บทที่ 124 วัดมังกรเขียว

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 124 วัดมังกรเขียว
หลังจากกินซาลาเปาหมดแล้ว สวี่ชีอันให้จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงไปแจ้งพรรคพวกคนอื่นๆ ในกลุ่มให้ไปรวมตัวกันที่ลานด้านหน้า

กลุ่มปัจจุบันของสวี่ชีอันมี พรรคจินยวี่ พรรคเจิ้นเสีย พรรคชุนเฟิง ฉู่ไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์ และมือปราบของทางการหกคน รวม 24 คน

หมิ่นซานและหยางเฟิง ฆ้องเงินทั้งสองรับผิดชอบตรวจสอบการผลิตและบันทึกการใช้ดินปืนของกรมก่อสร้าง ซึ่งเป็นงานที่จุกจิกและเสียเวลา

สวี่ชีอันแน่ใจว่าดินปืนไม่ได้ผลิตโดยกรมโยธา แต่เพื่อความรอบคอบ เขาจึงยังคงไม่หยุดตรวจสอบกรมโยธา

วันนี้ต้องออกจากเมืองหลวง เมื่อรู้ว่าคดีทะเลสาบซังผอนั้นพัวพันกับผู้มีอิทธิพลมากมาย สวี่ชีอันได้ทำตามความปรารถนาของหัวใจ นั่นคือการนำกำลังคนไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

เขาไปที่เขตพระราชฐานก่อน ส่วนคนอื่นๆ ถูกกันไว้นอกเขตพระราชฐาน คนที่สามารถจูงมือเดินไปพร้อมกับเขาได้มีเพียงฉู่ไฉ่เวยคนชอบกินคนเดียวเท่านั้น

หญิงสาวคนนี้เป็นแขกประจำของเขตพระราชฐาน อยากมาก็มา อยากไปก็ไป สถานะของนางไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

“องค์หญิงใหญ่ทรงมอบชิ้นหยกไว้ให้เจ้าใช่หรือไม่” สวี่ชีอันถาม

ฉู่ไฉ่เวยพยักหน้า

“ข้าก็มีเช่นกัน” สวี่ชีอันหยิบชิ้นหยกคาดเอวที่องค์หญิงหลินอันทรงมอบให้ไว้ออกมา แล้วก็โอ้อวดด้วยความภาคภูมิใจ

“รู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง…อ้อ ขององค์หญิงหลินอันเหรอ” ฉู่ไฉ่เวยร้องขึ้นเบาๆ

“ตอนนี้ข้าเป็นคนขององค์หญิงหลินอันแล้ว พระองค์ทรงชื่นชมข้ามาก ทรงเห็นว่าองค์หญิงใหญ่ไม่ได้ทรงมอบชิ้นหยกให้แก่ข้า พระองค์จึงทรงรีบมอบให้ข้ามาชิ้นหนึ่ง เพื่อแสดงว่าพระองค์เห็นความสำคัญของข้ามากกว่าองค์หญิงใหญ่ และควรค่าแก่การสวามิภักดิ์มากกว่า” สวี่ชีอันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้หญิงสาวตาโตฟัง

“พระองค์ทรงโง่เขลายิ่งนัก” ฉู่ไฉ่เวยหัวเราะคิกคัก เย้ยหยันองค์หญิงหลินอัน

ทั้งสองคนก็พอๆ กัน เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหนมาหัวเราะเย้ยหยันเช่นนี้…สวี่ชีอันพูดคล้อยตามว่า “ใช่ ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนที่จะฉลาดล้ำเช่นแม่นางไฉ่เวย”

รอยยิ้มบนใบหน้ารูปไข่ของฉู่ไฉ่เวย หวานยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ต่อมาไม่นาน ในที่สุดก็มาถึงพระตำหนักฮว๋ายอ๋อง บรรดาศักดิ์ของอ๋องสยบแดนเหนือคือฮว๋ายอ๋อง และยังทรงเป็นพระอนุชาของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ดังนั้นชื่อของพระตำหนักจึงเรียกว่าพระตำหนักฮว๋ายอ๋อง

หน้าประตูมีสิงโตหินอ่อนสีขาว 2 ตัว ประตูกลางสูง 2 จ้าง และตะปูประตูสีทองเรียงอย่างเป็นระเบียบ ห่วงเคาะประตูรูปมังกรมีขนาดใหญ่กว่าพระตำหนักของท่านอ๋องทั่วไป

