ตอนที่ 156 เลื่อนขั้น

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลันรู้สึกถึงความเป็นสหายซึ่งพบเจอได้ยากที่สุดในชีวิตหลังนางได้หลุดเข้ามาอยู่ในยุคโบราณนี้ ในสายตานางมองว่ามันเป็นวิธีการปลูกฝีอย่างล้าสมัย ทว่าในสายตาของคนยุคสมัยนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงไม่แปลกหากจะรู้สึกประหลาดใจ กระทั่งบรรดาศิษย์พี่ที่รู้จักนางมาหลายปีก็ยังแสดงออกว่าวิธีการเช่นนี้มันไร้สาระอยู่เล็กน้อย ทว่าเขา ฮว๋าเหวินไป่ ผู้ที่พบเจอนางเพียงไม่กี่ครั้งและได้พูดคุยกันอย่างจริงๆ จังๆ เพียงครั้งเดียว แทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนแปลกหน้า แต่กลับเชื่อมั่นในตัวนาง หลินหลันยิ้มขื่นขมแล้วกล่าวออกไป “ข้าเกรงว่าจะไปด้วยมิได้ มิเช่นนั้นครั้งนี้เราคงได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันสักหน”

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ภายในใจของฮว๋าเหวินไป่จึงยากเกินกว่าจะยับยั้งความรู้สึกเสียดายที่พรั่งพรูออกมาประดุจสายธารไหลเชี่ยว เขาแอบถอนหายใจอย่างเงียบงัน เกลียดที่มิได้พบเจอกันให้เร็วกว่านี้ เกลียดที่มิได้รู้จักกันให้เร็วกว่านี้ เขาเผยรอยยิ้มขื่นขมออกมาก่อนจะกล่าวเชิงหยอกล้อ “น่าเสียดายอยู่เล็กน้อยที่เจ้ามิไปด้วย หากข้าทดลองสำเร็จขึ้นมา คุณงามความดีนี้คงต้องกลายเป็นของข้าแล้วละนะ”

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มจริงใจ “ข้ามิได้ยึดติดอันใดอยู่แล้ว ขอเพียงช่วยชีวิตผู้คนได้ก็เป็นพอ”

ฮว๋าเหวินไป่ได้ยินดังกล่าว ความรู้สึกศรัทธาก็บังเกิดขึ้นทันใด เขาถอยหลังไปหนึ่งฝีก้าวแล้วโน้มตัวลงพร้อมกับยกสองมือขึ้นคารวะ “ขอแสดงความนับถือคุณธรรมอันสูงส่งเทียมฟ้าของหลี่ฮูหยิน ข้าเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก”

หลินหลันรู้สึกละอายแก่ใจ เดิมทีนี่ก็คือภูมิปัญญาของคนสมัยก่อน ทว่าเป็นนางที่นำออกมาใช้ก็เท่านั้นเอง ซึ่งนี่คือวิธีการพูดอย่างน่าฟัง หากพูดอย่างไม่น่าฟังก็คือการลอกเลียนทรัพย์สินทางปัญญาของคนสมัยก่อนนั่นเอง ซึ่งจะว่าไปแล้ว นางลอกเลียนมาไม่ใช่น้อยๆ แล้วด้วย อย่างเช่นยาเม็ดเป่าหนิง ยาเม็ดลิ่วเซิน ยาเม็ดฮั่วเซียงเป็นต้น แล้วยังเตรียมอาศัยสิ่งเหล่านี้ทำเงินให้อีกด้วย ทว่านี่ก็นับว่าเป็นการสร้างความสุขให้แก่ปวงประชานี่นา แม้จะไม่ถึงขั้นที่เรียกได้ว่ายาดีช่วยชีวิตแต่ก็ขจัดความเจ็บป่วยของปวงประชาได้มิใช่หรือ แม้ว่าจะเป็นเหตุผลและความคิดอันประเสริฐ ทว่าเมื่อเผชิญกับการแสดงความเคารพอย่างอย่างจริงจังของฮว๋าเหวินไป่ หลินหลันจึงอดรู้สึกละอายใจไม่ได้ “ท่านพี่ฮว๋ากล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ตามจริงพี่ฮว๋าต่างหากที่เป็นผู้มีจิตใจดีงามและมีทักษะทางการแพทย์อันล้ำเลิศ หลินหลันรู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”

รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนผ่านศาลา ผู้ที่อยู่บนรถม้าปล่อยม่านหน้าต่างลงอย่างช้าๆ คิ้วเรียวยาวกำลังขมวดเข้าหากันเหนือดวงตาคู่ใสที่กำลังสะท้อนให้เห็นถึงความสงสัย สตรีในศาลาช่างดูเหมือนนายหญิงสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่ ส่วนบุรุษที่อยู่ใจกลางศาลานั่น นางจำได้ว่าเขาคือหมอเทวดามากความสามารถซึ่งมีชื่อเสียงในเมืองหลวง นามว่าฮว๋าเหวินไป่ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายเจ้าของร้านเต๋อเหรินถาง

“ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับอาการปวดศีรษะโรคเก่าไปหรอกนะเจ้าคะ อีกไม่กี่วันก็คงหายดีแล้วเจ้าค่ะ…” สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ กล่าวปลอบใจ

เผยจื่อชิ่งได้สติกลับคืนมาแล้วกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย “ทุกครั้งที่ท่านพ่อและท่านแม่มีปากเสียงกัน ท่านแม่เป็นอันต้องปวดศีรษะทุกครั้ง และที่ข้ากังวลคือครั้งนี้พวกเขาทะเลาะกันด้วยเรื่องอันใดอีก ”

คนทั้งสองที่อยู่ในศาลาไม่ได้สังเกตรถม้าที่เคลื่อนผ่านไป ฮว๋าเหวินไป่ได้ยินคำชมเชยของหลินหลันจึงก้มหน้ายิ้มเล็กยิ้มน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพร้อมกับนัยน์ตาที่แฝงเอาไว้ซึ่งความรู้สึกผิดเล็กน้อย “เดิมทีตั้งใจว่าจะไปแสดงความยินดีด้วยตนเองที่ร้านหลินจี้ในวันเปิดทำการ”

หลินหลันเผยรอยยิ้ม “ส่งน้ำใจมาก็เพียงพอแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นการที่เจ้าไปปฏิบัติเรื่องใหญ่อันสำคัญยิ่ง”

ฮว๋าเหวินไป่พยักหน้าเล็กน้อย “ถึงยามนั้นเหวินหยวนจะไปมอบของขวัญแทนข้า” ทันใดนั้นน้ำเสียงของเขากลับค่อยๆ อ่อนลง “ข้า…ได้เวลาออกเดินทางแล้ว ขบวนรถยังรอข้าอยู่เบื้องหน้านั่น”

หลินหลันนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “การไปส่านซีครานี้ พี่ฮว๋าต้องดูแลตนเองให้มากๆ อย่าสนใจแต่ช่วยชีวิตผู้คนเพียงอย่างเดียว ต้องดูแลตนเองเป็นสำคัญถึงจะช่วยชีวิตผู้คนได้มากยิ่งขึ้น”

ฮว๋าเหวินไป่ยกสองมือขึ้นคารวะ “คำพูดของหลี่ฮูหยิน ข้าจะจดจำใส่ใจเอาไว้”

หลังส่งฮว๋าเหวินไป่เป็นที่เรียบร้อย ฮว๋าเหวินหยวนจึงส่งหลินหลันกลับจวนหลี่ “หลี่ฮูหยิน ร้านยาหลินจี้เปิดทำการเมื่อใดหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถามก่อนจากลา

หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนหวาน “เจ้ามาเมื่อใดข้าก็ล้วนยินดีต้อนรับทุกเมื่อ”

เหวินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายของข้ากำชับเอาไว้อย่างเคร่งครัดว่าห้ามเสียมรรยาทเป็นอันขาด”

หลินหลันเผยรอยยิ้มภายใต้ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันก่อนจะกล่าวออกไป “เช่นนั้นก็เป็นเวลาช่วงเช้าตรู่หกโมงตรงเจ้าค่ะ”

เหวินหยวนฉีกยิ้มสดใส “ตกลง เช่นข้าจะไปถึงหกโมงตรงเจ้าค่ะ”

หลินหลันเอ่ยถามผู้เฝ้าประตูทันทีที่กลับถึงจวน “เอ้อร์เส้าเหยียกลับมาหรือยัง”

