ตอนที่ 96 เบาะแส

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 96 เบาะแส

“ข้ามิสนใจว่าพวกเจ้าจักทำเรื่องนี้เพราะเหตุใด กล้าทำร้ายเจ้านายอย่างไรก็มีโทษถึงตาย ! ข้าแนะนำให้พวกเจ้ารีบยอมรับมาแต่โดยดี จักได้มิส่งผลต่อครอบครัวของพวกเจ้า”

หลี่ซื่อกล่าวออกมาพร้อมส่งสายตาข่มขู่สาวใช้ทั้งสอง เป็นเหตุให้พวกนางใบหน้าซีดเผือดทันที จากนั้นหลี่ซื่อจึงสั่งให้บ่าวมาลากตัวสาวใช้ทั้งสองไปจัดการ

เรื่องของอันหลิงหยูจบลงโดยการตายของนางทั้งสอง ปี้จูได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วใบหน้ามุ่ยอย่างเสียมิได้

“ทั้งที่รู้ว่าฮูหยินรองเป็นผู้สั่งการนางสองคนนั้นแท้ ๆ เหตุใดคุณหนูจึงมิเปิดโปงเจ้าคะ ? “

อันหลิงเกอกำลังนั่งเขียนสูตรยา เมื่อได้ยินปี้จูที่ยืนอยู่ข้างกายเอ่ยถามด้วยความสงสัยจึงตอบเสียงเรียบ “หลี่อี๋เหนียงยกครอบครัวของสาวใช้สองคนมาข่มขู่ ทั้งยังสั่งคนให้รีบนำพวกนางไปสังหาร พวกเราจึงมิสามารถเอาผิดนางได้”

อีกประการ ขอเพียงแค่หลี่กุ้ยเฟยมิล้มลง อำนาจของหลี่ซื่อก็มิอาจกำจัดให้หมดสิ้นได้อย่างแท้จริง คำกล่าวประโยคหลังนี้อันหลิงเกอมิได้กล่าวออกไปแต่คิดไว้ในใจ

เมื่อได้ฟัง ปี้จูก็มิเข้าใจเรื่องราวที่ซับซ้อนเหล่านี้เลย เพียงรู้สึกว่าพลาดโอกาสในการโค่นล้มหลี่ซื่อไปแล้ว ส่วนหมิงซินแม้เข้าใจเรื่องราวมากกว่าปี้จู แต่ก็มิได้คิดเชื่อมโยงไปถึงหลี่กุ้ยเฟย

หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็หยิบใบสั่งยาที่เขียนเองขึ้นมา ใบสั่งยานั้นเขียนยาที่นางต้องการอยู่สามสี่อย่างพร้อมทั้งตัวยาอื่น ๆ ที่ผสมเข้าไปด้วย เยี่ยงนั้นแล้วจักมิทำให้คนอื่นสงสัย ขอเพียงนำใบสั่งยามอบให้ฉู่หยูก็สามารถซื้อยาเหล่านี้ได้

“คุณหนูเจ้าคะ นอกจากเรื่องยานี้แล้ว บ่าวยังมีอีกเรื่องหนึ่ง มิทราบว่าควรพูดหรือไม่”

หมิงซินเอ่ยถามอันหลิงเกอด้วยท่าทีลังเลและในดวงตาฉายแววกังวลออกมา

อันหลิงเกอเขียนสูตรยาเสร็จพอดีก็วางพู่กันในมือลงแล้วปรายตามองไปทางหมิงซิน “พูดมาเถิด เจ้าได้ข่าวอันใดมาจากฉู่หยูอีกหรือ ? “

เมื่ออันหลิงเกอกล่าวออกมาเยี่ยงนี้ หมิงซินจึงตัดสินใจพูด “การเสียชีวิตของฮูหยินใหญ่อันในปีนั้น เหมือนว่าจักเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องมู่เจ้าค่ะ”

พลันในแววตาของอันหลิงเกอก็เข้มขึ้น เมื่อเทียบกับรอยยิ้มนิ่ง ๆ ในยามปกติแล้วก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน

ภายในใจของอันหลิงเกอรู้สึกตระหนก มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันจนแน่น แต่ยังเอ่ยถามหมิงซินต่อไป “การตายของมารดาข้าจักเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องมู่ได้เยี่ยงไร ? “

จวนโหวและจวนอ๋องมู่ล้วนเป็นตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพชนผู้ทำศึกสงครามแย่งชิงบ้านเมืองในครานั้นแล้วชนะกลับมา หลายปีที่ผ่านมาล้วนมิมีการไปมาหาสู่กันระหว่างจวนโหวและจวนอ๋องมู่ ถ้ามิใช่การพระราชสมรสจากฝ่าบาท ทั้งสองจวนก็มิมีวันไปมาหาสู่กันโดยเด็ดขาด แล้วการตายของมารดาเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องมู่ได้อย่างไร ?

