บทที่ 147: ความน่ารักเป็นครั้งคราว

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 147: ความน่ารักเป็นครั้งคราว

ครั้งที่โรเอลยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเมื่ออดีต ความเครียดจากการวิตกกังวลว่าจะสอบตกตอนปลายภาคมักจะทำให้เขาต้องเข้ามาหมกตัวในห้องสมุดเป็นประจำ ซึ่งเขาต้องตกเป็นเหยื่อของ ‘วันห้องสมุด’ อันเลวร้าย

วิธีสังหารชายโสดที่น่ากลัวและโหดเหี้ยมสุด ๆ มีด้วยกันสามประการ การจับมือ การเอนหลัง การทำเสียงกระซิบแบบลับ ๆ สิ่งเหล่านี้เคยทำให้โรเอลผู้เดียวดายต้องพบเจอกับสิ้นหวังอย่างหนัก ถึงขึ้นต้องลงไปนอนกับพื้นด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ใครเล่าจะไปรู้ว่าวันหนึ่งเขาจะได้กลายมาเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น?

แม้โรเอลจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันอ่อนโยนของมือนุ่ม ๆ แต่เด็กชายอดไม่ได้ที่จะเสียใจเกี่ยวกับการทำงานอันยากเย็นแสนเข็ญ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่พลาดข้อมูลใด ๆ ที่อาจนำไปสู่ภาพนิมิต ทั้งสองคนจึงได้จับมือกันขณะที่อ่านหนังสือทั้งหมดนี้

น่าเสียดายที่ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าไหร่นัก

หลังจากพยายามสัมผัสร่างกายกันหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ โรเอลและชาร์ล็อตจึงเบนความสนใจไปที่อื่น และตัดสินใจตรวจสอบจดหมายและข้อความภายในอีกครั้งแทน

เนื้อหาของจดหมายนั้นค่อนข้างน้อย ไม่ว่าพวกเขาจะมองอย่างไร ก็มีเบาะแสเพียงสองอย่างเท่านั้นที่พอจะใช้ได้ในการสืบสวนของพวกเขา

เบาะแสแรกที่สำคัญที่สุดคือสถานที่ที่กล่าวถึงในจดหมาย ท่าเรือทูฮอร์น

โดยส่วนตัวแล้วโรเอลไม่ได้คุ้นเคยกับสถานที่นี้มากนัก อันที่จริงสิ่งเดียวที่เขารู้เกี่ยวกับมันก็คือมันไม่ได้อยู่ภายในเขตการปกครองแอสคาร์ด ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้พยายามค้นหาบันทึกเกี่ยวกับ ‘ท่าเรือทูฮอร์น’ แต่มันไม่มีแผนที่ใด ๆ ในคฤหาสน์แอสคาร์ดที่พูดถึงสถานที่ดังกล่าวเลย

ตอนแรกเขาคิดว่าแผนที่นั้นยังไม่สมบูรณ์

เด็กชายไม่ได้อยู่ในโลกที่แผนที่ถูกต้องและแม่นยำเหมือนในโลกเดิม ในโลกนี้แผนที่ถือเป็นของหายากที่มีเพียงหน่วยสืบราชการลับที่จะครอบครองเอาไว้ใช้ในการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในสงคราม ทำให้พวกมันมีมูลค่าสูงมาก ยิ่งไปกว่านั้นในโลกนี้ไม่ได้มีเทคโนโลยีขั้นสูงใด ๆ ที่จะสามารถถ่ายภาพดาวเทียมของภูมิประเทศ หรือเครื่องมือใดที่จะช่วยดึงแผนที่ออกมาได้เลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างล้วนต้องทำด้วยมือของตนเอง

การวาดแผนที่นั้นถือเป็นอาชีพที่ต้องใช้ทักษะสูง พวกเขาต้องมุ่งหน้าสำรวจไปยังภูมิภาคในแผนที่ด้วยตนเองเพื่อสำรวจพื้นที่เหล่านั้น ทำการวัดและประมาณการ ก่อนที่จะลงรายละเอียดข้อมูลลงในกระดาษ