ผู้เฝ้าประตูกล่าว “กลับมาแล้วขอรับ กำลังพูดคุยกับเหล่าเหยียภายในห้องหนังสือขอรับ”

พูดคุยอีกแล้วหรือ ทำเสียเสมือนพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายยุ่งวุ่นวายและกังวลเกี่ยวกับบ้านเมืองตลอดจนห่วงใยประชาชนมากมายยิ่งนัก หลินหลันแสยะยิ้มแล้วมุ่งกลับไปยังเรือนหลั้วเซี๋ยจาย

รออยู่พักใหญ่ หลี่หมิงอวินถึงกลับมา

เขาเอ่ยว่าทางราชสำนักส่งใต้เท้ารองเจ้ากรมฝ่ายขุนนางมุ่งหน้าไปส่านซีเพื่อให้การปลอบขวัญและหมอขุนนางชุดแรกก็เดินทางแล้วเช่นกัน โดยของจำเป็นทั้งหมดกำลังอยู่ในขั้นตอนตระเตรียม ส่วนเขาไม่มีเรื่องอันใดต้องรับผิดชอบแล้ว

หลินหลันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย การออกไปครานี้แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากลำบากแต่ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดีงามยิ่งนัก

“น่าเสียดายจริงๆ” หลินหลันกล่าว

หลี่หมิงอวินชายตามองนาง “มีอันใดให้น่าเสียดาย อยากประสบความสำเร็จ อยากมีหน้ามีตาโดดเด่น มีวิธีอื่นถมเถไป” เขาเอ่ยพลางตบลงไปเบาๆ ที่หน้าขา “จะบอกเรื่องน่ายินดีให้เจ้าฟัง”

หลินหลันเขยิบเข้าไปด้วยความสนอกสนใจ “มีเรื่องน่ายินดีอันใดหรือ”

หลี่หมิงอวินโอบเอวคอดรั้งนางเข้ามาหา แล้วสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ อย่างเป็นธรรมชาติบนเรือนร่างของนาง “ข้าได้เลื่อนขั้นแล้ว” เขากล่าวภายใต้รอยยิ้ม

หลินหลันตระหนกตกใจก่อนกล่าวขึ้นด้วยความดีใจ “ได้เลื่อนตำแหน่งแล้วหรือ”

หลี่หมิงอวินใช้หน้าผากจรดลงไปที่คางของนางแล้วถูไถอย่างบางเบา “คราก่อนที่ช่วยเรียบเรียงพระราชโองการของฮ่องเต้ พระองค์ทรงพึงพอใจอย่างมาก ผนวกกับท่านอาจารย์เผยผลักดันอยู่หลายครั้งหลายครา ฮ่องเต้จึงถือโอกาสนี้ครานี้ปรับบุคลากร โดยเลื่อนขั้นข้าเป็นอาจารย์ระดับสูงสุดแห่งสำนักฮ่านหลินและให้ข้ารับผิดชอบการคัดเลือกผู้เข้าสอบในการสอบซูจี๋ซือ[1]ครานี้”

หลินหลันกล่าวด้วยความดีใจ “อาจารย์ระดับสูงสุดของสำนักฮ่านหลิน นั่นเป็นขุนนางระดับห้านี่”

“ถูกต้อง เจ้าถูกใจหรือไม่” หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มขณะจ้องมองนาง

หลินหลันจรดจุมพิตลงไปบนหน้าผากของเขา “แน่นอนว่าต้องถูกใจสิ สามีของข้ามีความสามารถโดดเด่นถึงเพียงนี้ ข้าก็มีหน้ามีตาไปด้วยเช่นกัน”

หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว “รางวัลมีเพียงแค่จุมพิตเดียวนี่หรือ”

หลินหลันเม้มริมฝีปากพลางมองไปที่เขาเชิงตำหนิ “เช่นนั้นเจ้ายังอยากได้อันใดอีก”