เมื่ออันหลิงเกอเอ่ยถามด้วยความสงสัย หมิงซินจึงส่ายศีรษะ “ฉู่หยูมิได้มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี่มากนัก แต่เหมือนนางสืบพบว่าหลังจากฮูหยินใหญ่สิ้นชีพ แม่นมข้างกายฮูหยินใหญ่ก็ไปเป็นคนรับใช้ที่จวนอ๋องมู่เจ้าค่ะ นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดปกติจึงส่งข่าวนี้มาให้ท่านทราบเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอได้ทบทวนเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน จักว่าไปแล้วตำแหน่งแม่นมข้างกายของฮูหยินใหญ่อันถือเป็นตำแหน่งสูงมาก โดยมีหน้าที่คล้ายคนดูแลในจวน แม้ว่าฮูหยินใหญ่จักสิ้นไปแล้ว แม่นมข้างกายของนางก็สามารถใช้ชีวิตในจวนนี้ต่อไปได้ มิจำเป็นต้องออกจากจวนโหวแล้วหนีไปเป็นคนรับใช้ที่จวนอ๋องมู่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮูหยินใหญ่ยังมีบุตรอยู่อีก 2 คน แม่นมผู้นั้นกลับมิดูแลบุตรเจ้านายให้เติบใหญ่ ทว่าหนีไปที่จวนอ๋องมู่ย่อมแปลกอย่างแน่นอน

อันหลิงเกอรับรู้ได้ถึงความซับซ้อนในเรื่องนี้แล้ว นางจึงให้หมิงซินส่งข่าวแก่ฉู่หยูเพื่อสืบประวัติของแม่นมผู้นั้น จากนั้นก็หลับตาลง ยากนักที่จักเห็นอันหลิงเกอดูเหน็ดเหนื่อยเยี่ยงนี้ “เจ้าให้คนไปส่งจดหมายที่จวนอ๋องมู่ บอกว่าข้าขอนัดพบมู่ซื่อจื่อที่ศาลาจุ้ยเฟิงนอกเมือง”

เมื่ออันหลิงเกอสั่งการมาเยี่ยงนี้ หมิงซินก็จ้างเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปส่งจดหมายที่จวนอ๋องมู่ เด็กหนุ่มผู้นั้นรับเงินไปด้วยรอยยิ้มพร้อมนำจดหมายไปส่งที่จวนอ๋องมู่

ศาลาจุ้ยเฟิงตั้งอยู่บนภูเขานอกเมืองที่ห่างออกไป 10 ลี้ แม้ว่ายามนี้จักเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่บนพื้นที่ก็เต็มไปด้วยความเขียวขจีของใบไม้ เพียงมีลมพัดเข้ามาเล็กน้อยก็จักรู้สึกถึงความเย็นสบาย

อันหลิงเกอนั่งอยู่ในศาลาจุ้ยเฟิงพร้อมทอดมองบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ เข้ามาใกล้

มู่จวินฮานสวมอาภรณ์สีน้ำเงินปักดอกไม้สีม่วงและสวมเสื้อคลุมนกกระเรียนที่ทำจากผ้าสีเขียวแซมน้ำเงิน มือทั้งสองข้างไพล่หลัง ค่อย ๆ ก้าวเดินมาบนภูเขา การก้าวเท้าที่เชื่องช้าทำให้เขาเหมือนบุรุษสูงศักดิ์ที่กำลังท่องเที่ยวในยุทธภพ

ใบหน้าของเขาคล้ายหยกขาว ดวงตาเรียวยาวดูดี ริมฝีปากบางประดับรอยยิ้มตลอดเวลา เขาเหลือบมองมาทางอันหลิงเกอเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นฉายความรักเอ่อล้นอยู่ข้างใน เหมือนมีดอกไม้นับหมื่นกำลังเบ่งบานอยู่ตรงหน้า เมื่อได้จ้องมองทุกสิ่งในแผ่นดินพลันไร้สีสันไปหมด

เพียงสบสายตาคราหนึ่งโดยมิได้ตั้งใจ ก็เพียงพอให้ใครบางคนมิเป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขากำลังจ้องมองอันหลิงเกออย่างตั้งใจ นัยน์ตาสะท้อนเงาร่างสตรีงดงามและอรชร เช่นนี้จักมิให้ผู้คนที่พบเห็นลุ่มหลงจนเสียสติได้หรือ ?