นอกจากงานนี้จะเหนื่อยและยากแล้ว มันยังอันตรายมากอีกด้วย การสำรวจพื้นที่ทุรกันดารก็ยากพอตัวอยู่แล้ว อีกทั้งในโลกนี้คงไม่มีขุนนางประจำเขตการปกครองไหนที่จะเต็มใจให้อาณาเขตของตนเองถูกเปิดเผยต่อผู้อื่น หากใครถูกจับได้ว่าแอบสร้างแผนที่เขตการปกครอง บุคคลนั้นจะถูกจับประหารทิ้งอย่างแน่นอน

แนวคิดของพวกเขาก็คือ หากมีคนพยายามวาดแผนที่เขตแดนของพวกเขา นั่นแสดงให้เห็นว่ามีคนอยากได้เขตแดนดังกล่าว

แม้แต่นักทำแผนที่ผู้ได้รับอนุญาตจากราชวงศ์ก็ยังประสบปัญหาในการพยายามทำงานในเขตการปกครองต่าง ๆ เพราะผู้ปกครองเขตการปกครองนั้น มักจะใช้อุบายทุกประเภทเพื่อทำลายงานของพวกเขา

แม้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น แต่อันตรายของสัตว์ป่าที่มีอยู่ทั่วไปก็ยังเป็นปัญหา ในภูมิประเทศภูเขาของทวีปเซีย ไม่ได้มีเพียงแค่สัตว์ป่าเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์กลายพันธุ์อยู่ในส่วนลึกของป่าและภูเขาด้วย พวกมันอันตรายระดับที่ว่า สามารถทำให้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงลำบากใจได้ หากนักทำแผนที่ต้องพบกับตัวแปรแสนอันตรายเหล่านั้น คงมีเพียงแค่หายนะที่รอคอยพวกเขาอยู่

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักทำแผนที่ก็คือการทำแผนที่แผ่นหนึ่งให้สำเร็จในช่วงชีวิตของพวกเขา

ไม่ว่าจะในกรณีใด เหตุผลทั้งหมดเหล่านี้ทำให้แผนที่ของทวีปเซียหาได้ยากมาก และนี่เป็นเพียงก้าวแรกของปัญหาเท่านั้น มีความท้าทายรออยู่อีกมากหลังจากได้แผนที่มา นั่นก็คือการยืนยันความถูกต้องของแผนที่

สิ่งหนึ่งที่โรเอลได้เรียนรู้หลังจากอ่านบันทึกเก่าแก่มามากมาย นักทำแผนที่ไม่ใช่คนที่ซื่อตรงเท่าไหร่ มีนักทำแผนที่มากมายที่เขียนแผนที่ขึ้นตามจินตนาการของพวกเขาเพื่อชื่อเสียง มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับคนอื่นที่จะหักล้างว่าแผนที่ของพวกเขานั้นไม่มีอยู่จริง

ทั้งหมดนี้นำไปสู่ปรากฏการณ์อันน่าสนใจในทวีปเซีย

ขุนนางผู้ปกครองเขตปกครองหลายคนได้ทุ่มทรัพยากรมหาศาลเพื่อทำแผนที่อาณาเขตดินแดนของตน แต่ทว่าพวกเขากลับพบว่าแผนที่ต่าง ๆ กลับมีรูปร่างและขนาดที่ต่างกันออกไป

พวกเขาจึงเริ่มต้นภารกิจอันน่าสนใจ ‘เดาว่าแผนที่ไหนคือของจริง’

สถานการณ์ที่ไร้สาระแบบนี้เกิดขึ้นในทุก ๆ ครั้งที่มีการก่อตั้งเขตการปกครองใหม่ โชคดีที่เขตการปกครองแอสคาร์ดมีประวัติความเป็นมายาวนานนับพันปี ดังนั้นพวกเขาจึงยังมีแผนที่ที่ถูกต้องแม่นยำในอาณาเขตของตนเอง แต่แผนที่ที่พวกเขามีสำหรับภูมิภาคอื่นนั้นต่างกันออกไป

ไม่ว่าจะเป็น ‘แผนที่ครบรอบร้อยปีแห่งการก่อตั้งจักรวรรดิเซนต์เมซิท’ หรือ ‘แผนที่ยุทธศาสตร์สงครามกับพวกกลายพันธุ์ครั้งที่สาม’ ล้วนไม่มีสถานที่ใดที่เรียกว่าท่าเรือทูฮอร์น

ทว่าชาร์ล็อต ก็ให้คำตอบสำหรับคำถามนี้

“อ่า ท่าเรือทูฮอร์นหมายถึงอ่าวต้องสาปไง เจ้าไม่รู้หรอกเหรอ?”

