็ไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าฟางเชาอาจจะกุเรื่องนี้ขึ้น

ทว่าตอนนี้เขาเป็นพวกเดียวกับฟางเชา เขาจะว่าอีกฝ่ายไม่ได้

หลิ่วอวี่เจ๋อกล่าว “ดี ต่อให้นายไม่เคยพูดแบบนี้ แต่อาฉันหลิ่วหรูซืออยูกับนายที่วิลล่าทั้งคืนไม่ใช่เหรอ นอนกับนายแล้วไม่ใช่หรือไง! นายอายุยังไม่ถึงสามสิบ แต่กลับโอหังนอนกับญาติผู้ใหญ่ของฉัน! นายว่านายสมควรตายไหม!”

เย่เฉินกล่าวเสียงเย็น “อาของนายอยู่กับฉันทั้งคืนก็จริง แต่ฉันไม่ได้นอนกับหล่อน อีกอย่างนะฉันไม่ได้บอกให้หล่อนอยู่ด้วย แต่อานายเสนอตัวจะอยู่กับฉันทั้งคืนเอง”

ฟางเชารู้สึกเสียหน้าอย่างมากเมื่อเห็นว่ามีคนได้ยินอีกมาก!

“นาย…นายพูดเหลวไหล! นายนอนกับแม่ฉันแถมยังมีหน้ามาบอกว่าแม่ฉันเสนอตัวนอนกับนาย! ฉันจะฆ่าแก!”

ด้วยโทสะฟางเชาจึงเหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้าเย่เฉิน!

หมัดของคนทั่วไปจะโดนเย่เฉินได้ยังไง?

เย่เฉินเอี้ยวตัวหลบหมัดของฟางเชาได้อย่างง่ายดาย

ฟางเชาไม่ยอมแพ้เขายังพยายามจะต่อยเย่เฉินต่อ

แต่ว่าต่อยอีกฝ่ายติดต่อกันสิบหมัดก็จริง แต่ก็ไม่โดนเย่เฉิน

“แม่ครับ คุณน้าคนนี้เขาต่อยอากาศทำไมเหรอครับ? ยุงเหรอครับ?”

“ฮ่าๆ…”

คำพูดคำจาของเด็กหญิงวัยสี่ห้าขวบในในร้านอาหาร ทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่ได้ยินหัวเราะครืนออกมา

ฟางเชารู้สึกขายหน้าอย่างมาก จึงไม่ได้พยายามต่อยอีกฝ่ายอีก แต่คว้าเก้าอี้ในร้านส่งๆ แล้วฟาดเย่เฉิน!

เก้าอี้ในร้านอาหารล้วนแต่เป็นเก้าอี้มีพนักทำจากไม้ที่ทั้งใหญ่ทั้งหนัก

เย่เฉินย่อมหลบได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าตอนนี้คนที่กำลังทานอาหารในร้านมีมากและมีเด็กอยู่เยอะ

ด้านหลังเย่เฉินเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก โดยเป็นลูกสาวในวัยประมาณห้าขวบ

ถ้าหากว่าเย่เฉินหลบเก้าอี้จะไปฟาดโดนเด็ก

ด้วยน้ำหนักและขนาดของเก้าอี้บวกกับแรงของเย่เฉิน จะต้องทำให้เด็กบาดเจ็บมากแน่ๆ

ดังนั้นเย่เฉินจึงไม่ได้หลบ แต่ใช้แขนป้องเอาไว้

โครม

เก้าอี้ฟาดลงใส่ตัวเย่เฉิน

“โอ้ย!”

จนถึงตอนนี้บรรดาแขกเหรื่อที่กำลังมุงดู ต่างก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปนอกร้าน

ฟางเชาอาศัยช่วงเวลาที่วุ่นวายหยิบเก้าอี้ตัวที่สองขึ้นมาตั้งใจจะฟาดใส่เย่เฉิน !

โครม!

เย่เฉินใช่ร่างกายบังอีกครั้ง

“เหอะๆ หมอนี่ไม่กล้าเอาคืน”

หลิ่วอวี่เจ๋อยิ้มกว้าง แล้วหยิบเอาส้อมคันหนึ่งมาจากโต๊ะเอาไว้ในมือ