บทที่ 151 ผู้ฝึกกระบี่ที่อาบน้ำ

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนที่เข้ามาจากข้างนอกคือผู้บำเพ็ญเซียนที่สวมชุดเครื่องแบบแบบเดียวกันกลุ่มหนึ่ง พวกเขาไม่รับประทานอาหาร ทว่าตรงไปที่โต๊ะคิดบัญชีแทน

“นี่! พวกเจ้าเคยเห็นผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูง หน้าตาโดดเด่น นิสัยเย็นชาบนเรือหรือไม่?” ผู้นำคือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน เอ่ยอย่างดุร้ายกับเถ้าแก่ที่ยังดีดลูกคิด

เถ้าแก่คนนี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่ตึกซ่างเซียนส่งมา เห็นอีกฝ่ายดุร้ายปานนี้ จึงเอ่ยอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง “สหายเซียนท่านนี้ พูดจาเกรงใจกันหน่อย มานั่นนี่อะไร”

“เกรงใจ? น่าขำจริงๆ ไม่ดูเสียบ้างว่าพวกเราเป็นใคร จำเป็นต้องเกรงใจเจ้าด้วยหรือ?” ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ดึงชุดบนร่างของตนเอง เอ่ยอย่างดูแคลน

เถ้าแก่มองชุดบนร่างของเขาแล้วเอ่ยอย่างชืดชา “ที่แท้เป็นคนของหอฉีเทียน มิน่าเล่าจึงวางอำนาจเช่นนี้ ข้าไม่เคยเห็นคนที่เจ้าเอ่ยถึง รีบไปเสีย อย่าให้กระทบถึงการค้าของข้า”

ที่จริงตอนนี้ภายในร้านมีอยู่ไม่กี่คน นับรวมจินเฟยเหยาแล้วก็มีเพียงสามคน ได้ยินว่าคนเหล่านี้กำลังตามหาคน นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง จึงนั่งมองเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง ส่วนคนอื่นๆ อีกสองคนก็ไม่ได้ขยับ ยังนั่งรอชมเรื่องสนุกอยู่เงียบๆ ที่เดิม

“ไม่เคยเห็น? ในน่านน้ำผืนนี้มีเพียงเรือของพวกเจ้า ข้าว่าจงใจไม่บอกมากกว่า” ไม่รู้ว่าทั้งสองคนไม่ถูกชะตากันโดยกำเนิดหรือไม่ ผู้บำเพ็ญเซียนของหอฉีเทียนมีสีหน้าดูแคลน และไม่ยอมเลิกรา

“เฉิงอัน อย่าเสียมารยาท” ในยามนี้เอง ตรงประตูมีเสียงตำหนิดังมา ผู้บำเพ็ญเซียนบัญชาการเรือเดินเข้ามาพร้อมกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมอายุสามสิบกว่าปีคนหนึ่ง เสียงตำหนิพอดีดังมาจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนนี้

“ซือจุน” หลังจากผู้บำเพ็ญเซียนที่ชื่อว่าเฉิงอันคนนี้ถูกด่าทอ ก็เบ้ปากถอยไปอยู่ด้านข้างอย่างไม่พอใจ

“ปกติข้าเคยบอกไว้นานแล้ว อยู่นอกสำนักต้องเกรงอกเกรงใจคนอื่น อย่าถือว่าตนเองเป็นคนของหอฉีเทียน ก็เสียมารยาทกับคนตอนอยู่ข้างนอกได้” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมของหอฉีเทียนด่าว่าเขาอย่างรุนแรงหลายประโยค จากนั้นจึงเอ่ยขออภัยผู้บำเพ็ญเซียนบัญชาการเรือ “พี่หลินอวี่ ขออภัยจริงๆ ทำให้ท่านหัวเราะเยาะแล้ว”

“เทียนกงเจินเหริน[1]เกรงใจเกินไปแล้ว คนของตึกซ่างเซียนเราก็มีส่วนผิดด้วย” มุมปากของหลินอวี่โค้งขึ้นนิดๆ เป็นรอยยิ้มสุภาพตามมาตรฐาน