มือไม้จอมซุกซนของหลี่หมิงอวินเริ่มลูบไล้ไปตามรอบเอวบางของนาง ขณะเดียวกันกลีบปากบางแสนนุ่มทำหน้าที่ขบเม้มใบหูเล็กของนางอย่างนุ่มนวลส่งผ่านลมหายใจอันอุ่นร้อน ตามด้วยเสียงทุ่มต่ำอันทรงเสน่ห์ชวนหลงใหล “มิใช่เจ้าบ่นว่าอ่างอาบน้ำในบ้านเล็กเกินไปหรอกหรือ ข้าเลยตั้งใจสั่งทำขึ้นมาใหม่ให้เพียงพอสำหรับเราสองคนลงไปอาบด้วยกัน ดังนั้นค่ำคืนนี้ก็ลองเสียหน่อยแล้วกันนะ…”

หลินหลันใจเต้นระรัวพร้อมกับความร้อนผ่าวบนใบหน้าประหนึ่งกำลังถูกเผาไหม้ นางออกแรงผลักเขาและกล่าวเชิงตำหนิภายใต้ความเขินอาย “เจ้าอย่ามาพูดจาส่งเดช ข้าเคยพูดที่ไหนกัน”

หลี่หมิงอวินแสร้งทำทีครุ่นคิดอย่างจริงจัง “เป็นเจ้าที่พูดประโยคนี้ออกมาจริงๆ นะ”

หลินหลันทั้งโกรธทั้งเขินอาย ครั้งก่อนนางกำลังจะอาบน้ำและเขาก็ดื้อดึงต้องการจะอาบด้วยกันให้ได้ นางเกรงว่าจะถูกพวกหยินหลิ่วหัวเราะเยาะเข้า จึงปฏิเสธเขาด้วยการกล่าวว่าอ่างอาบน้ำมันเล็กเกินไป ดังนั้นจึงถูกนำมาเป็นข้ออ้างจนได้ “ฮ่องเต้ทรงเลื่อนขั้นให้เจ้าแล้ว ก็คงหวังให้เจ้าช่วยแบ่งเบาภาระงานและบรรเทาความทุกข์ยากของปวงประชา ยามนี้เรื่องงานเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เกรงว่าในยามราตรีแม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังทรงบรรทมไม่เป็นสุขด้วยซ้ำ ขณะที่เจ้าไม่เพียงไม่นึกกังวลถึงบ้านเมืองและปวงประชา แล้วยังเอาแต่นึกถึงเรื่องทะลึ่งอยู่เต็มหัวสมองเรื่อยเปื่อย เช่นนี้น่าจะให้ฮ่องเต้ลดขั้นเจ้า แล้วจับเจ้าคุมขังเสีย จะได้ไตร่ตรองให้เข็ดหลาบห”

หลี่หมิงอวินหลุดหัวเราะออกมา “หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า แล้วยังจะมีผู้ใดยินยอมไปเป็นขุนนางอีกหรือ มิสู้ไปเป็นนักบุญเสียดีกว่า ผู้ที่จะไปเป็นขุนนาง ต้องเป็นผู้ที่นึกถึงผู้อื่นก่อนเป็นอันดับแรก ความรักใคร่ลึกซึ้งระหว่างสามีภรรยาก็เป็นจริยธรรมอันพึงปฏิบัติของมนุษย์และเป็นหลักการที่ถูกต้องอย่างมิต้องสงสัย ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า อาหารของบุรุษและสตรีคือการดื่มด่ำแรงปรารถนาอันแรงกล้าของมนุษย์ นอกจากนั้นยังมีคำกล่าวที่ว่า สิ่งที่เรียกว่าอาหารล้วนเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการดำรงชีวิตของมนุษย์ เสมือนกับการพักผ่อนหย่อนใจระหว่างบุรุษกับสตรีที่มิอาจขาดตกบกพร่องไปได้”

หลินหลันจิ้มนิ้วลงไปบนหน้าผากของเขา “เจ้านี่เข้าใจคิดเหลือเกิน ได้เวลาไปคารวะท่านย่าแล้ว” การต่อปากต่อคำกับเขาเป็นสิ่งที่ชวนหงุดหงิดมากที่สุด ซึ่งต่อในนางฉีกหัวข้อสนทนาไปอย่างไรเขาก็จะวกไปวนมาจนท้ายที่สุดก็เวียนกลับมาหัวข้อนั้นดังเดิม การถกเถียงกับบุรุษในหัวข้อประเภทนี้ ส่วนมากล้วนต้องเสียเปรียบกันทั้งนั้น หลินหลันแอบครุ่นคิด รู้จักประมาณตนไว้หน่อยจะดีกว่า

หลี่หมิงอวินส่งเสียงหัวเราะร่า เขากอดรัดเอวคอดของนางแน่นขึ้นจนส่งผลให้เรือนร่างอันนุ่มนิ่มของนางแนบชิด หลังจากนั้นจึงเคลื่อนใบหน้าเข้าไปคลอเคลียพวงแก้มชมพูระเรื่อของนาง “เดาว่าแม่มดชราคงได้เดือดดาลจนอกแทบแตกตายอีกแล้วกระมัง”

หลินหลันนึกถึงเรื่องอวี๋เหลียนขึ้นมาจึงกล่าวเชิงหยอกเย้า “มิแน่ว่าแม่มดชราจะมอบของขวัญชิ้นโตให้เจ้าก็เป็นได้”

หลี่หมิงอวินย่นจมูกพลางสบถ ฮึ “ของขวัญที่นางมอบให้ข้าคงได้ทำให้ข้าซวยไปร้อยปี ข้ามิกล้ารับไว้หรอก”

“แล้วหากเขายัดเยียดให้เจ้าล่ะ” หลินหลันถามอย่างมีนัย

หลี่หมิงอวินหรี่ตามองนาง “เจ้าได้ยินข่าวลืออันใดมาใช่หรือไม่”

หลินหลันกล่าวหน้าเริดหน้าลอย “ถึงเวลาเจ้าก็รู้เองมิใช่หรือ” หลินหลันถือโอกาสช่วงที่เขากำลังครุ่นคิดลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังหน้ากระจกเพื่อจัดแต่งมวยผม

หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อนอย่างจนปัญญา “เจ้านี่นะ ชอบเล่นปริศนาคำใบ้กับข้าเสียเหลือเกิน”

“เจ้าเป็นผู้ชาญฉลาดถึงเพียงนี้ ปริศนาคำใบ้อันใดที่ข้าจะเอาชนะเจ้าได้หรือ” หลินหลันหัวเราะคิกคัก

ภายในโถงจาวฮุยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอันก่อให้เกิดบรรยากาศชื่นมื่นรื่นรมย์

หลี่จิ้งเสียนกำลังพูดถึงเรื่องหมิงอวินได้เลื่อนขั้น “ทั้งๆ ที่เข้าสู่สำนักฮ่านหลินเพียงสามเดือนเท่านั้น จากเดิมเป็นขุนนางระดับหกได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นขุนนางระดับห้าในคราเดียว ประการแรกเพราะพระกรุณาของฮ่องเต้ ประการที่สองเพราะพรจากบรรพบุรุษ ประการที่สามก็เป็นเพราะความเก่งกาจของหมิงอวิน”

หญิงชราปลื้มปิติจนเกินบรรยาย นางยิ้มแย้มจนเผยให้เห็นรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า “หมิงอวินเด็กคนนี้ทำเรื่องอันใดก็เอาจริงเอาจังมาแต่ไหนแต่ไร ประเด็นนี้ช่างเหมือนกับเจ้าไม่มีผิดเพี้ยน”

เดิมทีหมิงเจ๋อก็มีความประหม่าอยู่เล็กน้อยยามที่พบเจอผู้เป็นบิดา เมื่อได้ยินอีกว่าหมิงอวินเลื่อนขั้นสามระดับในคราเดียวยิ่งนั่งไม่อยู่สุขและรู้สึกอึดอัดเสียยิ่งกระไรดี

นางฮานชายตามองหมิงเจ๋อที่ก้มหน้าก้มตาด้วยความเศร้าหมอง ภายในใจจึงเกิดความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมากะทันหัน “เหล่าเหยียได้รับคำชื่นชมจากฮ่องเต้อย่างมากมาย จนนับว่าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ จึงเป็นธรรมดาที่ฮ่องเต้จะเห็นความสำคัญของหมิงอวินมากหน่อยแหละเจ้าค่ะ”