นอกจากคำว่ารสนิยมสูงแล้ว สวี่ชีอันก็นึกคำอื่นที่จะมาเปรียบไม่ได้อีก

ที่หน้าประตูมีทหารสวมเสื้อเกราะถืออาวุธยืนเรียงแถวอยู่ สีหน้าเคร่งขรึม

“ข้าสวี่ชีอันได้รับพระราชบัญชาให้เป็นผู้รับผิดชอบคดีทะเลสาบซังผอ มีเรื่องต้องขอเข้าเฝ้าพระสนม รีบไปกราบทูลเดี๋ยวนี้” สวี่ชีอันแสดงตราทองคำ

ทหารสวมเสื้อเกราะเหลือบมองสวี่ชีอันแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “พระสนมทรงไม่ต้องการพบใครทั้งนั้น เชิญกลับไปได้”

สวี่ชีอันเลิกคิ้ว ขณะที่กำลังจะกล่าวโทษ ก็ได้ยินทหารสวมเสื้อเกราะยิ้มเยาะพร้อมกล่าวเสริมว่า “นี่เป็นพระราชบัญชาของฝ่าบาทเช่นเดียวกัน ถึงจะเป็นองค์หญิงใหญ่ทรงต้องการเข้าเฝ้าพระสนม ก็ต้องดูพระอารมณ์ของพระสนมของเราด้วย”

“รีบไปให้พ้นซะ อย่ามาแอบอ้างพระราชบัญชามาบีบบังคับผู้อื่น”

สวี่ชีอัน เข้าใจในทันทีส่งเสียง ‘อ้อ’ จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ที่แท้ตราทองคำที่ฝ่าบาททรงพระราชทานด้วยพระองค์เองเป็นเพียงการแอบอ้าง…คนผู้นี้สบประมาทฝ่าบาท ทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างร้ายแรง”

เขากำด้ามดาบที่หลังเอวด้วยมือข้างเดียว แล้วแสยะยิ้ม “ตอนนี้ข้าจะจับกุมผู้ต้องหา ใครกล้าขัดขวาง ให้ฆ่าทิ้งเสีย!”

‘ชิ้ง!’

ดาบยาวสีดำออกจากฝักเพียงครึ่งนิ้ว พลังชี่ก็พรั่งพรูออกมา

ทหารรักษาพระองค์ที่เหน็บแนมสวี่ชีอันรู้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว สีหน้าเริ่มซีด

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ถลึงตามองผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปากไม่มีหูรูด เดินไปทางสวี่ชีอัน ระหว่างเดิน เสียงชิ้นส่วนเสื้อเกราะดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’

“ใต้เท้าท่านนี้ เวลานี้พระสนมไม่อยู่ในพระตำหนัก”

“เสด็จไปไหน” สวี่ชีอันนั่งอยู่บนหลังม้า ชำเลืองตามองเขา

“ตำแหน่งต่ำต้อยเป็นเพียงคนเฝ้าประตู จะรู้การเคลื่อนไหวของพระสนมได้อย่างไร แต่พระองค์ไม่ได้อยู่ในพระตำหนักจริงๆ พระองค์เพิ่งออกจากเมืองหลวงไปเมื่อเช้านี้ ทรงคลาดกับพวกท่านเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์พูดจาน่าฟัง

สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย ท่าทีแข็งกร้าว “ตอนนี้ข้าจะจับกุมผู้ต้องหา หากพวกเจ้าไม่อยากถูกตัดสินว่าร่วมกันปกป้องคนผิด ก็จงช่วยข้าจับกุมคนผู้นี้”

เขาชี้ไปที่ทหารสวมชุดเกราะที่กล่าววาจาเยาะเย้ย

“ใต้เท้า!” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์รู้สึกร้อนใจ ในใจโกรธจนเจียนตาย แต่ไม่กล้าแสดงความโกรธออกมา พูดอย่างจริงใจว่า “พระสนมไม่อยู่ในพระตำหนักจริงๆ”

เป็นถึงทหารรักษาพระองค์ของพระตำหนักท่านอ๋อง รอท่านอ๋องกลับมาก่อน ก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกัน

แต่ในมืออีกฝ่ายถือป้ายทองคำไว้ แล้วยังจับความผิดของผู้ใต้บังคับบัญชาได้อีก หัวหน้าทหารรักษาพระองค์จึงทำได้เพียงใช้ไม้อ่อนจะดีที่สุด

