ตอนที่ 131 เชื่อใจ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

“อย่าพูดเหลวไหล” โจวเสาจิ่นกระซิบเตือน “อยู่ภายในบริเวณเรือนของผู้อื่น เรื่องภายในเรือนของผู้อื่นเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราหรือ”

 

 

ซือเซียงเงียบเสียงลง

 

 

ความจริงแล้วโจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกเช่นกัน แต่นางคิดอยู่เสมอว่าเหตุผลที่บรรดาบ่าวชายทั้งผู้ใหญ่และเด็กเข้าออกเรือนได้บ่อยๆ ในขณะที่บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ต่างๆ กลับไม่กล้าเดินไปมาตามปรารถนา นั่นก็อาจเป็นเพราะเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยยังไม่มีนายหญิง

 

 

ไม่นานนัก ไหวซานก็กลับเข้ามา เขาแจ้งว่า “นายท่านสี่เชิญคุณหนูรองไปคุยที่เรือนลี่เสวี่ยขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นขานรับ “อืม” ลุกขึ้นมาจัดสาบเสื้อให้เรียบร้อย แล้วเดินตามไหวซานออกไปที่ลานเปิดโล่ง

 

 

เรือนลี่เสวี่ยตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของลานเปิดโล่ง ปลูกต้นหวงหยาง[1]เอาไว้รอบบริเวณ ลำต้นขดงอ กิ่งก้านใบเขียวชอุ่ม รูปทรงของแต่ละต้นแตกต่างกัน ทุกต้นล้วนเป็นต้นไม้อายุเก่าแก่ทั้งสิ้น

 

 

โจวเสาจิ่นเหลือบมองไป ด้านหลังของห้องข้างขนาดกว้างสามห้องกั้นมีหลังคาหางแฉกสีเทาปรากฏขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่าเรือนลี่เสวี่ยนี้มีขนาดไม่เล็กเลย

 

 

ไหวซานหยุดอยู่ด้านหน้าผ้าม่านของห้องข้าง รายงานออกมาอย่างนอบน้อม เฉิงฉือตอบกลับมาว่า “เข้ามา” ไหวซานจึงเลิกผ้าม่านขึ้นและเชิญโจวเสาจิ่นเข้าไปในห้อง

 

 

เรือนลี่เสวี่ยเหมือนกับเรือนซิ่วฉี่ ประตูและหน้าต่างล้วนติดกระจกใส ฉะนั้นแสงภายในเรือนจึงสว่างไสวกว่าห้องข้าง

 

 

โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปก็พบว่าเฉิงฉือเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว

 

 

เปลี่ยนจากชุดจื๋อตัวผ้าไหมหูโจวสีน้ำเงินไพลินไร้ลวดลายที่สวมใส่อยู่ก่อนหน้าเป็นชุดนักพรตเต้าเผาผ้าไหมซงเจียงสีเขียวคราม ถอดปิ่นปักผมหยกออก และรวบผมสีดำขลับขึ้นเป็นมวยหลวมๆ สวมรองเท้าผ้าเนื้อหยาบสีครามคู่หนึ่ง มองดูแล้วทั้งเรียบง่ายและสบายๆ ยิ่งนัก

 

 

เขาไม่ต้องออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ

 

 

เช่นนั้นเวทีแสดงงิ้วทางด้านโน้นจะทำอย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดพลางยอบกายทำความเคารพเฉิงฉือ

 

 

เฉิงฉือยิ้มพลางถามว่า “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอะไรหรือ”

 

 

เขานั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะเขียนหนังสือขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง สองข้างของโต๊ะเขียนหนังสือวางบัญชีหลายเล่มซ้อนทับกันเป็นกองพะเนิน เบื้องหน้าของเขามีสมุดบัญชีเล่มหนึ่งเปิดกางเอาไว้ บนแท่นวางพู่กันด้านซ้ายมือวางพู่กันที่ยังชุ่มหมึกอยู่ ทว่าชุดจื๋อตัวสีเขียวครามของเขากลับขับเน้นให้ผิวพรรณของเขาขาวเนียนละเอียดดั่งเครื่องลายคราม สว่างสุกใสเฉกเช่นหยกน้ำดี งามสง่าและดูเป็นธรรมชาติ ไหนเลยจะมีท่าทางทุกข์ร้อนใจหรือเป็นกังวลแม้แต่น้อย!