ติงหลั้วเหยียนเผยรอยยิ้มมุมปาก นัยน์ตาสงบเรียบประหนึ่งผิวน้ำทว่ายังคงไว้ซึ่งความงดงาม ผู้ที่ทุกข์ระทมอยู่ภายในใจคงมีเพียงนางเท่านั้น มิใช่ว่านางดูถูกหมิงเจ๋อ ทว่าในความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้ต่อให้หมิงเจ๋อมีขาเพิ่มขึ้นมาอีกสี่ขาก็มิอาจวิ่งทันหมิงอวินไปได้ ทุกคนล้วนเข้าใจว่ายามนี้หมิงเจ๋อกำลังขยันขันแข็งสุดความสามารถ ขณะที่ในความเป็นจริงนั้น หมิงเจ๋อหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาก็แค่การแสร้งทำท่าทีไปอย่างนั้นเอง หลู่ฉีบอกกล่าวนางว่า หมิงเจ๋อฉีกปกหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดของขงจื๊อ สวมทับหนังสือวรรณกรรมเรื่องอวี้โหลวชุน นางฉวยโอกาสช่วงที่หมิงเจ๋อไม่อยู่พลิกเปิดดู และพบว่าด้านในเต็มไปด้วยประโยคสำนวนฉูดฉาดล่อแหลมและหยาบคาย…นางรู้สึกผิดหวังในตัวหมิงเจ๋ออย่างถึงที่สุด

แม้ว่านับวันหลี่จิ้งเสียนจะโกรธเกลียดนางฮานมากยิ่งขึ้น ทว่าก็ยังคงปฏิเสธไม่ได้ว่าอย่างน้อยๆ นางฮานก็ยังรู้จักประจบประแจงทำให้ผู้ฟังรู้สึกรื่นหูเช่นเดียวกับการดื่มชาสมุนไพรเย็นเดือนหกอันช่วยให้ทุกอณูขุมขนในร่างกายรู้สึกสดชื่น เขาส่งเสียงหัวเราะแล้วกล่าวอย่างถ่อมตน “ทว่าครั้งนี้เป็นความสามารถของหมิงอวินเอง เขาเรียบเรียงพระราชโองการให้ฮ่องเต้ได้อย่างยอดเยี่ยมจึงได้รับความดีงาม อีกทั้งอาจารย์ในสำนักฮ่านหลินหลายท่านก็ยกยอปอปั้นเขา ซึ่งข้าหาได้เคยเอื้อนเอ่ยใดๆ ออกไปไม่ ”

นางฮานกล่าวอย่างอ่อนโยน “ไยต้องรอให้ท่านพี่เอ่ยปากล่ะเจ้าคะ ท่านพี่มีหน้ามีตาอยู่ในนั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผู้ใดจะไม่เห็นแก่หน้าท่านพี่บ้างล่ะเจ้าคะ”

มีหรือหญิงชราจะฟังไม่ออกว่าที่นางฮานยกยอจิ้งเสียนเป็นการใหญ่ ด้วยมีเจนตนากดหมิงอวินให้ต่ำลง ซึ่งประเด็นนี้นางไม่ชอบใจยิ่งนัก สำหรับนาง หมิงเจ๋อและหมิงอวินล้วนเป็นหลานชายแท้ๆ ของนาง หมิงอวินเก่งกาจ ในฐานะย่า นางก็ต้องรู้สึกยินดีปรีดาอย่างมากเป็นธรรมดา

หญิงชราหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้ามิต้องร้อนใจไปหรอก ไว้รอหมิงเจ๋อสอบผ่านแล้วก็ได้มีโอกาสเช่นกัน”

เมื่อถูกหญิงชรากล่าวเชิงเข้าใจความนึกคิดของนาง นางฮานจึงเผยสีหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวเชิงแก้ต่าง “ร้อนใจที่ไหนกันเจ้าคะ ลูกดีใจแทนหมิงอวินและท่านพี่ด้วยใจจริงเจ้าค่ะ ในเมื่อนี่คือความความรุ่งโรจน์ของตระกูลหลี่เรานี่เจ้าค่ะ”

หญิงชรายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ประโยคนี้ค่อยฟังดูสมเหตุสมผลหน่อย พรุ่งนี้ไปจุดธูปในโถงบรรพบุรุษเสียหน่อย จะได้ปกปักษ์หมิงอวินให้ราบรื่นในหน้าที่การงาน และปกปักษ์หมิงเจ๋อให้สอบผ่านไปอย่างราบรื่น”

[1] ซู่จี๋ซือ (庶吉士) เป็นการสอบเพื่อคัดเลือกบัณฑิตผู้มีความสามารถเข้าสู่สำนักฮ่านหลิน