“จิ่งฮุย เทียนกงเจินเหรินมาที่นี่เพื่อต้องการสืบหาที่อยู่ของคนผู้หนึ่ง ปกติพวกเจ้ามีการติดต่อกับผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมาก เคยเห็นคนที่พวกเขาตามหาหรือไม่?” จากนั้นหลินอวี่ก็เอ่ยถามเถ้าแก่ที่ชื่อจิ่งฮุย

“ผู้อาวุโส ที่นี่มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานมา ถ้าจะหาคนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงนี่คือสูงมากเพียงใด? ถ้าขั้นหลอมรวมขึ้นไป เช่นนั้นก็ไม่เคยพบ” จิ่งฮุยเอ่ยโดยไม่ต้องคิดเลยสักนิด

หลังจากหลินอวี่ได้ยินก็มองเทียนกงเจินเหริน “เทียนกงเจินเหริน คนที่พวกท่านตามหาไม่ทันปกปิดร่องรอย จะเผ่นขึ้นมาบนเรือของตึกซ่างเซียนเราได้อย่างไร เกรงว่าคงกลับไปโลกเผ่ามารแต่แรกแล้ว ถ้าอย่างไรก็คงอยู่ระหว่างทาง เขารั้งอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์”

เทียนกงเจินเหรินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเอ่ยถามจิ่งฮุย “เช่นนั้นพวกเจ้าเคยพบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ใช้เปลวไฟสีสันแปลกประหลาดหรือไม่ เช่นสีฟ้าหรือสีดำ ขอเพียงไม่ใช่สีเหลืองแดงธรรมดาก็พอ”

“นี่…” จิ่งฮุยครุ่นคิด เขาคิดบัญชีอยู่ที่นี่ทั้งวัน มีเวลาว่างออกไปที่ไหน บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนเข้ามากินอาหารดื่มสุรา คงไม่แบกเวทมนตร์ของตนเองไว้บนศีรษะหรอก

“มี บนเรือมีผู้บำเพ็ญเซียนเช่นนี้” ผู้รับใช้ที่พูดคุยกับจินเหยาเมื่อครู่ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างมาตลอด หลังจากได้ยินว่าพวกเขาตามหาผู้บำเพ็ญเซียนที่มีเปลวไฟประหลาด รีบเอ่ยปากทันที

“เจ้าเคยเห็น?” เทียนกงเจินเหรินยินดีอยู่บ้าง รีบเอ่ยถาม

“เคยเห็นตอนมาที่นี่ เห็นนางใช้เปลวไฟสีฟ้าเช่นนี้สังหารสัตว์ปิศาจมาตลอดทาง เมื่อครู่ยังสอบถามข้าถึงโลหิตตานมาร เมื่อครู่ยังนั่งอยู่บนโต๊ะตัวนั้น เอ๋? เหตุใดจึงหายตัวไปแล้วเล่า ตอนที่พวกท่านเข้ามานางยังอยู่เลย” ผู้รับใช้ชี้สถานที่ซึ่งจินเฟยเหยานั่ง พบว่าจินเฟยเหยาหายไปอย่างกะทันหัน

“อา! เมื่อครู่มีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนหนึ่งเดินมา บอกให้ข้าถอยไปจะเดินผ่าน ข้าจึงให้นางออกไป” ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังพลันร้องเสียงดัง

“เจ้าโง่! รีบไล่ตามออกไป อย่าให้นางหนีไปได้!” เทียนกงเจินเหรินตวาดลั่น มีปฏิกิริยาทันควัน รีบเรียกศิษย์ให้วิ่งออกไป

เขาเอ่ยกับผู้รับใช้ตัวเล็กๆ คนนี้อย่างเร่งร้อน “นางชื่อว่าอะไร หน้าตาเป็นอย่างไร สวมเสื้อผ้าอะไร มีลักษณะพิเศษอะไร!”