 

 

โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกว่าตนทำเรื่องไม่ค่อยเหมาะสมลงไปเสียแล้ว

 

 

ท่านน้าฉือเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ดูแลรับผิดชอบซอยจิ่วหรูที่มีที่ดินและทรัพย์สินใหญ่โตขนาดนี้ มีเรื่องใดบ้างที่ไม่เคยเห็น มีเรื่องใดบ้างที่ไม่เคยประสบพบเจอ หากจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เกรงว่าสะพาน[2]ที่เขาข้ามย่อมมากกว่าที่นางเคยข้ามมาทั้งชีวิต ต่อให้จี๋อิ๋งทำลายแผนการของเขาจนเสียหาย แต่ด้วยความสามารถของเขา ย่อมต้องมีหนทางแก้ไขที่ดีได้แน่ ทว่ากลับเป็นตนเอง ที่ฟังเสียงลมเป็นเสียงฝน พอได้ยินจี๋อิ๋งบอกว่าด้วยเหตุนี้ท่านน้าฉือจึงมีเรื่องให้ต้องยุ่งยาก แล้วคิดเป็นตุเป็นตะว่าตนควรจะมากล่าวขอโทษท่านน้าฉือสักครั้งหรือไม่…เพราะไม่ว่าอย่างไร ตนก็อยู่กับจี๋อิ๋งในตอนนั้นด้วย

 

 

แต่มองดูตอนนี้แล้ว ท่านน้าฉือดูไม่เหมือนว่าจะมีท่าทางตามที่จี๋อิ๋งบอกเช่นนั้นเลย…

 

 

สีหน้าของโจวเสาจิ่นเปลี่ยนไปมาประหนึ่งรุ้งหลากสี

 

 

เฉิงฉือยิ้มพลางถามว่า “เจ้ามาขอความเมตตาให้จี๋อิ๋งกระมัง”

 

 

“ไม่ใช่เจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นรีบตอบ “ตอนนี้แม่นางจี๋อิ๋งสบายดีเป็นอย่างมาก การที่ท่านจัดการเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลของท่าน ข้าไม่ได้มาขอความเมตตาให้แม่นางจี๋อิ๋งเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือได้ยินแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น เผยให้เห็นสีหน้าหยอกเย้าเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “ไม่ได้มาขอความเมตตาให้จี๋อิ๋งจริงๆ อย่างนั้นหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงงันไปชั่วขณะ

 

 

ท่านน้าฉือผู้สุขุมเยือกเย็น…แสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาได้ด้วยหรือ!

 

 

นางสะบัดศีรษะ แล้วโยนความคิดนี้ทิ้งไป กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าได้ยินจี๋อิ๋งกล่าวว่า พรุ่งนี้ท่านต้องไปรับประทานอาหารที่จวนตระกูลกัว ข้าคิดว่าเป็นเพราะพวกข้าสร้างความลำบากให้แก่ท่าน จึงอยากจะมาขอโทษท่านเจ้าค่ะ…”

 

 

เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา กล่าวว่า “พอเห็นท่าทางเช่นนี้ของข้า ก็เลยเปลี่ยนใจไม่ขอโทษข้าแล้วอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ไม่ใช่เจ้าค่ะๆ” ใบหน้าของโจวเสาจิ่นแดงเรื่อยิ่งขึ้น กล่าวว่า “ยังคงต้องขอโทษเจ้าค่ะ…” แต่จะขอโทษอย่างไรนั้น กลับไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรดี

 

 

เฉิงฉือหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา พลางกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง ขอเพียงเจ้ากับจี๋อิ๋งไม่นินทาว่าร้ายลับหลังข้าก็พอ”

 

 

โจวเสาจิ่นแทบอยากจะเอาศีรษะมุดหนีลงไปในทราย

 

 

น้ำเสียงของเฉิงฉือพลันอ่อนโยนขึ้นมาประดุจสายลมในวสันตฤดูที่พัดโชยบนใบหน้าก็ไม่ปาน เอ่ยขึ้นว่า “การแสดงงิ้วใกล้จะจบลงแล้ว รีบกลับไปเถอะ! ระวังพี่สาวของเจ้าจะหาเจ้าไม่เจอ”

 

 

โจวเสาจิ่นถึงนึกขึ้นได้ว่าที่เวทีแสดงงิ้วทางด้านโน้นยังทำการแสดงกันอยู่ ร้อง “ไอ้โหยว” ออกมาแล้วลุกพรวดขึ้นมา พลางกล่าวกับเฉิงฉืออย่างลุกลี้ลุกลนว่า “ขออภัยเจ้าค่ะ” แล้วรีบเร่งวิ่งไปอย่างไม่มีทางเลือก

 

 

เฉิงฉือมองดูเงาร่างที่เดินซวนเซออกไปจนลับสายตา อดยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาพลางส่ายศีรษะเบาๆ ในห้วงความคิดพลันปรากฏภาพขณะที่นางนั่งอยู่ในห้องน้ำชา ใบหน้าแต้มไปด้วยความฉงนสงสัยพลางเอียงศีรษะ เอ่ยถามจี๋อิ๋งด้วยเสียงอ่อนหวานปนสนเท่ห์ว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจียวจื่อหยางผู้นั้นจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง

 

 

เด็กน้อยยังมีประสบการณ์ไม่มากนัก เพียงตนยื่นมือไปช่วยเหลือสองครั้ง นางไม่รู้จักเขาแม้แต่น้อยว่าเขาเป็นคนเช่นไร กลับเริ่มเชื่อใจเขาอย่างคนตาบอดเสียแล้ว!

 

 

เชื่อใจ!

 

 

แม้แต่ฉินจื่อผิงที่ติดตามเขามานานหลายปีก็ยังคิดเลยว่าเขาทำลายสัมพันธ์ของจี๋อิ๋งกับเจียวจื่อหยาง…ยังมีหนานผิงอีกคน ถึงแม้จะไม่เอ่ยถ้อยคำใด แต่ในใจกลับคิดว่าเขาทำไม่ถูกต้อง…

 

 

การที่คนคนหนึ่งจะเชื่อใจคนอีกคนหนึ่งอย่างสุดใจนั้น…นับเป็นเรื่องง่ายหรือเป็นเรื่องยากกันนะ

 

 

เฉิงฉือมองต้นหวงหยางที่ถูกตัดแต่งเป็นรูปทรงนกกระสาหัวแดงที่อยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าเคร่งครัดดุดัน

 

 

***

 

 

ตอนที่โจวเสาจิ่นเร่งกลับมาจนถึงเรือนหานปี้ซานนั้น การแสดงงิ้วก็จบลงพอดี

 

 

นางกับซือเซียงต่างผ่อนลมหายใจออกยาวๆ

 

 

เฉิงเจียดึงแขนนางพลางกระซิบเจื้อยแจ้วกับนางว่า “เกาฮุ่ยจูร้องได้ไพเราะจริงๆ ท่วงท่าก็งดงามมากเช่นเดียวกัน เดิมทีข้าคิดว่าเขาจะร้องได้แค่บทนักรบเท่านั้น ไม่คิดว่าบทตัวเอกหนุ่มก็ยังร้องได้เสนาะเพราะพริ้งยิ่งนัก ข้าว่าอย่างมากที่สุดก็อีกสองปี คณะฉางเกาจะต้องกลายเป็นคณะงิ้วอันดับหนึ่งของเมืองจินหลิงแทนคณะหม่าเจียได้อย่างแน่นอน…”

 

 

โจวเสาจิ่นฟังอย่างเลื่อนลอยพลางถามกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ว่า “ได้ยินว่าพรุ่งนี้ท่านน้าฉือต้องไปเป็นแขกที่เรือนตระกูลกัว เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

 

 

“จริงสิ!” กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ยิ้มพลางตอบ “กล่าวกันว่านายท่านผู้เฒ่ากัวไม่ได้พบท่านอาสี่ฉือมานานแล้ว จึงเชิญท่านอาสี่ฉือไปนั่งคุยกันที่บ้าน”

 

 

เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ตนจะต้องไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานอยู่หรือไม่นะ

 

 

โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าประเดี๋ยวจะขอให้ปี้อวี้ช่วยไปสอบถามดูสักหน่อย

 

 

ทว่าพอเดินต่อไปกลับได้พบกับอวี้หรูผู้เป็นสาวใช้ในเรือนของเฉิงสวี่

 

 

“คุณหนูรอง คุณหนูเจีย” นางคำนับโจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียอย่างนอบน้อม

 

 

โจวเสาจิ่นเบิกตากว้าง

 

 

ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ได้

 

 

อวี้หรูยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เชิญแขกเหรื่อมาหลายปีแล้ว วันนี้อยู่ๆ ก็มีแขกมามากมายขนาดนี้ ฮูหยินจึงให้พวกเรามาช่วยจวนหลักด้วยอีกแรงเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ

 

 

หยวนซื่อปฏิบัติต่อเฉิงสวี่ดังแก้วตาดวงใจ ต่อให้ต้องโยกย้ายสาวใช้และป้ารับใช้ในเรือนของตัวเองมาช่วยก็ไม่มีทางส่งสาวใช้ในเรือนของเฉิงสวี่มาอย่างแน่นอน

 

 

นางระแวดระวังอยู่ในใจ

 

 

และพยายามเกาะติดเฉิงเจียประหนึ่งเป็นเงาร่างของนาง

 

 

อวี้หรูหันมามองหลายครั้งหลายครา แต่โจวเสาจิ่นก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

 

 

นางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางจะไม่อยู่คนเดียว ไม่ว่าเฉิงสวี่จะวางแผนอะไรก็ไร้ประโยชน์

 

 

แต่สุดท้ายนางก็ยังคงรู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อย รับประทานอาหารในงานเลี้ยงไปอย่างลวกๆ และเนื่องจากฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต้องช่วยฮูหยินหยวนส่งแขก โจวชูจิ่นจึงตัดสินใจรั้งอยู่ก่อนเพื่อรอกลับจวนพร้อมกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน

 

 

หากเป็นยามปกติ โจวเสาจิ่นคงจะกลับไปคนเดียวแล้ว ทว่าวันนี้พอเห็นอวี้หรูที่โผล่มาอย่างกะทันหันในช่วงบ่าย นางจึงตัดสินใจกลับจวนพร้อมกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและพี่สาว

 

 

เพียงแต่เรื่องส่งแขกนั้น นางช่วยเหลืออะไรไม่ด้มากนัก

 

 

หลังจากที่โจวเสาจิ่นเดินไปส่งกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้แล้ว ก็มานั่งรออยู่ในห้องข้าง

 

 

เมื่อเห็นผู้คนในห้องข้างต่างพากันล่ำลากลับไปกันแล้ว โจวเสาจิ่นก็รู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

นางเอ่ยถามสาวใช้เด็กที่เก็บกวาดข้าวของว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ที่ใดหรือ”

 

 

สาวใช้เด็กผู้นั้นรู้จักนาง จึงตอบยิ้มๆ ว่า “อยู่บนห้องโถงหลักเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นถามว่า “ในห้องโถงหลักมีใครอยู่บ้าง”

 

 

สาวใช้เด็กตอบว่า “ยังมีคนของตระกูลกัวอยู่เจ้าค่ะ”

 

 

เช่นนั้นไปหลบอยู่ที่นั่นสักหน่อยน่าจะดีกว่า!

