ตอนที่ 156 ทำไมถึงตาย?

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

“งั้นก็ดี ลูกรู้ไหม? สีหน้าท่าทางของลูกตอนนี้ดูมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อนนิดหน่อยแล้วนะ คราวนี้แม่ค่อยวางใจแล้ว” หลานลั่วเฟิ่งตีใบหน้าโชตะที่น่ารักของหลิงหลานเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็ค่อยจูงมือหลิงหลานเดินเข้าไปในบ้านพัก

ส่วนในใจของหลิงหลานเกิดความรู้สึกหวั่นไหวเพราะคำพูดของหลานลั่วเฟิ่ง ที่แท้หลานลั่วเฟิ่งสนใจการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของเธอมาตลอด สาเหตุที่หลานลั่วเฟิ่งไม่พูดเยอะเป็นเพราะว่าหลานลั่วเฟิ่งเลือกที่จะเชื่อมั่นลูกของตัวเอง

และก็มีแค่มารดาที่รักคุณอย่างหมดทั้งตัวและหัวใจเท่านั้นถึงจะสนใจจุดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ถึงแม้ว่าหลานลั่วเฟิ่งจะไม่ค่อยให้ความสำคัญผลการเรียนของเธอ เหมือนกับไม่สนใจอนาคตของลูก ดูเหมือนไม่ใช่ผู้ปกครองที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจริงๆ แต่เมื่อคิดพวกจุดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตให้ละเอียดตั้งแต่ที่หลิงหลานเกิดจนถึงตอนนี้ คนและสิ่งของทั้งหมดที่ทำให้หลิงหลานรู้สึกไม่สบายใจต่างหายไปโดยที่เธอไม่รู้เนื้อรู้ตัว นี่ย่อมเป็นฝีมือของหลานลั่วเฟิ่ง เธอทนให้ลูกของเธอไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่ได้

ยิ่งหลิงหลานสัมผัสได้ถึงความรักของหลานลั่วเฟิ่ง ความละอายใจของเธอก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น เธอบีบมือหลานลั่วเฟิ่งแรงๆ จนนำมาซึ่งสายตาสอบถามของหลานลั่วเฟิ่ง

หลิงหลานส่งรอยยิ้มน่ารักให้หลานลั่วเฟิ่งอีกครั้ง จากนั้นก็พูดว่า “แม่ครับ เมื่อตะกี้ผมบอกแม่หรือยังว่า ผมรักแม่นะ?”

หลานลั่วเฟิ่งปิดปากด้วยความตื่นเต้นยินดี หลิงหลานแบกรับภาระหนักมาตั้งแต่เด็ก ได้รับแรงกดดันหนักมาก เดิมทีตอนเป็นเด็กทารกยังชอบยิ้มหรือว่าหยอกล้อคน แต่ต่อมาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้น ปล่อยกลิ่นอายไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ออกมาทั่วร่าง ทำให้หลานลั่วเฟิ่งนอกจากจะเจ็บปวดใจแล้วก็ยังรู้สึกเสียใจภายหลังอย่างมากว่า การตัดสินใจของเธอในตอนนั้นเป็นการทำร้ายหลิงหลานหรือเปล่า

ต่อมาหลังจากที่หลิงหลานกลายเป็นผู้นำตระกูลหลิงอย่างแท้จริง แบกรับความรับผิดชอบของตระกูลหลิงไว้ หลิงหลานก็ไม่ค่อยชอบเอ่ยปากพูดจา แน่นอนว่าหลานลั่วเฟิ่งเองก็เคยแสร้งทำตัวบ้าๆ บอๆ พัวพันหลิงหลานเพื่อให้หลิงหลานเปิดปากพูดเยอะๆ ทำให้หลิงหลานพูดหรือบอกเธอว่า ผมรักแม่ เป็นต้น แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้รับกลับเป็นการทำแบบขอไปที นี่ทำให้หลานลั่วเฟิ่งรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง

ตอนนี้พอเห็นหลิงหลานเอ่ยปากเอง หลานลั่วเฟิ่งก็อดรู้สึกปลาบปลื้มยินดีขึ้นในใจไม่ได้ สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือเรื่องการปลอมตัวเป็นผู้ชายจะทำให้หัวใจของหลิงหลานเกิดบิดเบี้ยวขึ้นมา แต่ว่ารอยยิ้มเบิกบานและน้ำเสียงที่ดูสดใสเล็กน้อยของหลิงหลานในเวลานี้ได้พิสูจน์แล้วว่าหลิงหลานเป็นปกติทุกอย่าง นี่จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดของหลานลั่วเฟิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

“น่าเสียดายจริงๆ หลิงหลาน เมื่อตะกี้นี้ลูกลืมพูดประโยคนี้กับแม่นะ”หลานลั่วเฟิ่งตอบยิ้มๆ แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับมีหยาดน้ำตาแวววับร่วงลงมาสองหยดโดยที่ไม่อาจควบคุมได้ หนึ่งในนั้นบังเอิญหยดลงในฝ่ามือของหลิงหลาน

หลิงหลานจ้องมองน้ำตาที่ดูเหมือนจะแผดเผาเธอได้ในฝ่ามือก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดด้วยความจริงจังว่า “แม่ครับ ผมรักแม่นะ! ต่อไปผมจะรับช่วงต่อหน้าที่ของพ่อเอง จะบอกแม่ทุกวันว่า ผมรักแม่นะ!”

“หลิงหลาน แม่รักก็ลูกเหมือนกัน!” หลานลั่วเฟิ่งกอดหลิงหลานอย่างแนบแน่นอีกครั้ง เธอมองไปที่ท้องฟ้าด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาจนพร่ามัว ราวกับมองเห็นหลิงเซียวพูดกับเธอด้วยรอยยิ้มว่า เขาหาคนมารักเธอแทนเขาได้แล้วนะ

“ขอบคุณนะ หลิงเซียว คุณได้มอบสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดให้ฉันแล้ว หลิงหลานของฉัน!”

หลิงหลานกับหลานลั่วเฟิ่งทานอาหารมื้อใหญ่ในบ้านพักท่ามกลางเสียงหัวเราะพูดคุยกัน หลิงหลานเลือกเหตุการณ์น่าสนใจที่เกิดขึ้นในดาวสัตว์อสูรมาเล่าให้หลานลั่วเฟิ่งฟังบางเรื่อง แน่นอนว่าเธอย่อมปิดปากเงียบสนิทเกี่ยวกับเรื่องที่เธอได้รับบาดเจ็บ ในเมื่อมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยแล้ว ทำไมต้องพูดเรื่องที่ทำให้แม่เธอต้องเป็นห่วงด้วยล่ะ

แล้วเธอก็บอกหลานลั่วเฟิ่งเกี่ยวกับพวกลูกน้องที่เธอรับไว้ หลานลั่วเฟิ่งสนใจเรื่องนี้มาก รีบสั่งหลิงหลานทันทีว่าบ่ายวันพรุ่งนี้หลังจากที่ไม่มีคาบเรียนแล้วให้พาพวกลูกน้องเข้ามาให้เธอดู และก็ทานอาหารเย็นสักมื้อ

หน้าผากของหลิงหลานขึ้นขีดดำทันที ดูเนี่ยนะ? แม่ของเธอเห็นพวกลูกน้องของเธอเป็นอะไรกัน? อย่างไรก็ตาม พอหลิงหลานเห็นแววตาผิดหวัง อารมณ์หม่นหมองของหลานลั่วเฟิ่ง หลิงหลานก็ไม่สบายใจเล็กน้อย ได้แต่พยักหน้ารับปากเท่านั้น

เมื่อหลานลั่วเฟิ่งได้รับคำตอบที่เธอต้องการก็กลับมาสดใสโดยพลัน เธอเรียกแม่บ้านหลิงหนานอีเสียงดังด้วยความตื่นเต้นให้เข้ามาจัดเตรียมเมนูอาหารค่ำ หลิงหลานเห็นมารดามีชีวิตชีวาแบบนี้ก็รู้สึกจนใจและก็มีความสุขเช่นกัน ต่อให้มีปัญหายุ่งยากเพราะเรื่องนี้เล็กน้อย แต่เธอก็คิดว่าสามารถอดทนไหว หลิงหลานพลันนึกขึ้นมาว่า พ่อของเธอจะพ่ายแพ้ภายใต้ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า?