อันหลิงเกอจับถ้วยชาในมือเสียแน่นโดยมิรู้ตัว นางมองมู่จวินฮานที่นั่งลงตรงหน้าแล้วรอให้หมิงซินเติมน้ำชาให้เขา นางค่อยเอ่ย “มู่ซื่อจื่อเคยได้ยินชื่อฟางเยี่ยนหรือไม่เจ้าคะ ? “

มู่จวินฮานเงยหน้าขึ้นสบตาอันหลิงเกอ ดวงตาดำขลับของนางสะท้อนภาพของเขาในนั้น

พลันมุมปากเขาก็ยกยิ้ม “เกอเอ๋อเรียกข้ามาพบ แท้จริงก็เพื่อคนผู้นี้เอง”

การเรียกนางว่าเกอเอ๋อช่างสนิทสนมเกินไป ทำให้ดวงตาของอันหลิงเกอมองเขาด้วยโทสะเล็กน้อย “มู่ซื่อจื่อเพียงแค่บอกมาว่าเคยเห็นคนผู้นี้หรือไม่ก็พอเจ้าค่ะ”

ท่าทางเย็นชากว่าครั้งก่อนของนาง เป็นเหตุให้มู่จวินฮานถามกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คนผู้นี้เกี่ยวข้องอันใดกับจวนอ๋องมู่หรือ ? “

บุรุษผู้นี้มิเสียแรงที่มีชื่อเสียงว่าสง่างามและฉลาดที่สุดในเมือง เพียงฟังคำพูดของอันหลิงเกอก็พอคาดเดาได้บ้างแล้ว

อันหลิงเกอพยักหน้าแต่ยังขมวดคิ้วดังเดิม “คนผู้นี้คือแม่นมข้างกายมารดาของข้า ทว่าหลังจากมารดาเสีย นางได้ออกจากจวนโหวแล้วไปเป็นสาวใช้ที่จวนอ๋องมู่ ข้าสงสัยว่านางจักรู้ความลับเกี่ยวกับการตายของมารดาเจ้าค่ะ”

นี่เป็นครั้งแรกที่อันหลิงเกอพูดเรื่องฮูหยินใหญ่อันต่อหน้าผู้อื่น มู่จวินฮานก็เพิ่งทราบว่าฮูหยินใหญ่อันถูกผู้อื่นลอบสังหาร เขาพยักหน้าอย่างเห็นใจแล้วจิบชาร้อนในแก้ว “บ่าวในจวนอ๋องมู่ ส่วนมากเป็นบุตรคนใช้ในจวนและมีเพียงมิกี่คนที่ซื้อเข้ามา ล้วนเป็นผู้มีประวัติโปร่งใส คนที่เจ้าเอ่ยถึงน่าจักมิได้อยู่ในจวนของข้า”

“เป็นไปมิได้ ! ” อันหลิงเกอกล่าวด้วยความร้อนรน แววตาที่นิ่งสงบมีความไหวหวั่น ใบหน้างดงามพลันขึ้นสีแดงจากความตื่นเต้น ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมู่จวินฮาน มิยอมปล่อยให้ทุกอารมณ์บนใบหน้าของเขาหลุดรอดสายตาได้ “หลังฟางเยี่ยนจากไป นางก็ไปที่จวนอ๋องมู่ทันที เรื่องนี้มิผิดอย่างแน่นอน”

นี่เป็นข่าวที่ฉู่หยูส่งมา หากมิมีความมั่นใจมากพอย่อมมิกล้าทำอันใดวู่วาม

มู่จวินฮานเห็นใบหน้าแสนร้อนรนของนางจึงเปลี่ยนน้ำเสียงให้อ่อนโยนขึ้น “ในเมื่อเจ้ามิเชื่อ ข้าจักพาเจ้าไปดูที่จวนอ๋องมู่ หากได้เห็นกับตาแล้วจักเชื่อหรือไม่ ? “

อันหลิงเกอลังเลอยู่ชั่วครู่จึงพยักหน้าตอบรับ

อันหลิงเกอมิสามารถไปที่จวนอ๋องมู่ทันทีได้ นางต้องไปร้านขายอาภรณ์บุรุษเพื่อปลอมตัวเสียก่อน จากนั้นจึงเดินตามมู่จวินฮานไปยังจวนอ๋องมู่

“อาจง ไปนำสมุดรายชื่อคนรับใช้ในจวนมาให้ข้า”

เขาเรียกพ่อบ้านในจวนมาสั่งการแล้วหันมานั่งที่เก้าอี้ทรงกลมทำจากไม้จันทน์สีแดง

ด้วยท่าทีผ่อนคลาย

พ่อบ้านคนนั้นเหลือบมองคนด้านหลังมู่จวินฮานหนึ่งมี สีหน้ามิได้แสดงอันใดออกมาแล้วถอยหลังไปอย่างให้เกียรติ มินานก็นำหนังสือเล่มหนากลับเข้ามา

“ซื่อจื่อ นี่คือรายชื่อคนใช้ทั้งหมดในจวนอ๋องมู่ขอรับ”

มู่จวินฮานรับสมุดรายชื่อมาแล้วสะบัดมือให้พ่อบ้านถอยไป จากนั้นก็ส่งรายชื่อในมือให้อันหลิงเกอ