 

 

ยามที่อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวแม้แต่เฉิงสวี่ยังไม่กล้ามาวุ่นวายด้วย แล้วนับประสาอะไรกับอวี้หรูเพียงผู้เดียวเล่า

 

 

โจวเสาจิ่นจึงมุ่งหน้าไปยังห้องโถงหลัก

 

 

เนื่องจากโคมไฟยามเย็นได้ถูกจุดขึ้นแล้ว จึงมีคนยืนสนทนากันอยู่ข้างๆ ต้นไม้ใหญ่ริมบันไดของห้องโถงหลัก

 

 

เงาร่างนั้นถูกปกคลุมอยู่ในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ทำให้มองเห็นแค่รางๆ ว่าคนที่ยืนคุยกันอยู่นั้นเป็นฮูหยินสองคนเท่านั้น

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ได้สนใจอะไรนัก ทว่าพอเดินเข้าไปใกล้ๆ ถึงได้ยินคนกล่าวขึ้นว่า “…แต่ก่อนยามได้ยินผู้คนกล่าวกันว่า ‘องค์ฮ่องเต้ทรงรักโอรสองค์โต แต่สามัญชนรักบุตรชายคนสุดท้อง’ นั้นข้าไม่รู้สึกอะไร ทว่าพอถึงคราวของตนถึงได้รู้ว่าคำกล่าวนี้มีเหตุผล หลายปีก่อนข้าน่าจะบังคับคุณชายสี่ให้แต่งงานไปเสีย ตอนนี้เขาโตแล้ว จึงยิ่งไม่เชื่อฟังข้าอีกแล้ว” กล่าวพลางถอนหายใจยาว

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก

 

 

นางคิดไม่ถึงว่าคนที่ยืนสนทนาอยู่ใต้ต้นไม้จะเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด

 

 

ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อีกฝ่ายก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า “การแต่งงานเป็นเรื่องของสวรรค์ลิขิต บางทีเนื้อคู่ของคุณชายสี่แค่ยังไม่ปรากฏตัวเท่านั้น รอให้เขาไปหาข้าในวันพรุ่งนี้เสียก่อน ข้าจะไหว้วานพี่ชายใหญ่ของเขาให้ช่วยกล่าวโน้มน้าวเขาดีๆ เขาเคารพนับถือพี่ชายใหญ่ของเขาเสมอมา อย่างไรเสียเขาก็คงพอจะฟังคำพูดของพี่ชายใหญ่ของเขาอยู่บ้าง”

 

 

ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นนายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัว

 

 

“น้องสะใภ้” โจวเสาจิ่นได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “เรื่องนี้ข้าคงต้องฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้กับพวกเจ้าเสียแล้ว ข้าเองก็จะไม่ยึดติดกับฐานะชาติกำเนิดของอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน ขอเพียงเข้าตาคุณชายสี่ ข้าจะทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งและปล่อยให้เขาแต่งนางเข้ามา เลวร้ายที่สุดข้าจะใช้มืออันเ**่ยวแห้งคู่นี้จับมือสอนนางเองก็แล้วกัน”

 

 

“ท่านวางใจเถิด! คุณชายสี่เป็นผู้รู้จักขอบเขตผู้หนึ่ง” นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัวยิ้มพลางกล่าวอีกว่า “จะต้องแต่งบุตรสะใภ้ที่น่าพึงใจกลับมาให้ท่านได้ผู้หนึ่งอย่างแน่นอน”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นจากคำพูดปลอบใจเช่นนี้สักเท่าใดนัก กล่าวเพียงว่า “ความพึงพอใจของข้าจะมีประโยชน์อันใดเล่า! หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าคุณชายสี่จะไม่มีความสุขหลังจากแต่งงานไปแล้วละก็ ข้าก็คงจะช่วยตัดสินใจเรื่องการแต่งงานให้เขาไปตั้งนานแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นฉุกคิดได้ว่าตนเองได้ยินถ้อยคำที่ไม่สมควรได้ยินเสียแล้ว จึงรีบย่องกลับไปที่ห้องข้างอย่างเบามือเบาเท้า