คิดๆ แล้วก็มีความเป็นไปได้จริงๆ เพราะเห็นได้ชัดว่าหลานลั่วเฟิ่งใช้สีหน้าท่าทางเมื่อสักครู่นี้ได้เชี่ยวชาญมาก ไม่ได้ใช้เป็นครั้งแรกแน่นอน และคนที่สามารถทำให้หลานลั่วเฟิ่งมีประสบการณ์ได้แบบนี้ นอกจากหลิงเซียวพ่อของเธอแล้ว ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะมีคนอื่นๆ

พอหลิงหนานอีได้ยินว่าคุณชายหลานเชิญเพื่อนร่วมชั้นมาทานอาหารก็ตื่นเต้นตาม เธอรีบเข้าร่วมการพูดคุยปรึกษากันทันที เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหลานเชิญเพื่อนมาเป็นแขกที่บ้าน…ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นเพียงที่พักชั่วคราวในสถาบัน แต่มันก็เป็นบ้านชั่วคราวของพวกเขาไม่ใช่เหรอ?

ในตอนที่เห็นผู้หญิงสองคนปรึกษากันเสียงดังอยู่หน้าโต๊ะทานอาหารด้วยความเคร่งเครียดจนถึงขนาดวิเคราะห์ถกเถียงเรื่องเมนูอาหารซ้ำไปซ้ำมา หลิงหลานก็รู้แล้วว่าเธอเป็นส่วนเกิน ได้แต่จำใจออกจากห้องอาหารไป แล้วก็ล็อกอินเข้าไปในอินเตอร์เน็ตเสมือนจริง นัดหมายพวกฉีหลงที่กำลังออนไลน์อยู่ว่าให้มาทานข้าวที่บ้านเธอ ก่อนจะแอบเข้าไปในมิติมรดกของหลิงเซียวอย่างลับๆ

ในขณะเดียวกัน เสี่ยวซื่อก็สร้างหลิงหลานตัวปลอมออกมาเดินเล่นมั่วๆ ในที่ต่างๆ สร้างภาพหลอกๆ ว่าหลิงหลานไม่ได้เข้าไปใกล้มิติมรดก

…………….

คราวนี้เมื่อหลิงหลานเข้าไปในมิติมรดก มันก็ไม่ได้ซับซ้อน ต้องให้พิจารณาอะไรเหมือนกับแต่ก่อนแล้ว เธอมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิงทันที หลิงหลานมาถึงห้องหนังสือที่คุ้นเคยแล้วก็ผลักประตูห้องออกก่อนจะเห็นหลิงเซียวนั่งอยู่ตรงด้านหลังโต๊ะหนังสือ กำลังเขียนอะไรบางอย่าง เมื่อเขาได้ยินเสียงก็เงยหน้ามองเข้ามา พอเห็นหลิงหลานก็เอ่ยด้วยใบหน้าที่เผยรอยยิ้มอบอุ่นว่า “หลิงหลาน ลูกมาแล้ว?”

เขาเอ่ยต่อทันทีว่า “ดูท่าลูกน่าจะไปถึงเงื่อนไขในการรับมรดกขั้นต่อไปแล้วสินะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ลูกก็แสดงให้พ่อดูหน่อยสิ” เขากล่าวจบก็เอามือปาดโต๊ะเบาๆ จากนั้นก็เห็นลูกปัดคริสตัลโปร่งแสงวาววับปรากฏขึ้นบนโต๊ะหกลูก

หลิงหลานไม่ได้มองลูกปัดคริสตัลบนโต๊ะ หากแต่จ้องเขม็งที่ใบหน้าของหลิงเซียว ครั้งก่อนเธอยังไม่รู้สึกอะไรกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มอบอุ่นสุดขีด ทว่าครั้งนี้เมื่อเธอเห็นอีกครั้ง ในใจของหลิงหลานก็มีความอัดอั้นโจมตีที่หัวใจ เธออยากจะเข้าไปตบใบหน้ายิ้มแย้มนั้นทันที