“นาง…นางอายุยี่สิบกว่าปี สวมเสื้อผ้าสีฟ้าทั้งตัว บนศีรษะมีปิ่นดอกไม้สีขาวเล็กๆ สองชิ้น ไม่รู้ชื่อ ปกติก็ไม่เห็นติดต่อกับใคร ลักษณะพิเศษ…อ้อ ปกตินางมักจะมีกบสีขาวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งติดตามอยู่ข้างกาย” ผู้รับใช้ถูกเขาทำให้ตกใจกลัว จึงพูดติดอ่างอยู่บ้าง

“พวกเจ้าไล่ตามออกไปทันที ดูว่ามีใครเพิ่งออกไปจากเรือบ้าง ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิงให้สกัดไว้แล้วพาตัวกลับมาทั้งหมด” เทียนกงเจินเหรินออกคำสั่ง ศิษย์สิบกว่าคนก็วิ่งออกไป เหยียบของวิเศษปลดปล่อยการรับรู้แล้วพุ่งออกจากเรือ

จากนั้นเขาก็เอ่ยกับหลินอวี่อีกครั้ง “สหายเซียนหลิน เรื่องนี้มีความสำคัญใหญ่หลวง หวังว่าท่านจะช่วยเหลือข้าจับกุมคนผู้นี้”

“ข้ารู้ เทียนกงเจินเหรินโปรดวางใจ ข้าจะส่งคนไปตรวจค้นเรือทันที” หลินอวี่พยักหน้ารับ

ส่วนเทียนกงเจินเหรินก็พาคนไล่ตามออกไปทันที ตามที่พวกเขาคาดเดา ถ้าพบว่ามีคนกำลังค้นหาตนเอง จินเฟยเหยาต้องไปจากเรือทันทีแน่นอน โอกาสหนีเอาชีวิตรอดบนทะเลอันกว้างใหญ่จะมากกว่าหน่อย แต่เขาก็ทิ้งศิษย์ไว้ห้าคน เพื่อค้นหาตัวคนผู้นี้บนเรือกับคนของตึกซ่างเซียน

“เจ้าบอกว่านางสอบถามถึงสภาพของโลหิตตานมาร?” หลินอวี่ไม่ได้รีบร้อนออกไป ทว่าเรียกผู้รับใช้คนนั้นมาซักถามอย่างละเอียด

ผู้รับใช้ไม่กล้าปิดบัง อธิบายเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งยังนำศิลาวิญญาณที่จินเฟยเหยามอบให้เขาออกมาด้วย ถึงจะเจ็บเนื้อ ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาซ่อนสิ่งที่ผิดกฎ

โชคยังดี หลินอวี่ไม่ได้เอาศิลาวิญญาณของเขาไป เพียงแค่หยิบมาดู ไม่พบว่ามีอะไรแปลกประหลาดจึงคืนให้เขาอีกครั้ง

โลหิตตานมาร…ท่าทางนางคงเป็นคนปล่อยจอมมารหลงไป ทั้งยังได้โลหิตตานมารมา เพียงแต่ไม่รู้ว่าได้มากี่หยด คาดว่าคงไม่มาก แต่ข้าต้องการเพียงหยดเดียวก็พอแล้ว หลินอวี่ลูบคางครุ่นคิด เทียนกงเจินเหรินก็ได้ยินเรื่องของโลหิตตานมาร คาดว่าเขาคงไม่ปล่อยของดีๆ แบบนี้ไปเช่นกัน ดูท่าตอนนี้ ผู้ใดหาตัวคนผู้นี้พบก่อนผู้นั้นก็ได้โลหิตตานมารไป

“ไม่ต้องดูแลที่นี่แล้ว พวกเจ้ารีบออกไปค้นหาสตรีผู้นี้ทันที เจ้าเคยเห็นหน้าตาของนาง เจ้าก็ไปด้วย ต้องหาตัวนางมาให้ได้ บนเรือไม่มีก็ไปหาในทะเล นางน่าจะหนีไปได้ไม่ไกล”