ถึงตอนนี้สวี่ชีอันจึงยอมเชื่อ หันหัวม้า พาฉู่ไฉ่เวยจากไป

“พระสนมพระองค์นี้ค่อนข้างน่าสนใจ แม้แต่องค์หญิงใหญ่ก็ไม่อาจเข้าเฝ้าได้” สวี่ชีอันพูดหยั่งเชิงยิ้มๆ

ฉู่ไฉ่เวยก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นางไม่ได้สังเกตเห็นการหยั่งเชิงของสวี่ชีอัน ตอบตามตรงว่า “สถานะของพระสนมนั้นพิเศษมาก”

“พิเศษอย่างไร”

“นี่เป็นความลับ” ฉู่ไฉ่เหว่ยยิ้มกว้าง “เรื่องพวกนี้เจ้าควรถามให้น้อยหน่อย มันไม่มีประโยชน์ต่อตัวเจ้า”

พูดจบ นางก็ทำหน้าเคร่งขรึม กล่าวเตือนว่า “ห้ามใช้ของกินมาติดสินบนข้า”

“ทำไมหรือ”

“เพราะข้าเกรงว่าจะทนไม่ไหว…” นางพูดอย่างรู้สึกผิด

วันนี้มีภารกิจอยู่ 3 ภารกิจ การสืบสวนเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายอำเภอจ้าวมีผลที่ค่อนข้างแม่นยำตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว อีกสองภารกิจที่เหลือ การเข้าเฝ้าพระสนมทำไม่สำเร็จ

สวี่ชีอัน ที่แพ้ตั้งแต่เริ่มต้นรู้สึกทุรนทุราย!

เขาเป็นคนรอบคอบและจริงจังในการทำงาน การที่อารมณ์ไม่ดีย่อมไม่ใช่เพราะกระหายในความงามหรือต้องการจะเห็นพระพักตร์ที่งดงามของพระสนมอย่างแน่นอน

พระสนมมีความพิเศษเหรอ ความพิเศษนี้ต้องไม่ใช่ความงามที่ใบหน้าอย่างแน่นอน แต่หมายถึงอย่างอื่น ในเมื่อพิเศษเช่นนี้ เหตุใดเวลานั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งจึงต้องมอบหญิงงามเช่นนี้ให้กับอ๋องสยบแดนเหนือ…หรือว่า เป็นเพราะความพิเศษนี้ จึงทำให้ที่จักรพรรดิหยวนจิ่งต้องส่งต่อสาวงาม

สวี่ชีอันเบนความสนใจคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ทิ้งเรื่องพระสนมไว้ข้างหลัง

เรื่องคดีความก็ยากต่อการจัดการมากแล้ว จึงไม่ควรสิ้นเปลืองเซลล์สมองไปกับเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญอีก

ชานเมืองด้านตะวันตกของต้าฟ่งมีภูเขาไป่ฟ่ง ออกเดินทางจากประตูเมืองฝั่งตะวันตก ครึ่งชั่วยามกว่าก็สามารถไปถึงได้

ชื่อของภูเขาไป๋ฟ่งมาตั้งชื่อตามนกป่าสีขาวที่อาศัยอยู่บนภูเขา ขนหางยาวราวกับนกฟ่งหวง

แต่ตอนนี้นกไป๋ฟ่งเกือบจะสาบสูญไปหมดแล้ว พูดไปแล้วก็เป็นเหมือนของสำนักโหราจารย์

มีอยู่วันหนึ่ง หมอจากสำนักโหราจารย์มาเก็บสมุนไพรที่ภูเขาไป่ฟ่ง จึงได้จับนกไป๋ฟ่งติดมือไปด้วยสองสามตัว หลังจากนำกลับไปศึกษาที่บ้าน ก็พบว่าเนื้อของนกไป๋ฟ่งสามารถเป็นยาโป๊ได้…

เมื่อมาถึงตีนเขาไป๋ฟ่ง ลวี่ชิงผู้รอบรู้ได้พูดถึงเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้ม

ซ่งถิงเฟิงคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้นอย่างลังเลว่า “หัวหน้า ข้ามีสหายคนหนึ่งสุขภาพไม่ค่อยดี ข้าอยากจะไปล่านกไป๋ฟ่งให้เขาสักสองสามตัว”

หมิ่นซานฆ้องเงินถลึงตามองแล้วพูดว่า “นี่มันเวลาอะไรแล้ว ยังอยากจะล่าสัตว์ป่า เรื่องงานสำคัญกว่า หากทำให้คดีล่าช้าใครจะรับผิดชอบ”