ช่วงนี้หลิงหลานเข้าใจดีแล้วว่าผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะคืออะไร เธอรู้ดีว่าตัวคนที่เข้าใกล้เทพแบบนี้ย่อมไม่มีทางเสียชีวิตได้ง่ายดายขนาดนั้นแน่นอน ต่อให้การระเบิดพลังงานของเส้นทางแห่งความตายในครั้งนั้นจะน่าหวาดกลัวมากนัก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าหลิงเซียวจะหลบหนีไม่ได้ แค่มองความเร็วอันน่ากลัวของผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะที่เกือบไปถึงความเร็วแสงเพียงอย่างเดียว ถ้าหากต้องการจะหลบหนีก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ท้ายที่สุดเพราะอะไรถึงทำให้หลิงเซียวยินดีเลือกความตายโดยที่ทอดทิ้งหลานลั่วเฟิ่งกับเธอไว้?

“ทำไมถึงตาย?”หลิงหลานถามข้อสงสัยที่อยู่ในความคิดออกมาทีละคำ

หลิงเซียวอึ้งไป คล้ายกับไม่ได้เตรียมพร้อมว่าหลิงหลานจะถามแบบนี้

“ฉันถามคุณว่า ทำไมถึงเลือกไปตาย?” หลิงหลานตะโกนด้วยความโศกเศร้า หลานลั่วเฟิ่งเป็นผู้หญิงดีงามขนาดนี้ ทำไมหลิงเซียวถึงทอดทิ้งให้เธอเสียใจด้วย? รู้ดีว่าถ้าไม่มีเขาแล้ว หลานลั่วเฟิ่งก็จะไม่มีความสุข ต่อให้มีลูกก็สูญเสียสีสันและความมีชีวิตชีวาที่เธอควรมีไป…

หลิงเซียวยิ้มขื่น บรรยากาศยังคงอบอุ่นจนถึงขั้นทำให้คนไม่สามารถตำหนิได้ “พ่อเป็นทหาร พ่อไม่อาจขัดคำสั่งของทางกองทัพได้ นอกจากนี้พ่อไม่เคยคิดไปตายด้วย พ่อหวังว่าพ่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้….”

หลิงเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อว่า “พ่อไม่รู้ว่าตอนที่ลูกเข้ามาในมิติมรดกนี้ พ่อจะตายไปแล้วหรือเปล่า แต่พ่อบอกลูกด้วยความมั่นใจเลยว่า พ่อไม่มีทางเลือกฆ่าตัวตาย ไม่มีทางปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ขอเพียงมีความหวังเอาชีวิตรอด ไม่ว่าจะยากเย็นมากแค่ไหน พ่อก็จะอดทนต่อไป จะทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อคว้ามันมา”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมคุณยังเสียชีวิตล่ะ?” ผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะนะ หรือว่าการระเบิดพลังงานสนามแม่เหล็กนั้นยังมีเรื่องอะไรบางอย่างที่คนไม่อาจรู้ได้เกิดขึ้นมา ดังนั้นหลิงเซียวถึงไม่สามารถขับหุ่นรบระดับเทวะจากไปได้?

“พ่อไม่รู้ พ่อแค่รู้สึกได้ถึงอันตราย! พอแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งก็จะมีความสามารถล่วงรู้วิกฤติล่วงหน้าได้ ดังนั้นพ่อเลยเตรียมตัวทำมิติมรดกไว้ก่อน นี่เป็นแผนการในยามที่เลวร้ายที่สุดของพ่อเท่านั้น มันไม่ได้หมายความว่าพ่อตายไปแล้วจริงๆ…” รอยยิ้มของหลิงเซียวค่อยๆ เลือนหายไป “แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันว่า พ่อตายไปแล้วจริงๆ!” ทั่วทั้งร่างของหลิงเซียวระเบิดออร่าทรงพลังออกมา หลิงหลานถึงค่อยสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของผู้ควบคุมขั้นเทวะว่าน่ากลัวถึงขั้นไหน

โชคดีที่ออร่าทรงพลังของหลิงเซียวปล่อยออกมาแค่วูบเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานั้นทั่วทั้งร่างของหลิงหลานก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ พริบตานั้นเธอถึงขนาดรู้สึกไปเองว่าเธอจะตายภายใต้แรงกดดันนี้