หลินอวี่ทิ้งคำพูดไว้อย่างรีบร้อนแล้วเดินออกไป เตรียมรวมพลคนของตึกซ่างเซียนทั้งหมดบนเรือค้นหาจินเฟยเหยา

ส่วนจินเฟยเหยากำลังยืนอยู่ภายในห้องของตนเอง มองผ่านกระจกหน้าต่างออกไปข้างนอก เห็นผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยแหวกนภาไป รวมทั้งเทียนกงเจินเหรินซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมคนนั้นด้วย แม้แต่คนของตึกซ่างเซียนทั้งหมดก็ทิ้งงานของตนเองวิ่งไปมาบนเรือ พอพบผู้บำเพ็ญเซียนสตรีก็จะไต่ถามอย่างละเอียด แม้แต่บุรุษก็ไม่เว้น โดยเฉพาะประเภทที่หน้าแดงฟันขาว แทบจะถลกเสื้อออกมาดูว่าเป็นสตรีปลอมเป็นบุรุษหรือไม่

“ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? คนเหล่านี้ตามหาข้าทำไม ข้าไม่ใช่เผ่ามารเสียหน่อย หรือว่าเพราะเรื่องที่ปล่อยจอมมารหลงไป แต่ตอนนั้นไม่มีคนเห็น สี่คนนั้นก็ตายไปนานแล้ว รู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นคนทำ?” จินเฟยเหยาไม่รู้เรื่องหินผลึกกักมาร ย่อมไม่เข้าใจเป็นธรรมดา

ทว่าตอนนี้มิใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนข้างนอกเฝ้าระวังป้องกันอย่างเข้มงวด ภายในตัวเรือสามารถได้ยินคนของตึกซ่างเซียนกำลังตรวจสอบไปทีละห้อง บางครั้งยังได้ยินเสียงของผู้บำเพ็ญเซียนโต้เถียงกับคนของตึกซ่างเซียนอย่างไม่พอใจ

“เปิดประตู! ถ้าไม่เปิดจะพังประตู” ตลอดมาตึกซ่างเซียนจดเพียงชื่อแซ่ ไม่จำหน้าตา อีกทั้งออกไปข้างนอกกลับมาก็คร้านจะยุ่งเกี่ยวด้วย รู้เพียงคนภายในห้องเหล่านี้ชื่อว่าอะไร ไม่รู้จักหน้าตาและไม่รู้ว่าออกไปข้างนอกหรือไม่

ดังนั้นประตูห้องของพวกเขาทั้งหมดล้วนถูกเคาะอย่างเต็มกำลัง ถ้าไม่มีคนมาเปิด พวกเขาก็จะใช้กำลังเปิดการป้องกันทลายประตูเข้าไป ถือว่าพวกเขาโชคดี ห้องโทรมๆ แบบนี้ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนยอมลงการป้องกันไว้ บวกกับผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยอยู่ข้างนอกยังไม่กลับมา แม้แต่การป้องกันยังคร้านจะลงไว้ ดังนั้นห้องแต่ละห้องจึงถูกพวกเขากระแทกเปิดออกได้อย่างราบรื่น

แต่ในจำนวนนั้นก็รบกวนผู้บำเพ็ญเซียนที่อาศัยอยู่ด้านใน จึงด่าทอโต้เถียงกันไม่หยุด ทำให้คนของตึกซ่างเซียนเหงื่อท่วมศีรษะ ทางหนึ่งเตะประตู อีกทางหนึ่งต้องระงับโทสะของผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกทำให้ตกใจ

ครู่หนึ่ง พวกเขาก็มาถึงหน้าห้องของจินเฟยเหยา หยิบรายชื่อผู้บำเพ็ญเซียนออกมาดู ชื่อผู้บำเพ็ญเซียนที่อาศัยอยู่ห้องนี้เหมือนสตรีอย่างยิ่ง จึงเรียกคนมาหลายคน