 

 

ภายในห้องข้างมีสตรีสี่ถึงห้าคนนั่งคุยกันอยู่

 

 

โจวเสาจิ่นเลือกนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง พลางคิดถึงบทสนทนาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเมื่อครู่

 

 

เหตุใดท่านน้าฉือถึงยังไม่แต่งงานนะ

 

 

ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีหญิงสาวที่เขาถูกใจบ้างหรือไม่

 

 

จากนั้นนางก็เห็นอวี้หรูเดินเข้ามา

 

 

โจวเสาจิ่นตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที

 

 

แต่ไม่นานนางก็สงบลงมาได้

 

 

ขอเพียงนางไม่ตามอวี้หรูไป นางจะฉุดกระชากตนให้ไปด้วยท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายได้อย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นนั่งลงบนเก้าอี้เท้าแขนอย่างสงบ

 

 

อวี้หรูยิ้มพลางเดินเข้ามา

 

 

ทว่าโจวชูจิ่นกลับปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู “เสาจิ่น พวกเราจะกลับกันแล้ว”

 

 

รอยยิ้มของอวี้หรูแข็งค้างอยู่บนใบหน้าไปชั่วขณะ

 

 

โจวเสาจิ่นแทบอยากจะโผเข้าไปกอดพี่สาวเอาไว้แล้วหอมสักฟอดสองฟอด

 

 

นางทนไม่ไหวรีบเข้าไปคล้องแขนของพี่สาวเอาไว้ แล้วยิ้มร่าพลางเดินกลับเรือนหว่านเซียงไปพร้อมกับพี่สาว

 

 

วันรุ่งขึ้น ซือเซียงบอกนางว่า “ปี้อวี้แจ้งมาว่า ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะออกไปข้างนอกในยามเฉินเจิ้ง[3] และจะกลับเข้ามาประมาณยามโหย่วเจิ้ง[4] หากว่าคุณหนูรองอยากจะคัดลอกพระธรรมอยู่ที่เรือน ประเดี๋ยวนางจะส่งพู่กัน น้ำหมึก กระดาษและที่ฝนหมึกพร้อมด้วยพระธรรมมาให้เจ้าค่ะ”

 

 

เช่นนั้นออกจะยุ่งยากมากเกินไป!

 

 

โจวเสาจิ่นให้ซือเซียงกลับไปบอกปี้อวี้ว่า “…วันนี้ข้ายังคงไปที่เรือนหานปี้ซานในยามเว่ยชู[5] ให้นางอย่าต้องเสียเวลาทำเช่นนั้นเลย”

 

 

ซือเซียงยิ้มพลางรับคำ

 

 

ตอนเช้าโจวเสาจิ่นลองออกแบบลวดลายดอกไม้ลายใหม่ พอตกบ่ายก็ไปที่เรือนหานปี้ซาน

 

 

อาจเป็นเพราะว่าผู้เป็นนายไม่อยู่ จึงเห็นได้ชัดว่าบรรยากาศของเรือนหานปี้ซานดูมีชีวิตชีวามากกว่าในยามปกติมากนัก

 

 

………………………………………………………………….

 

 

 

 

 

 

 

[1] ต้นหวงหยาง เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กเขียวชอุ่มตลอดปี ยังนิยมปลูกในกระถางคล้ายบอนไซอีกด้วย

 

 

[2] สะพาน ในที่นี้หมายถึงประสบการณ์ชีวิต

 

 

[3] ยามเฉินเจิ้ง คือเวลา 8.00 น.

 

 

[4] ยามโหย่วเจิ้ง คือเวลา 18.00 น.

 

 

[5] ยามเว่ยชู คือเวลา 13.00 น.