“เดิมทีพวกเราอยากหาปรสิตตัวใหญ่ที่สุดที่แฝงตัวอยู่ในสหพันธรัฐให้เสร็จในครั้งเดียว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่า ปรสิตตัวนั้นจะมีตำแหน่งสูง อยู่ลึกกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้ มีความเป็นไปได้สูงว่าแผนของเราจะถูกอีกฝ่ายมองออก ก็เลยทำการวางแผนซ้อนขึ้นมา เดินหมากพลาดไปตาเดียว พ่ายแพ้ไปก็ไม่ผิด แต่ว่าลูกต้องระวังตัวไว้ มีความเป็นไปได้สูงว่าฝ่ายตรงข้ามจะฆ่าล้างโคตร” หลิงเซียวเปิดเผยข้อมูลบางอย่างในเวลานั้นออกมาเล็กน้อย “พ่อเองก็เตรียมการเอาไว้นิดหน่อยแล้วเหมือนกัน ถ้าหากคนพวกนั้นไม่ได้ผิดคำพูดในตอนนั้น บางทีลูกอาจจะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างปลอดภัย และก็อาจจะได้รับมรดกของพ่อไปด้วย”

หลิงเซียวกล่าวถึงตรงนี้ก็พูดด้วยเสียงเยาะหยันว่า “คนตายตะเกียงมอด[1]ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่าคนพวกนั้นยังยินดีเสี่ยงเพื่อพ่อหรือเปล่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่พ่อสามารถควบคุมได้ ดังนั้นหลิงหลาน ลูกต้องจำไว้ว่า ไม่ว่าใครก็พึ่งพาไม่ได้ มีเพียงตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นถึงจะพึ่งพาได้มากที่สุด นอกจากนี้สติปัญญาก็จำเป็นเช่นกัน ถ้าหากพ่อเกิดตายขึ้นมาจริงๆ สุดท้ายก็เป็นการตายในแผนการของศัตรู”

หลิงหลานไม่นึกเลยว่าหลิงเซียวจะคิดถึงเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว และก็เตรียมการที่เหมาะสมออกมา เพียงแต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องบางอย่างที่นอกเหนือความคาดหมายของหลิงเซียวออกมา ทำให้แผนการทั้งหมดของหลิงเซียวไร้ประโยชน์ไปเลย

คำพูดของหลิงเซียวทำให้ความอัดอั้นตันใจของหลิงหลานค่อยๆ บรรเทาลง ก็เป็นเหมือนกับที่หลิงเซียวว่าไว้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถควบคุมได้

เธอเดินขึ้นไปข้างหน้าก่อนจะสะบัดมือเหนือโต๊ะตัวนั้น ลูกปัดคริสตัลหกเม็ดพลันหายไป หลังจากนั้นก็เห็นลูกปัดสี่เม็ดปรากฎในร่องนิ้วของหลิงหลาน ส่วนฝ่ามือก็กักสองเม็ดที่เหลือไว้

หลิงเซียวพยักหน้าน้อยๆ การเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่นี้บ่งบอกความเร็วของหลิงหลานว่าไปถึงเงื่อนไขขั้นต่ำสุดของเขาตามที่คาดไว้แล้วจริงๆ

หลิงหลานไม่ได้มองสีหน้าของหลิงเซียว เธอรวบนิ้วก่อนจะเริ่มสะบัดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็เห็นนิ้วมือของหลิงหลานปรากฎภาพซ้อนเป็นชั้นๆ ในฝ่ามือเกิดเสียงกระทบกันดังกังวานนับครั้งไม่ถ้วน เสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะอย่างยิ่ง สุดท้ายเสียงกรุ๊งกริ๊งเหล่านี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียงกรุ๊งกริ๊งที่ดังรุนแรงขึ้นติดต่อกันราวกับพายุฝนโหมกระหน่ำก็ไม่ปาน เห็นได้ว่าความเร็วมือของหลิงหลานไปถึงความเร็วที่น่ากลัวในระดับหนึ่งแล้ว

………………………………………………

[1] หมายถึง คนตายไปแล้วก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่