“เปิดประตู ตึกซ่างเซียนตรวจห้อง ได้ยินหรือไม่ ถ้าไม่เปิดจะพังประตู” เขาอ้าปากตะโกน จากนั้นถอยหลังมาหนึ่งก้าว ให้คนอื่นๆ กระแทกประตู

คนอื่นๆ เพิ่งหยิบอาวุธเวทออกมาเตรียมพังประตู ประตูก็เปิดออก จากนั้นเห็นสตรีผู้หนึ่งพุ่งออกมาเอ่ยอย่างดุร้าย “พวกเจ้าทำอะไรน่ะ! ฉวยโอกาสตอนที่ข้าอาบน้ำคิดจะพังประตูแอบดูหรือ?”

ไม่รอให้ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนมีปฏิกิริยา สตรีผู้นี้ก็ยกมือขึ้นตบบ้องหูคนดังเพี๊ยะๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ชี้หน้าผู้บำเพ็ญเซียนที่ถือรายชื่อแล้วด่าทอ “เจ้าเป็นคนนำใช่หรือไม่ กล้าแอบมองข้า รนหาที่ตาย”

“เจ้ากล้าทุบตีคน!” ผู้บำเพ็ญเซียนของตึกซ่างเซียนพังประตูมาเยอะพบเจอผู้บำเพ็ญเซียนที่โต้เถียงมากมาย แต่เป็นครั้งแรกที่โดนตบบ้องหู

พวกเขาหยิบอาวุธเวทและของวิเศษนานาชนิด จ้องมองแน่วนิ่ง สตรีที่ยืนอยู่หน้าประตูคนนี้ บนร่างพันผ้าสีขาวที่เปียกชุ่มครึ่งหนึ่ง เท้าเปล่าเหยียบพื้น เส้นผมเปียกน้ำแผ่กระจายปกคลุมแผ่นหลัง พอเห็นก็รู้ว่ากำลังอาบน้ำ มิน่าเล่านางจึงมีโทสะขนาดนี้ ผู้อื่นกำลังอาบน้ำ เจ้ากลับจะพังประตูเข้ามา วอนโดนอัดมิใช่หรือ?

“มองอะไร ระวังข้าจะควักลูกตาของพวกเจ้าออกมา!” สตรีผู้นี้ถลึงตา กระบี่ยาวโปร่งใสคู่หนึ่งปรากฏขึ้นด้านหน้าลำตัว ลอยอยู่กลางอากาศเสียงดังวิ้งๆ

“สหายเซียนท่านนี้ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พวกเราเพียงแค่กำลังค้นหาคนเผ่ามารจึงไม่ทันระวังทำให้เจ้าตกใจ พวกเราทำเพื่อความปลอดภัยของทุกคน เจ้าอย่ามีโทสะเลย” ทุกคนมองสบตากันหลายครั้ง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ฉากนี้ดูเหมือนฝ่ายตนเองจะเป็นคนผิด

“เผ่ามาร?” สตรีผู้นี้ขมวดคิ้วนิดๆ กระบี่ด้านหน้าลำตัวถอยกลับไปไขว้ไว้ด้านหลัง

“เป็นผู้ฝึกกระบี่” เห็นนางไขว้กระบี่ไว้ด้านหลังด้วยความเคยชิน ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ก็จำได้ นี่เป็นการกระทำที่ผู้ฝึกกระบี่ชอบทำ

ผู้อื่นล้วนเลี้ยงดูของวิเศษแก่นชีวิตในการรับรู้ มีเพียงผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้ที่ชอบไขว้กระบี่ไว้ด้านหลัง บางคนตั้งค่ายกลกระบี่ แบกกระบี่ไว้ด้านหลังสิบกว่าเล่มประดุจตัวเม่นเหมือนเป็นเครื่องหมายราวกับกลัวคนอื่นไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกกระบี่

…………………………………….

[1] เจินเหริน เป็นคำที่ใช้เรียกผู้ที่ฝึกบำเพ็ญจนสำเร็จมรรคผลหรือถึงมรรคาในลัทธิเต๋า