ตอนที่ 187 พรจากท่านเทพฉางชิง

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 187 พรจากท่านเทพฉางชิง

หลังจากสิ้นเสียงของเย่ฉางชิง

เหล่าสาวกที่คุกเข่าอยู่ ต่างก็พากันคำนับลงกับพื้นอีกครา

มือทั้งสองข้างของพวกเขาวางราบอยู่กับพื้น เพื่อคำนับท่านเทพฉางชิงที่มาจากสรวงสวรรค์ด้วยความศรัทธาอย่างถึงที่สุด

ขณะเดียวกัน จิตใจของพวกเขาก็พลันสงบลง ใบหน้าแนบชิดกับพื้นปากเอ่ยเพียงนาม ฉางชิง อยู่อย่างนั้น

“เปรี้ยง ! ”

ในตอนนั้นเองนิมิตที่เพิ่งมลายหายไปเมื่อครู่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

อีกทั้งนิมิตในครั้งนี้ยังตระการตากว่าที่ผ่านมาหลายเท่านัก จนแม้แต่เย่ฉางชิงเองก็ตื่นตระหนกเช่นกัน

“ครืน ! ”

“ครืน ! ”

เสียงดังกึกก้องขึ้นพร้อมกับท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองหลวง ปรากฏเมฆมงคลหลากสีสันปกคลุม ดูอัศจรรย์ยิ่งนัก

จากนั้นลำแสงอันเจิดจ้ามากมายก็ส่องผ่านกลุ่มเมฆลงมา ปรากฏเป็นภาพอันงดงามตระการตา

มินานเงาร่างอันเลือนรางมากมายที่มีคลื่นแสงแผ่ออกมา และมีหมอกปกคลุมเอาไว้ ราวกับเซียนจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ ก็ค่อย ๆ ลอยลงมาที่ตรงกลางของลำแสง

ก่อนจะลอยคว้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ได้พากันนั่งขัดสมาธิ

เหมือนมีเหตุผลบางอย่างทำให้พวกเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนท่าทีและสงบลง ก่อนจะทำได้เพียงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ

ทว่าเมื่อมองออกไป

เหมือนพวกเขากำลังรอบางสิ่งบางอย่างอยู่

และเป็นดังคาด เพราะมิกี่อึดใจต่อมา

ภาพอันน่าอัศจรรย์ยิ่งก็ได้ปรากฏขึ้น

บนท้องฟ้าเหนืออารามฉางชิงเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น ประตูบานใหญ่และดูเก่าแก่บานหนึ่งได้ปรากฏขึ้นอีกครา

“ครืด ! ”

พร้อมกับเสียงที่ชวนให้ตกใจเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้น

ในที่สุดประตูโบราณบานนี้ก็ถูกเปิดออก!

ทันใดนั้นสะพานสายรุ้งอันกว้างใหญ่ เจิดจ้าราวกับเปลวเพลิงก็พุ่งออกมา

จากประตูโบราณที่อยู่เหนือเขาตะวันออก ก่อนทะยานข้ามผ่านท้องฟ้าของเมืองหลวงไปทางตะวันตก

เย่ฉางชิงที่เห็นนิมิตที่ปกคลุมเมืองหลวงในวินาทีนี้ในใจก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที จนขนกายลุกชัน

‘นิ… นิมิตนี้เกรงว่าน่ากลัวเกินไปแล้วกระมัง ! ’

‘หรือว่าคำพูดที่เราได้บอกกล่าวกับเหล่าสาวก เพื่อให้สมบทบาทที่สวมรอยเป็นท่านเทพฉางชิงจะสมจริงมากเกินไป จนแม้แต่ท่านเทพฉางชิงเองก็รับมิได้ ? ’

‘มีความเป็นไปได้ ! ’

‘มิใช่ ! ’

‘ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ! ’

‘อืม ! ’

‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’

ในตอนนั้นเองบุรุษที่มีแสงระยิบระยับทั่วร่าง และด้านหลังมีแสงเปล่งประกายออกมาราวกับเซียน ก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูบนท้องฟ้าเหนือเขาตะวันออกอีกครา

‘ท่านเทพฉางชิงผู้นี้อีกแล้ว’

ขมับของเย่ฉางชิงตอนนี้ถึงกับมีเส้นเลือดยกขึ้นมาจนเต้นตุบ ๆ

‘ท่านเทพฉางชิงเป็นถึงเทพแห่งยุค’

‘ผลุบ ๆ โผล่ ๆ เช่นนี้ กำลังล้อกันเล่นหรือเยี่ยงไร ! ’

ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังพร่ำบ่นในใจอยู่นั้น ท่านเทพฉางชิงที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูบานนั้นก็ค่อย ๆ หันมามอง