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า! ชื่อของพวกมันฟังดูไม่คล้ายกันเลยด้วยซ้ำ!”

เมื่อตระหนักได้ว่าการค้นคว้าของตนเปล่าประโยชน์มาโดยตลอด โรเอลก็จ้องไปที่เด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงตรงหน้าอย่างพูดไม่ออก หลังจากถามลึกลงไปอีกเล็กน้อย เขาได้รู้ว่าท่าเรือทูฮอร์นเป็นเพียงชื่อที่ชาวบ้านใช้ในการกล่าวถึงอ่าวต้องสาป

ชื่อ อ่าวต้องสาป นั้นมีชื่อเสียงมากกว่าท่าเรือทูฮอร์นมาก อย่างน้อย ๆ ก็มีคนจำนวนไม่น้อยในเขตการปกครองแอสคาร์ดที่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมัน เหตุผลค่อนข้างง่าย นั่นก็เพราะมันอยู่ใกล้มาก มันเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้รับการพัฒนาทางตะวันออกของเทือกเขาโวรุน ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงไม่ได้รับการพัฒนาไม่ใช่เพราะตระกูลแอสคาร์ดหรือสมาคมพ่อค้าโรซ่าขี้เกียจแต่อย่างใด มันเป็นเพราะอ่าวต้องสาปนั้นถูกสาปจริง ๆ ตามชื่อของมัน

ธารน้ำแข็งชั่วนิรันดร์

ไม่มีใครสามารถหาคำอธิบายเกี่ยวกับมันได้ เพียงแค่ว่าบริเวณรอบ ๆ อ่าวต้องสาปนั้นหนาวมาก มันคล้ายกับพื้นที่แอนตาร์กติกาในโลกเดิมของโรเอล น่าแปลกที่ตำแหน่งของมันควรจะเป็นท่าเรือที่ดีได้ น่าเสียดายที่ท่าเรือแห่งนี้ถูกแช่แข็งอยู่ตลอดเวลา

สภาพอากาศของอ่าวต้องสาปนั้นผิดธรรมชาติต่างจากสภาพอากาศอันอบอุ่นของภูมิภาคใกล้เคียง สิ่งนี้กระตุ้นความสนใจของนักผจญภัยมากมาย หลายคนพยายามที่จะพิชิตสมรภูมิแห่งน้ำแข็งนี้ แต่ก็หายตัวไปอย่างปริศนาโดยที่ไม่มีผู้ใดได้เห็นอีกเลย ผู้ที่สามารถกลับมาเล่าต่อได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น และสมญานาม ‘อ่าวต้องสาป’ ก็มาจากปากของผู้รอดชีวิตเหล่านี้

นักผจญภัยส่วนมากไม่ใช่คนโง่เขลา เนื่องจากเดิมทีอ่าวต้องสาปไม่ใช่ส่วนที่เคยมีอารยธรรมโบราณอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะเก็บซ่อนสมบัติหรือสิ่งใดที่สำคัญเอาไว้ เมื่อจำนวนของผู้เสียชีวิตมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนก็หมดความสนใจในภูมิภาคนี้ในที่สุด

นี่คือสิ่งที่โรเอลรู้เกี่ยวกับพื้นที่อันห่างไกลดังกล่าวโดยพื้นฐาน

สำหรับชาร์ล็อต สถานที่นั้นเป็นที่รู้จักว่าเป็นหนึ่งในโครงการที่ยากที่สุดของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา

“เมืองโรซ่าก่อตั้งขึ้นด้วยอำนาจทางการค้า และท่าเรือก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพาณิชย์ ท่าเรือทูฮอร์นเป็นท่าเรือที่มีตำแหน่งดีตามธรรมชาติ ทำให้บรรพบุรุษในตระกูลโซโรฟยาเคยคิดที่จะพัฒนาท่าเรือนี้ให้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าของทวีปเซีย ทว่าพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาอุณหภูมิที่ต่ำมากของมันในฤดูหนาวได้ ว่ากันว่าแม้แต่ม้าก็ยังพบว่าอยู่ไม่รอดในสภาพอากาศแบบนั้น…”

