มู่หงอวี๋ตกตะลึงและตามไปอย่างรวดเร็ว
“หอโอสถสวรรค์ นั่นเป็นสถานที่เก็บยาทุกชนิดของสำนักมิใช่หรือ ตอนนี้เจ้าไปเพื่อ…เจ้าจะไปเอายาหรือ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบ
ในฐานะสำนักอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเย่าเฉินอย่างสำนักเทียนลู่ก็น่าจะมีสิ่งของที่เก็บเอาไว้ไม่น้อย นางต้องลองไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“เดี๋ยวข้าไปเองก็ได้ เจ้าไปสืบดูว่าช่วงนี้จี้อวี้หรงมีอะไรผิดปกติบ้าง หรือเขาไปมาหาสู่กับผู้ใดบ่อยๆ เขามีสถานะธรรมดา เขาต้องเอาพิษนั้นมาจากผู้อื่นอย่างแน่นอน”
มู่หงอวี๋มีความลังเลเล็กน้อย
“ให้ข้าไปสืบไม่มีปัญหาหรอก แต่หอโอสถสวรรค์…ที่นั่นเป็นถิ่นของหมอเทวดา เวลานี้เจ้าจะเดินดุ่มๆ เข้าไปเอายา ข้าเกรงว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ…”
คำพูดของมู่หงอวี๋ถนอมน้ำใจมากแล้ว
แท้ที่จริง หลายปีมานี้ นอกจากพวกหมอเทวดาด้วยกันเองแล้ว ผู้อื่นแม้กระทั่งจะเข้าประตูใหญ่ของหอโอสถสวรรค์ยังเป็นเรื่องที่ยากเลย
ทว่าไม่ได้หมายถึงพวกเขาไม่ให้ผู้ใดย่ำกรายเข้าไป เพียงแต่ว่าข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องนั้นเข้มงวดมากต่างหาก…ตามเงื่อนไขของสำนัก นักเรียนทุกคนที่ต้องการมาเอายาจากหอโอสถสวรรค์จำเป็นต้องทำเรื่องยื่นก่อนเสมอ หากมีเหตุผลมากพอถึงจะได้รับอนุญาต
ถ้าหากว่าเป็นพวกกลุ่มนักเรียนหมอเทวดา เพียงแค่บอกว่าตนจะมาฝึกปรุงยา ก็สามารถหยิบตัวยาที่ตัวเองต้องการออกไปได้อย่างง่ายดาย
แต่ถ้าหากเป็นผู้ฝึกยุทธ์และปรมาจารย์ มันกลับไม่ได้ง่ายดายเยี่ยงนั้นน่ะสิ
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น
“แล้วผู้ฝึกยุทธ์และปรมาจารย์ไม่มีสิทธิ์เข้าไปอย่างนั้นหรือ”
“ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก…อันที่จริงเวลาพวกเราได้รับบาดเจ็บถึงจะไปที่นั่นสักครั้ง…” มู่หงอวี๋นิ่วหน้าด้วยความขุ่นเคืองใจ “เจ้าไม่รู้หรอกว่าหมอเทวดาพวกนั้นเย่อหยิ่งมากเพียงใด แต่ละคนปฏิบัติตัวได้แย่มาก!”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเจื่อน
หมอเทวดามีเงื่อนไขด้านพรสวรรค์ที่สูงมาก หมอเทวดาทั่วไปจึงมักมีนิสัยเสียเช่นนี้
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้ฝึกมาทางด้านนั้น แต่ตอนแรกข้าก็สอบผ่านหมอเทวดาเข้ามาได้ พวกเขาคงไม่ทำให้ข้าลำบากใจหรอกกระมัง”
มู่หงอวี๋เบะปากคว่ำ
“มันก็ไม่แน่หรอกนะ!”