เย่ฉางชิงเห็นเช่นนั้นก็ผ่อนลมหายใจออก

เพราะขณะที่เขาและท่านเทพฉางชิงสบตากันนั้น

เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายยังคงส่งยิ้มสุภาพอ่อนโยนมาให้ หาได้มีท่าทีตำหนิใด ๆ ไม่

กลับกันเขาดูค่อนข้างพอใจเสียด้วยซ้ำ

เย่ฉางชิงถึงกับตะลึงงันไปทันที ก่อนที่จะมีประกายบางอย่างแวบผ่านดวงตา

ในเมื่อท่านเทพฉางชิงผู้นี้ ยอมรับในทักษะการแสดงของข้า หรือว่าเขาจะมอบโชคและวาสนาให้ข้าเช่นกัน

อาทิเช่น รากวิญญาณชั้นยอดสักสี่ห้าชนิดอะไรแบบนี้ หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็พอใจมากแล้ว

คิดได้เช่นนั้นแล้ว

‘ท่านเทพฉางชิง ท่านคิดว่าฝีมือการแสดงของข้าเป็นเช่นไรบ้าง ? ’

เย่ฉางชิงเอ่ยถามกับท่านเทพฉางชิงขึ้นภายในใจ ‘ในเมื่อท่านเองรู้สึกพอใจเช่นนี้ เช่นนั้นก็มอบวาสนาให้ข้าสักหน่อยเถอะขอรับ ข้ามิขออะไรมากขอเพียงรากวิญญาณแปดเก้าชนิดก็พอ ข้าสาบานว่าต่อไปข้าจะตั้งใจบำเพ็ญเพียร ภายภาคหน้า ข้าจะเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ขจัดความชั่วร้าย…’

เอ่ยยังมิทันจบประโยค ท่านเทพฉางชิงที่ยืนตระหง่านอยู่บนสะพานสายรุ้งก็เบนสายตาหนี พร้อมกับค่อย ๆ ก้าวออกไป

วินาทีต่อมาร่างของเขาก็ค่อย ๆ เลือนรางลง ทว่าเพียงพริบตากลับปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้ากลางเมืองหลวงเสียแล้ว

ขณะเดียวกันเงานั้นที่สูงหลายร้อยจั้ง และด้านหลังมีวงแสงขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีดวงดาวระยิบระยับมากมายลอยวนอยู่รอบ ๆ

แม้จะมิมีไอพลังใด ๆ แผ่ออกมา ทว่ากลับให้ความรู้สึกน่ากลัวและกดดันเป็นอย่างมาก

“เคร้ง ! ”

หลังจากเสียงระฆังที่ดังขึ้นยาวนาน

ทันใดนั้นก็มีเสียงที่แผ่วเบามากมายดังขึ้นกลางอากาศ ราวกับเสียงจากสวรรค์ที่ทั้งสงบและอ่อนโยน

ให้ความรู้สึกราวกับดังมาจากอีกฟากของแม่น้ำกาลเวลา ทำให้คนฟังอดมิได้ที่จะเกิดความศรัทธา

“ผู้น้อยคาราวะท่านเทพฉางชิง”

มิกี่อึดใจต่อมา

ท่านเทพฉางชิงผู้นั้นก็หาได้ตอบสนองใด ๆ ไม่

ขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยว่าท่านเทพฉางชิงเก่งกาจเพียงใด ถึงได้มิรู้สึกใด ๆ ต่อเสียงนี้

เงาสูงหลายร้อยจั้งที่ยืนอยู่เหนือเมืองหลวงพลันเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้น วงแสงด้านหลังส่องประกาย ดวงดาวที่ล่องลอย…

ทว่าจู่ ๆ เมืองหลวงก็เกิดฝนดาวตกขึ้น

ใช่แล้ว !

มันก็คือฝนดาวตก !

อีกทั้งฝนดาวตกนี้ยังอัศจรรย์ยิ่งนัก

หลังจากร่วงลงมาแล้ว เมื่อกระทบกับผู้คนหรือตกลงบนพื้นมันจะหายวับไปทันใด

ทว่าขอเพียงแค่คุกเข่าอยู่กับพื้น สาวกที่มีใจศรัทธาจะได้รับฝนดาวตกคนละหนึ่งดวง เกินกว่านั้นก็จะสลายไปในอากาศทันที

กระนั้นความจริงแล้วฝนดาวตกทุกดวง ล้วนแต่เป็นโชคและวาสนาที่มาจากท่านเทพฉางชิง

ฝนดาวตกเหล่านี้จะหลอมรวมเข้าสู่ร่างกายของสาวกทุกคน

บางคนเมื่อได้รับพลังจากฝนดาวตก อาการเจ็บป่วยภายในก็จะหายไปในพริบตา

บางคนจากที่โง่งมก็จะกลับมาเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม

หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหลังจากได้รับฝนดาวตก ก็ราวกับรู้แจ้งขึ้นมาทันที

บ้างก็สามารถบรรลุขั้นได้สำเร็จ บ้างก็เข้าใจพลังแห่งเต๋าได้ลึกซึ้งขึ้น

ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงเองก็เหมือนจะได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน

เพราะเขาหาใช่ได้รับฝนดาวตกเพียงแค่ดวงเดียวไม่ ทว่ากลับได้รับแบบนับมิถ้วน

ฝนดาวตกที่ร่วงหล่นลงมารอบกายเขา ล้วนถูกดูดเข้าสู่ร่างอย่างน่าประหลาด

มิใช่สิ !

หากจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือฝนดาวตกมากมายเป็นผู้เลือกเย่ฉางชิง ก่อนจะหลอมรวมเข้าไปภายในร่างกายของเขา

‘หรือว่าคำพูดของข้าก่อนหน้านี้จะสัมฤทธิ์ผล ท่านเทพฉางชิงประทานรากวิญญาณให้ข้าแปดเก้าชนิดจริง ๆ ? ’

เมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนที่เกิดขึ้นในช่วงท้อง และเหมือนกับมีพลังบางอย่างเกิดขึ้น

เย่ฉางชิงจึงอดมิได้ที่จะลอบดีใจอยู่ลึก ๆ

จนเวลาผ่านไปราว ๆ ครึ่งก้านธูป ในที่สุดนิมิตที่ปกคลุมเมืองหลวงก็ค่อย ๆ มลายหายไป

ส่วนเย่ฉางชิงมิเพียงแต่พบว่าร่างกายของตนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์แล้ว

ทว่าช่วงท้องของเขาหรือก็คือจุดตันเถียนที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายเรียกกัน เหมือนมีพลังบางอย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย

‘หรือว่านี่จะเป็นรากวิญญาณ ? ’

‘ใช่แล้ว ! ’

‘เป็นรากวิญญาณ ! ’

‘ต้องเป็นรากวิญญาณแน่ ! ’

วินาทีนี้ภายในใจของเย่ฉางชิง เรียกว่ากลับตาลปัตรเลยก็ว่าได้

เขาอยู่ที่โลกเซียนแห่งนี้มาหลายปี

เดิมคิดว่าผู้ที่ไร้รากวิญญาณเช่นเขา คงถูกกำหนดให้ใช้ชีวิตเงียบ ๆ ในโลกเซียนแห่งนี้ไปตลอดชีวิต

แต่คาดมิถึงว่าเขาจะบังเอิญได้รับโอกาสให้มีรากวิญญาณ

แม้ตอนนี้จะยังมิรู้ว่ารากวิญญาณนี้อยู่ในขั้นใด แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็เริ่มมีความหวังแล้ว

ดูก็รู้ว่าเวลานี้ภายในใจของเขานั้นตื่นเต้นและยินดีมากเพียงใด

แต่เขาเองก็เป็นคนที่รู้บุญคุณคน

ท่านเทพฉางชิงผู้นี้ถึงกับมอบรากวิญญาณให้แก่เขา เช่นนั้นเขาก็ต้องแสดงบทบาทนี้ให้ถึงที่สุด

แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญก็คือ เขารู้ดีว่าการที่ตนเองมีรากวิญญาณ มีความหวังที่จะได้เป็นผู้บำเพ็ญเพียร

ทว่าหากตัวตนที่แท้จริงของเขาถูกเปิดโปงในตอนนี้ ก็จะต้องตายอย่างอนาถอยู่ดี

เย่ฉางชิงคิดเช่นนั้นแล้วก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความหวาดหวั่น ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง เพื่อมิให้เผยพิรุธใด ๆ ออกมา

“ท่านจาง พวกท่านลุกขึ้นเถิด”

เขาก้าวตรงมาที่ด้านหน้าพวกจางเฉิงและถานไถชิง เสวี่ย พร้อมเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ว่า “ตอนนี้ก็ได้เวลาที่พวกเราควรออกเดินทางได้แล้ว”

พวกจางเฉิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน

จากนั้นทุกคนก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าอีกครา พร้อมกับมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาตงหลันทันที

ทว่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ บรรยากาศภายในรถม้ากลับดูอึดอัดอย่างไรพิกล

เย่ฉางชิงกวาดตามองทุกคน ภายในใจก็เริ่มรู้สึกเอือมระอา

เพราะก่อนหน้านี้ เขาเองก็เดาเอาไว้แล้วว่าผลลัพธ์จะต้องออกมาในรูปแบบนี้