หลี่อวี้ชุนขมวดคิ้วไม่ตอบ

สวี่ชีอันยิ้มและกล่าวว่า “มาภูเขาไป๋ฟ่งครั้งนี้ ก็เพื่อมาเรียนรู้เรื่องราวในอดีตเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนมากนัก ถิงเฟิงเจ้าจงจำไว้ว่าต้องรีบไปรีบกลับ”

เมื่อหมิ่นซานได้ยินเช่นนั้น ก็พูดด้วยสีหน้าเหนียมอายว่า “ใต้เท้าสวี่ ถ้าอย่างไรให้ข้าไปเป็นเพื่อนฆ้องทองแดงซ่ง จะได้มีคนดูแล”

ล่านกก็ต้องดูแลกันเหรอ สวี่ชีอันเหลือบมองเขา “เจ้าก็มีเพื่อนด้วยหรือ”

หมิ่นซานรู้สึกว่าผู้ชายทุกคนกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ

ฆ้องเงินหมิ่นรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย อัดอั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดออกมาว่า “โป๊หรือไม่โป๊ก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญคืออยากลองชิมว่านกที่กำลังจะสูญพันธุ์มีรสชาติอย่างไร”

ทุกคนพากันหัวเราะกันครืน สวี่ชีอันหัวเราะเสร็จ ก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าล้อเล่น เบื้องหลังของคดีซังผอนั้นซับซ้อนมาก อยู่ในเมืองหลวงพวกเจ้าจะไปไหนข้าไม่สนใจ แต่เมื่อออกจากเมืองหลวงแล้ว อย่าได้แตกกลุ่ม”

บันไดขึ้นเขาที่คดเคี้ยวผ่านไปยังส่วนลึกของป่า ที่เชิงเขามีซุ้มประตูขนาดใหญ่ที่มีป้าย ‘วัดมังกรเขียว’ แขวนอยู่

วัดมังกรเขียวถึงแม้จะมีผู้มาเยือนไม่มาก แต่ก็ไม่ถึงกับเงียบเหงา ระหว่างทางสามารถเห็นชาวบ้านบริเวณใกล้ๆ เป็นเพื่อนกันขึ้นเขามาจาริกแสวงบุญเป็นครั้งคราว

ที่ข้างซุ้มประตูมีรถม้าคันหรูจอดอยู่ โดยมีทหารสวมเสื้อเกราะติดอาวุธสิบกว่าคนคอยคุ้มกันอยู่

รถคันนี้สวี่ชีอันรู้สึกคุ้นตามาก มันทำจากไม้หนานมู่ ตัวรถหุ้มด้วยแผ่นหยกและทองคำเปลว มันเป็นรถม้าคันที่เขาพบเมื่อตอนที่เขาไปสำนักสังคีต

เจ้าของรถม้ายังเคยขอให้สวี่ชีอันเล่นเกมโยนลูกธนูลงคนโท โดยใช้ทองคำสี่ร้อยตำลึงแลกกับประคำข้อมือ

จริงสิ นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยกล่าวว่าผู้หญิงในรถม้าจะมีความสัมพันธ์กับเราช่วงหนึ่ง…จะเป็นใครกันนะ ไม้หนานมู่ใช้สำหรับเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ รถม้าขององค์หญิงใหญ่และองค์หญิงรองไม่ใช่แบบนี้ หรือจะเป็นองค์หญิงในราชวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง หรือจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้

ไม่ๆๆ ต้องไม่ใช่พระสนมอย่างแน่นอน อย่าทำให้ตัวเองตกใจสิ

ถึงจะเป็นพระสนม ก็ต้องเป็นผู้หญิงที่สวยระดับอาสะใภ้…เขาเสริมในใจหนึ่งประโยค

ผูกม้าไว้กับเสาไม้ข้างซุ้มประตู ทิ้งมือปราบของทางการไว้คนหนึ่ง ฆ้องทองแดงคนหนึ่งเฝ้าม้า ส่วนสวี่ชีอันนำหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลขึ้นเขาไป

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เท้าของสวี่ชีอันก็ยุบลง เหยียบโดนถุงหอมใบหนึ่ง

วันนี้ไม่เก็บเงิน แต่เปลี่ยนมาเก็บถุงหอมแทน

เขาก้มลงเก็บขึ้นมา ถือไว้ในมือแล้วจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ถุงหอมปักลายก้อนเมฆที่สลับซับซ้อน ฝีมือประณีต ใช้วัสดุราคาแพง ไม่ใช่ของที่ครอบครัวคนมีฐานะทั่วไปจะใช้ได้อย่างแน่นอน

ด้านหนึ่งของถุงหอมปักคำว่า ‘หนาน’ สีทอง อีกด้านหนึ่งปักคำว่า ‘จือ’ พู่สีทองถักเป็นลวดลายสวยงาม

สวี่ชีอันได้กลิ่นหอม เหมือนไม้หอม เหมือนไม้จันทน์ แล้วก็เหมือนกลิ่นหอมเฉพาะตัวของผู้หญิง

“คนที่อยู่ข้างหน้า พวกเจ้ารอก่อน…” เสียงเรียกที่ไพเราะดังมาจากด้านหลังของทุกคน

สาวน้อยในชุดสีฟ้าอ่อนวิ่งตามมา เห็นชุดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ไม่กลัว นางชี้ไปที่ถุงหอมในมือของสวี่ชีอัน ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วพูดว่า “นี่เป็นของพระสนมของเราทำตกไว้”

นางเกล้าผมแบบสาวใช้ แต่ผ้าที่ใช้ตัดเสื้อที่สวมอยู่บนร่างกายนั้นกลับดีกว่าของบุตรสาวของครอบครัวที่มีฐานะทั่วไป

สวี่ชีอันมองไปที่รถม้าคันหรูที่เชิงเขาโดยไม่รู้ตัว “พระสนมของพวกเจ้า”

“อย่าถามมาก รีบเอาถุงหอมคืนมาเร็วๆ” น้ำเสียงของสาวน้อยนั้นดุดัน

“ถุงหอมอะไรกัน” สวี่ชีอันเก็บถุงหอมไว้ในอกเสื้อ

“เจ้า…” หญิงสาวจ้องมองเขาอย่างดุดัน “เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน”

ยกชายกระโปรงหนาขึ้น แล้ววิ่งไปตามขั้นบันไดหินลงไปดังตึงๆๆ สวี่ชีอันไม่ได้เดินต่อ หยุดอยู่ที่เดิม เห็นนางเข้าไปใกล้รถม้า พูดอะไรบางอย่างที่หน้าต่างรถม้า

“หนิงเยี่ยน อย่าก่อเรื่องเลย นั่นเป็นรถม้าสำหรับเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ” หลี่อวี้ชุนขมวดคิ้วพูด

สวี่ชีอันได้รับพระราชบัญชาให้มาสอบสวนคดีเท่านั้น ในใจของพี่ชุน เขายังคงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองเหมือนเดิม พี่ชุนไม่ต้องการให้สวี่ชีอันก่อเรื่องมากเกินไปในระหว่างทำการสอบสวนคดี การทำเช่นนี้ ถึงแม้ว่าต่อไปเขาจะทำความดีชดเชยความผิด แต่การล่วงเกินผู้ที่ไม่ควรล่วงเกิน ความพยายามในตอนนี้ก็จะสูญเปล่า

…เจ้าไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนั้นมีบุพเพสันนิวาสกับข้า!

สวี่ชีอันส่ายหน้า ไม่ได้อธิบาย ยังคงให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวที่รถม้านั่น

ตอนจบทำให้สวี่ชีอันผิดหวัง เขาเห็นรางๆ ว่าหน้าต่างรถม้าแง้มออกเล็กน้อย ดูเหมือนคนที่อยู่ข้างในจะกำลังจับตาดูเขาอยู่

แต่อยู่ไกลเกินไป ทำให้เขามองไม่เห็นแสงสลัวภายในรถม้า

หน้าต่างรถปิดอย่างรวดเร็วและปิดสนิท หลังจากนั้นไม่กี่วินาที รถม้าก็เคลื่อนตัวช้าๆ ไกลออกไปทุกที

ดูเหมือนว่าบุพเพสันนิวาสยังมาไม่ถึง…สวี่ชีอันถอนหายใจ “ไปกันเถิด ไปพบเจ้าอาวาสวัดมังกรเขียว”

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ใส่ชุดเครื่องแบบกลุ่มหนึ่งหลั่งไหลเข้าไปในวัด ทำให้ภิกษุรูปหนึ่งต้องออกมาต้อนรับในทันที

ภิกษุรูปนี้เป็นภิกษุรูปร่างอ้วนใบหน้ากลม หน้าตาใจดี อายุสี่สิบต้นๆ พนมมือกล่าวว่า “อาตมาเป็นผู้ดูแลวัดนี้ ฉายาเหิงชิง เชิญทุกท่านเข้ามาก่อน”