ฉู่หลิวเยว่ลูบแขนนางเบาๆ
“เอาน่ะ”
…
เมื่อทั้งสองแยกจากกัน จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เดินไปทางภูเขาด้านหลัง
หอโอสถสวรรค์สร้างขึ้นบนภูเขาที่ลาดชันที่สุดของสำนักเทียนลู่ และคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมาที่นี่หากพวกเขาไม่มีเรื่องจำเป็น
ดังนั้นยิ่งขึ้นเขาสูงมากเท่าไร บริเวณโดยรอบก็ยิ่งเปล่าเปลี่ยวมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากเดินมาได้ระยะเวลาหนึ่งกาน้ำชา ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็มองเห็นป้ายที่เขียนว่า หอโอสถสวรรค์
หอโอสถสวรรค์มีความสูงห้าชั้น ลักษณะภายนอกไม่แตกต่างจากอาคารทั่วไปเท่าไรนัก แต่ทว่าเมื่อฉู่หลิวเยว่เข้าไปใกล้ๆ นางก็สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นอันไร้รูปร่าง
…บริเวณด้านนอกหอโอสถสวรรค์ ได้สร้างค่ายอาคมที่แข็งแกร่งเอาไว้
ด้านนอกประตูทองสัมฤทธิ์ มีชายหนุ่มสองที่ดูเหมือนกำลังเฝ้ายามอยู่
เมื่อพวกเขาเห็นฉู่หลิวเยว่ ชายหนุ่มหนึ่งในนั้นก็เอ่ยถามฉู่หลิวเยว่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าคือผู้ใด มาที่นี่มีเรื่องอันใด”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวว่า
“ศิษย์นามว่าฉู่หลิวเยว่ มาที่นี่เพื่อขอยา”
เมื่อได้ยินชื่อ ฉู่หลิวเยว่ ชายหนุ่มทั้งสองก็แสดงสีหน้าตกตะลึงพร้อมกัน
ชื่อนี้เปรียบเสมือนเสียงฟ้าผ่าที่ดังข้างหูของพวกเขา
นางก็คืออัจฉริยะผู้ที่สอบเข้าสำนักผ่านทั้งสามสาขา ทั้งยังสอบได้ที่หนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์ และได้อันดับสองของปรมาจารย์อีกด้วย!
แม้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาจะไม่ได้สนใจพวกผู้ฝึกยุทธ์และปรมาจารย์เท่าไรนัก ทว่าพวกเขาก็เคยได้ยินชื่อนี้มากกว่าหนึ่งครั้งมาก่อน
พวกเขาคิดไม่ถึงว่านางจะมาที่แห่งนี้
“เจ้าคือฉู่หลิวเยว่เองหรือ”
ชายหนุ่มที่เป็นผู้ถามมองสำรวจฉู่หลิวเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบ
“ผู้ที่มาขอยาจากหอโอสถสวรรค์จำเป็นต้องยื่นเรื่องก่อน เจ้ากรอกรายละเอียดลงใบยื่นเรื่องก่อนสิ!”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น ชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งก็โบกแขนเสื้อ จากนั้นก็มีของสิ่งหนึ่งลอยไปทางฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นเพื่อคว้าสิ่งนั้นเอาไว้และเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
นี่เป็นกระดานไม้หนึ่งแผ่นและพู่กันหนึ่งด้ามจริงๆ ด้วย
แผ่นไม้ไหม้เกรียมทั้งแผ่น แต่ขนาดเท่าฝ่ามือและมีสัมผัสที่หยาบกระด้างมาก
“เขียนสิ่งที่เจ้าต้องการลงบนนี้ แล้วจะส่งไปตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว พวกข้าจะหยิบยามาให้เจ้าเอง”
ชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ท่าทางราวกับต้องทำตามหน้าที่ทุกระเบียบนิ้ว
ฉู่หลิวเยว่พลิกดูสิ่งของในมือก่อนจะแย้มยิ้ม
ดูเหมือนว่าที่มู่หงอวี๋เล่ามาจะเป็นความจริง หมอเทวดาพวกนี้ไม่ได้เย่อหยิ่งธรรมดา แต่ชอบทำให้ผู้อื่นต้องลำบากยุ่งยากอีกด้วย
แผ่นกระดานไม้ที่ไหม้เกรียมนี้ไม่ใช่ไม้ธรรมดา แต่เป็นลำต้นของเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์สีดำ
มันมีลักษณะเช่นนี้โดยธรรมชาติ และเนื้อสัมผัสก็แข็ง ต่อให้คนทั่วไปใช้มีดแกะสลัก ก็ไม่สามารถทิ้งรอยไว้ได้
แล้วสำหรับการเขียนอักษรลงไปนั้น…
พู่กันนี้สะอาดหมดจดไร้น้ำหมึกเจือแต้ม แล้วจะให้นางเขียนอย่างไร
ฉู่หลิวเยว่เขย่าสิ่งของในมือ
“เขียนข้างบนนี้หรือ”
ชายหนุ่มสองคนนั้นพยักหน้าพัลวัน ดวงตามีแววขบขันหลายส่วน