ชาร์ล็อตอธิบายอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับความสนใจและความไม่พอใจของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาเกี่ยวกับอ่าวต้องสาป เมื่อรวบรวมสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับสถานที่นั้นเข้าด้วยกัน ทั้งสองก็เริ่มวิเคราะห์จดหมายอีกครั้ง ซึ่งในไม่ช้าพวกเขาก็เจอเบาะแส

ตามข้อมูลที่ส่งมาในจดหมาย รวมถึงสิ่งที่พวกเขาเห็นในระหว่างนิมิต “จักรพรรดินี” กำลังนำกองเรือทองคำไปยังท่าเรือทูฮอร์น และคาดว่าเธอจะมาถึงประมาณเดือนเมษายน หากกองเรือทองคำสามารถจอดเทียบท่าที่นั่นได้ก็หมายความว่ามันยังคงเป็นท่าเรือที่ใช้งานได้ในสมัยนั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันของท่าเรือ

หากพิจารณาว่าผู้รับคือคนของตระกูลแอสคาร์ด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือมากนัก โรเอลและชาร์ล็อตจึงคาดเดาความเป็นไปได้ขึ้นมาสามประการ

1: ผู้รับหรือ ‘ผู้ปกครองเขตการปกครอง’ มุ่งหน้าไปรับ ‘องค์จักรพรรดินี’ ที่ท่าเรือทูฮอร์น และทั้งสองก็ได้พบกันในที่สุด

2: ผู้รับ ‘ผู้ปกครองเขตการปกครอง’ รออยู่ใน เขตการปกครองแอสคาร์ด จนถึงประมาณเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมสำหรับการมาถึงของ ‘องค์จักรพรรดินี’

3: เนื่องจากสถานการณ์บางอย่าง ‘องค์จักรพรรดินี’ ไม่สามารถมาถึงท่าเรือทูฮอร์นได้ ดังนั้นทั้งสองจึงยกเลิกการนัดหมายและขาดการติดต่อซึ่งกันและกัน

ความเป็นไปได้สำหรับประการที่สามแทบไม่มีประโยชน์ในการสืบสวนของพวกเขา ดังนั้นโรเอลและชาร์ล็อตจึงตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นไปยังสองข้อแรก ทางทฤษฎีแล้วน่าจะยังมีร่องรอยการนัดพบของพวกเขาอยู่ที่ไหนสักแห่ง

ไม่ว่าจะเป็นผู้นำของตระกูลแอสคาร์ดออกไปรับ หรือจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรโซเฟียได้มาเยี่ยมชมที่เขตการปกครองแอสคาร์ด ทั้งสองล้วนถือเป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ที่น่าจะได้รับการบันทึกไว้ หากเป็นเช่นนั้นสิ่งต่อไปที่พวกเขาต้องทำก็ชัดเจน

พวกเขาควรตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องราวตอนที่ท่าเรือทูฮอร์นส่งสัญญาณของความผิดปกติทางสภาพอากาศเป็นครั้งแรก และใช้มันเป็นขีดจำกัดสูงสุด พวกเขาต้องตรวจสอบบันทึกทุกเล่มของผู้นำตระกูลแอสคาร์ดในอดีต เพื่อหาตัวตนของ ‘ผู้ปกครองเขตการปกครอง’ แล้วค้นหาเบาะแสอื่นผ่านเรื่องราวรอบตัวเขา

อาณาจักรโซเฟียได้หายสาบสูญไปเมื่อหลายร้อยปีก่อนและกองเรือทองคำเองก็อาจหายไปในรอยแยกกลางทะเล หากพวกเขาต้องการทำให้เกิดนิมิตอีกครั้ง ทั้งคู่จะต้องหาเบาะแสจากฝั่งของตระกูลแอสคาร์ด

นี่คือสิ่งที่โรเอลและชาร์ล็อตดำเนินการมาตลอดช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ทว่าพวกเขาก็ต้องพบกับความผิดหวัง ที่ไม่สามารถแม้แต่จะหาวันที่สภาพอากาศในท่าเรือทูฮอร์นเริ่มแสดงสัญญาณของความผิดปกติได้ด้วยซ้ำ

พวกเขายังคงอ่านบันทึกต่อไปอีกหนึ่งชั่วโมง และความเครียดที่ต้องอ่านหนังสืออย่างต่อเนื่องก็เริ่มทำให้โรเอลขมวดคิ้ว เขาชำเลืองมองไปที่เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา และพบว่าชาร์ล็อตนั้นยังคงจดจ่ออยู่กับเอกสารอย่างตั้งใจ

ว้าว… ในโลกของเรา ยัยนี่น่าจะได้เกียรตินิยมแหง ๆ

โรเอลมองชาร์ล็อตด้วยความอิจฉาครู่หนึ่งก่อนจะยืดตัวเพื่อคลายความตึงเครียด จากนั้นก็เริ่มไตร่ตรองว่าเขาควรหาวิธีทำให้ชาร์ล็อตวางงานของเธอลง เพื่อไปกินข้าวเช้าได้อย่างไร

ตามปกติเมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร คนรับใช้จะเคาะประตูเพื่อส่งสัญญาณแจ้งให้ทราบ แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการถูกขัดจังหวะระหว่างงาน ทั้งคู่จึงสั่งยุติการบริการนั้นไป

แต่สิ่งที่โรเอลไม่คาดคิดก็คือการพยายามลากชาร์ล็อตออกจากงานของเธอนั้นแทบจะเหมือนกับการคุยกับก้อนหิน

“เฮ้ หยุดอ่านได้แล้ว มันถึงเวลาอาหารเช้าแล้ว”

“อืม”

“อย่าขยับแต่ปากของเธอสิ ขยับร่างกายด้วย!”

“อืม”

“…”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สิ่งนี้เกิดขึ้น และโรเอลก็มักจะหงุดหงิดเพราะปฏิกิริยาของเธอ

โชคดีที่โรเอลเป็นคนยืดหยุ่น ถ้าวิธี A ไม่ได้ผล เขาจะลองใช้วิธี B ถ้าวิธี B ไม่ได้ผล เขาจะลองใช้วิธี C ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบเคล็ดลับที่มีประสิทธิภาพที่สามารถจัดการกับนิสัยแย่ ๆ ของเธอได้

ดังนั้นเขาจึงหันไปหาเด็กสาวที่ตัวเองจับมืออยู่และกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น

“เมื่อวานฉันบอกพ่อครัวให้โรยเกลือบนไข่ดาวของวันนี้”

“อืม… หา?”

ชาร์ล็อตที่หมกมุ่นอยู่กับหนังสือมากจนเกินไป เธอจึงให้คำตอบตามปกติออกมาโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่ตั้งสติได้ม่านตาของเด็กสาวก็เริ่มขยายออก เธอหันไปมองโรเอลด้วยความตกตะลึงที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสีมรกตของเธอ

“เจ้าพูดถึงเกลือไม่ใช่น้ำตาลใช่ไหม? แล้วข้าจะกินมันลงได้อย่างไร”

“อืม ฉันคิดว่าเราน่าจะมีเวลาประมาณห้านาทีก่อนที่พ่อครัวจะเริ่มโรยเกลือลงบนไข่ ฉันคิดว่าสำหรับไข่แล้ว เกลือเหมาะกว่ามาก เธอไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”

“ไม่มีทาง”

สาวน้อยตรงหน้าปฏิเสธความคิดเห็นของโรเอล ก่อนจะปล่อยมือและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว สองแก้มนวลที่พองโตจากความขุ่นเคืองของชาร์ล็อต โรเอลที่มองอยู่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ข่มขู่ข้าด้วยเครื่องปรุง เจ้าเป็นเด็กรึยังไง?!”

“คนที่กินแต่อาหารหวาน ๆ ไม่มีสิทธิ์พูดหรอก นั่นเป็นรสนิยมของเด็กนะชาร์ล็อต”

“เจ้า… ฮึ่ม! ข้าจะไม่เสียเวลามาเถียงกับคนอย่างเจ้าหรอกนะ!”

เมื่อจุดอ่อนของเธอถูกเปิดเผยออกมา แก้มของชาร์ล็อตก็แดงก่ำ เด็กสาวรีบเดินออกไปทางประตูด้วยใบหน้าอันบูดบึ้ง หลังจากนั้นโรเอลก็ลุกขึ้นเดินออกไปตามเธอ

ดูเหมือน บางครั้งยัยนี่ก็มีมุมที่น่ารักเหมือนกันแฮะ เด็กชายคิดในใจ