เขานำสวี่ชีอันและคนอื่นๆ เข้าไปในวัด และได้แนะนำประวัติของวัดมังกรเขียวอย่างกระตือรือร้น อ้างว่าสืบทอดมาจากชมพูทวีปโดยตรง เป็นพุทธศาสนานิกายมหายาน บูชาพระพุทธเจ้า

สวี่ชีอันกวาดตามองบริเวณวัดที่กว้างใหญ่ แล้วโบกมือพูดว่า “เรียกเจ้าอาวาสของพวกท่านออกมา ข้ามีเรื่องจะถาม”

วัดมังกรเขียวเป็นวัดพุทธเพียงแห่งเดียวในเขตเมืองหลวงของต้าฟ่ง ตรงตามที่ภิกษุรูปนี้ได้บอกไว้ ว่าเป็นพุทธศาสนามหายานที่สืบทอดมาจากชมพูทวีป

สวี่ชีอันทำการบ้านมาก่อนจะมาที่นี่ เจ้าอาวาสวัดมังกรเขียว เป็นสาวกระดับห้า ฝีมือดีกว่าพวกเขาทุกคน

แต่ฝีมือของสวี่ชีอันก็ไม่ได้แย่ เพราะในช่วงแรกของระบบพุทธศาสนา ไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ ยกเว้นภิกษุฝ่ายบู๊ระดับแปด

พุทธศาสนาระดับเก้าเรียกว่า เรียกว่าสามเณร ในระดับนี้น่าสนใจมาก เคล็ดลับสำคัญอยู่ที่การรักษาศีล ถ้าไม่ผิดศีลภายในเวลา 3 ปี ก็สามารถเลื่อนขั้นได้ ดูเผินๆ เหมือนจะง่ายมากแต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

พุทธศาสนามีศีลที่เข้มงวดและซับซ้อน บางทีอาจจะผิดศีลโดยไม่ตั้งใจได้

ระดับแปดเป็นภิกษุฝ่ายบู๊ ไม่ต่างจากทหารมากนัก ต่อสู้เก่งมาก

นักพรตระดับเจ็ดและภิกษุระดับหกที่ ต่อสู้ไม่เก่งนัก เมื่อถึงสาวกระดับห้า จึงนับว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์

ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือ ขณะที่สวี่ชีอันตรวจสอบข้อมูลในคลังเอกสารของทางการ เขาพบสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ว่าระดับถัดไปของสามเณรระดับเก้าคือนักพรต

ข้ามภิกษุฝ่ายบู๊ระดับแปดไปเลย

ในเอกสารไม่ได้ระบุไว้ว่าเพราะอะไร สวี่ชีอันเองก็ขี้เกียจจะใช้เวลาศึกษาระบบของพุทธศาสนา เพียงแค่เดาว่าในระบบพุทธศาสนาอาจมีสองเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“เจ้าอาวาสกำลังนั่งสมาธิอยู่ ไม่สะดวกที่จะรบกวนท่าน ใต้เท้าทั้งหลายมีอะไรสามารถคุยกับข้าได้” เหิงชิงนำทุกคนเข้าไปในห้องน้ำชา และสั่งให้สามเณรยกน้ำชามา

“ในวัดมีอาวุธเวทมนตร์บังตาวิชามองปราณของสำนักโหราจารย์หรือไม่” สวี่ชีอันนั่งบนเบาะรองนั่ง ถามอย่างตรงไปตรงมา

“ใต้เท้าถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” เหิงชิงพนมมือและส่ายหน้า “ในวัดไม่มีอาวุธเวทมนตร์ชนิดนี้”

“ไต้ซือ นักบวชไม่พูดโกหก” สวี่ชีอันมีสายตาที่แหลมคม

เหิงชิงก้มศีรษะ โดยไม่สบตาสวี่ชีอัน กล่าวว่า “สิ่งที่อาตมาพูด ล้วนเป็นความจริง”

“พอผ่านสามเณรระดับเก้าแล้ว ก็สามารถที่จะพูดโกหกได้โดยไร้ความกลัวใช่หรือไม่” สวี่ชีอันแสร้งยิ้ม

เหิงชิงก้มศีรษะ ไม่สนใจไม่ใส่ใจกับสายตาเย็นชาของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่รอบข้าง

ไม่ใช้กำลังไม่ให้ความร่วมมือ สวี่ชีอันรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อย

……………………………………………………