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นนางก็หยิบพู่กันแล้วเริ่มจรดตัวอักษรลงบนแผ่นกระดานไม้
เพียงแค่จรดลงไปบนกระดานไม้สีดำนั้น ก็ไม่เหลือร่องรอยใดๆ แล้ว
ฉู่หลิวเยว่หยุดชะงักพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
ชายหนุ่มสองคนนั้นลอบสบตากันแล้วหัวเราะเยาะ
สอบผ่านสามวิชามาได้อย่างไร อัจฉริยะเช่นใดกัน ตอนนี้ดูๆ แล้วก็ทำได้แค่เท่านี้เอง
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มให้เป็นการขอโทษ
“ขอโทษนะ ดูเหมือนสิ่งนี้จะมีปัญหานิดหน่อย พวกเจ้าสามารถเปลี่ยนอันใหม่ให้ข้าได้หรือไม่”
“เปลี่ยนอันใหม่? ของสิ่งนี้ทุกคนได้แค่ครั้งละหนึ่งอันเท่านั้น ทำไมหรือ…”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งปฏิเสธทันควัน และก่อนที่เขาจะพูดจบ คนข้างๆ เขาก็ขัดจังหวะเขาเสียก่อน
“เพื่อเห็นแก่เจ้าที่มาที่นี่ครั้งแรก ข้าจะเปลี่ยนให้เจ้าก็แล้วกัน”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็ขยับแขนแล้วโยนกระดานไม้สีดำแบบเดียวกันไปให้ฉู่หลิวเยว่
“นี่ ม่อเหลี่ยง ตามกฎแล้วไม่สามารถ…”
ชุยเหยาเอ่ยปากอย่างไม่เห็นด้วย แต่ทว่าเขากลับเห็นม่อเหลียงส่งสายตามาให้เขา
เขาตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วเขาก็เข้าใจทันทีว่า อันที่จริงแล้วม่อเหลียงกำลังจะแกล้งฉู่หลิวเยว่ต่างหาก
อันแรกเขียนไม่ได้ เปลี่ยนอนใหม่ก็ยังเขียนไม่ได้ นี่ไม่ใช่การทำให้อับอายขายหน้าหรอกหรือ
ตั้งแต่ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้สอบเข้าสำนักมาได้ ก็ได้รับคำเยินยอตลอดว่ามีความสามารถโดดเด่น คราวนี้แหละเป็นโอกาสที่จะทำให้นางยอมก้มหัวให้
ทั้งสองลอบส่งสายตากันแล้วไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่มองไปที่ฉู่หลิวเยว่แล้วรอให้นางทำเรื่องน่าขำออกมา
เป็นจริงดั่งที่คาดเอาไว้ว่าคราวนี้ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้บนแผ่นไม้ได้
นางหยุดการกระทำ ดูเหมือนจะเขินอายและมึนงงเล็กน้อย
ในขณะที่พวกของชุยเหยาแทบจะไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้
“ฉู่หลิวเยว่ ดูเหมือนว่านี่จะมีปัญหา จะให้ข้าเปลี่ยนให้เจ้าอีกหรือไม่” ม่อเหลียงเอ่ยปาก ด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขาอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“เช่นนั้นก็รบกวนพวกเจ้าด้วย”
“ไม่รบกวนๆ พวกเราล้วนเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันทั้งนั้น ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
ม่อเหลียงกลั้นเสียงหัวเราะของเขาและโยนแผ่นไม้ให้ฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง
คราวนี้ในมือของฉู่หลิวเยว่มีกระดานไม้ทั้งหมดสามแผ่น
“นี่ ฉู่หลิวเยว่ ถ้าหากว่าคราวนี้ยังไม่ได้อีก ข้าจะได้เอามาให้เจ้าทีเดียวหลายๆ แผ่นดีหรือไม่ รอเจ้าลองสักร้อยครั้ง จะต้องมีสักอันที่ใช้ได้แหละน่า ใช่หรือไม่ ฮ่าๆๆๆๆ!”
ชุยเหยาเก็บเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของตนเองไม่มิดอีกต่อไป
แม้แต่คนโง่ มาจนถึงตอนนี้ก็สามารถมองเห็นปัญหาแล้ว
แต่ทว่าผลไม่ได้เป็นดั่งที่คาดคิด เพราะฉู่หลิวเยว่ไม่ได้แสดงความอับอายเลยสักนิด แต่กลับส่ายหน้าแล้วหัวเราะ
“ไม่เป็นไร แค่นี้ก็มากพอแล้ว”
หลังจากพูดจบ นางก็เดินไปหยิบใบขู่ซิ่ง
เมื่อเห็นการกระทำของนางเสียงหัวเราะของชุยเหยาก็หยุดลงกะทันหัน และม่อเหลียงก็รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ เช็ดกระดานไม้สีดำด้วยใบขู่ซิ่ง แล้วเริ่มเขียนลงไปอีกครั้ง
ปลายพู่กันขีดเขียน ตัวอักษรสีขาวพลิ้วไหวก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน!