กู้ชูหน่วนจ้องมองใบหน้าที่บวมแดงของนางและพูดอย่างไม่แยแสว่าคนฟังจะโกรธจนแทบเป็นบ้าตาย “อืม คราวนี้กำลังพอเหมาะ”
โกรธ…
องค์หญิงตังตังโกรธจนปอดแทบจะระเบิด นางตวาดเสียงดังว่า “มัวตกใจหาอะไรกันอยู่ เหตุใดจึงยังไม่จับกู้ชูหน่วนให้องค์หญิงอย่างข้าอีก ข้าจะทำให้นางตายทั้งเป็น ให้นางรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตที่เกิดมาบนโลกนี้”
ทหารองครักษ์พากันมาโอบล้อมกู้ชูหน่วนไว้
ทุกคนอดกังวลแทนกู้ชูหน่วนไม่ได้
แต่กู้ชูหน่วนดูเหมือนจะไม่เดือดร้อนอะไรและยิ้มเรียบๆ “ข้าคือเสด็จอาขององค์หญิง ผู้เป็นอาจะอบรมพระราชนัดดาย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม พวกเจ้ากล้าจับข้ารึ ก็ได้ เช่นนั้นเราไปหาท่านอ๋องเทพแห่งสงครามกัน ไปจัดการเรื่องในครอบครัวเสียให้เรียบร้อย”
ท่านอ๋องเทพแห่งสงครามเป็นบุคคลต้องห้าม เหล่าองครักษ์จึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
ยิ่งไปกว่านั้นกู้ชูหน่วนยังเน้นย้ำคำว่าเรื่องในครอบครัวอีกด้วย พวกเขาจะกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวของราชวงศ์ได้อย่างไร
องค์หญิงตังตังกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโกรธ “กู้ชูหน่วน เจ้ามันหน้าไม่อาย เสด็จอาของข้าบอกว่าจะอภิเษกกับเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“มันก็น่าแปลกนะ นั่นไม่ใช่พระราชโองการจากเสด็จพี่ของท่านหรอกหรือ หรือว่าเทพแห่งสงครามจะไม่แต่งงานกับข้า เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นท่านก็ขอให้เสด็จพี่ของท่านเพิกถอนพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกเสียสิ”
“เจ้า…” พระราชโองการเช่นนี้คิดว่าจะเพิกถอนก็เพิกถอนได้ง่ายๆ หรืออย่างไร กู้ชูหน่วนตั้งใจทำให้นางลำบากใจงั้นหรือ
“ทำไม่ได้งั้นหรือ เช่นนั้นข้าก็นับว่ายังเป็นเสด็จอาของท่าน วันนี้ข้าตบท่านสองที หรือแม้กระทั่งตบสักสองร้อยที ข้าก็ยังทำได้”
กรอด…
บ้าเกินไปแล้ว
องค์หญิงตังตังอยู่ในฐานะที่เหนือกว่า คิดไม่ถึงว่ากู้ชูหน่วนจะกล้าทำให้องค์หญิงอับอายขายหน้า นางกินดีหมีดีเสือมาหรืออย่างไร
องค์หญิงตังตังหน้าถอดสี
เมื่อเห็นว่าพวกองครักษ์ไม่กล้าช่วยนางและคนอื่นๆ ก็มองนางอย่างขบขัน องค์หญิงตังตังจึงร้องไห้ออกมาอย่างโมโห
“กู้ชูหน่วน เจ้าจำไว้ ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”
ว่าแล้วนางก็ตรงไปที่ห้องตำราหลวงทันที
เมื่อเรื่องตลกจบลงกู้ชูหน่วนจึงประคองชิวเอ๋อร์ขึ้นมา เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“บ่าวไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณหนู ท่านเพิ่งจะทำให้องค์หญิงไม่พอพระทัย มันจะไม่…”
“ไม่พอใจก็ไม่พอใจไปสิ ถึงอย่างไรคุณหนูอย่างข้าก็มีคนไม่พอใจมากมายอยู่แล้ว ตอนบ่ายข้ายังมีเรียนต่อ หลังจากกินข้าวแล้ว เจ้าจะไปหาที่จับปลาก็ได้นะ”
“จับปลา?”
“หมายถึงอู้งานน่ะ”
ชิวเอ๋อร์กังวลมากจนแทบจะร้องไห้ แต่คุณหนูของนางกลับดูสบายใจเฉิบ ไม่รู้สึกรู้สาเลยว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่ขนาดไหน
เซี่ยวอวี่เซวียนขยับเข้ามาใกล้ เขายิ้มและกล่าวว่า “แม่สาวอัปลักษณ์ เพื่อสาวใช้เพียงคนเดียวถึงกับทำให้องค์หญิงที่เป็นที่โปรดปรานที่สุดไม่พอพระทัย เจ้าไม่กลัวว่าหรือว่าองค์หญิงจะมาเอาคืน จะเอาอย่างไร หรือไม่หากเจ้ายอมรับข้าเป็นพี่ใหญ่ ต่อไปข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง”
กู้ชูหน่วนชายตามองเขานิดหนึ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “พึ่งพาเจ้า? อยากจะเป็นพี่ใหญ่ของข้า?”
“ตระกูลเซี่ยวสร้างคุณูปการมาหลายชั่วอายุคน บิดาของข้าเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองเยี่ย มีกองทหารหลายแสนนายอยู่ในมือ พี่ชายใหญ่ของข้าสร้างวีรกรรมไว้อย่างโดดเด่นในการทำศึก พี่ชายรองของข้าได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ซั่งกวนผู้มีพรสวรรค์ที่สุดในโลก นี่ยังไม่พอที่จะคุ้มครองเจ้างั้นหรือ”
“ที่เจ้าพูดมามีแต่คนในครอบครัวเจ้าทั้งนั้น แล้วตัวเจ้าล่ะ”
เซี่ยวอวี่เซวียนสำลัก
“ขะ… ข้าเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาเอก ถึงอย่างไรต่อไปทุกอย่างที่เป็นของบิดา… ก็ต้อง… ต้องเป็นของข้า…”
กู้ชูหน่วนยิ้ม ท่าทางเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผยประหนึ่งดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ที่ผลิบานอยู่บนภูเขาหิมะ และนั่นทำให้ทุกคนตกตะลึง
“จะให้ข้ายอมรับเจ้าเป็นพี่ใหญ่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่เจ้าต้องตอบคำถามของข้าให้ได้สามข้อ ถ้าเจ้าตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ยอมรับข้าเป็นพี่ใหญ่เสีย ต่อไปพี่หญิงจะคุ้มครองเจ้าเอง”
“คำถามอะไรรึ”
“อย่างแรก สองบวกสองเป็นเท่าไหร่”
เซี่ยวอวี่เซวียนชะงักไปนิดหนึ่ง “สี่ไง”
คำถามง่ายๆ เช่นนี้ไม่เห็นมีอะไรยาก
“ผิด”
“ผิด?” เซี่ยวอวี่เซวียนยกนิ้วมือทั้งซ้ายและขวาขึ้นมานับอีกครั้ง “ก็ไม่ผิดนี่”
“สองบวกสองเท่ากับโคตรสอง (งี่เง่ามาก)” (非常二 แปลตรงตัวว่า สองมากๆ/โคตรสอง เป็นคำสแลงแปลว่า งี่เง่ามาก)
ทุกคนปาดเหงื่อ นี่มันคำถามอะไรกัน
เซี่ยวอวี่เซวียนไม่ยอมแพ้ “เจ้าเถียงข้างๆ คูๆ งั้นรึ”
“ข้าจะเถียงข้างๆ คูๆ ไปทำไมกัน สติปัญญาของคนเป็นพี่ใหญ่ควรจะพลิกแพลงเก่งหน่อยมิใช่หรือ ตอนนี้ข้ากำลังทดสอบเจ้าอยู่ แต่ข้าเปลี่ยนความคิดละ”
“ไม่ถูกๆ ยังไงก็ไม่ถูก”
“งั้นข้าถามเจ้าหน่อย ท่านอาจารย์สวีเป็นพวกโคตรสองหรือเปล่า”
“ใช่”
“เจ๋ออ๋องก็เป็นพวกโคตรสองใช่ไหมล่ะ”
“ใช่”
“เช่นนั้นเมื่อเอาพวกเขามารวมกัน ก็ไม่เท่ากับว่าเป็นโคตรสองหรอกหรือ”
เจ๋ออ๋องสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปพร้อมกับแววตาที่เกรี้ยวโกรธ
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาถอนหมั้นโดยไม่มีสาเหตุจนถูกฝ่าบาทรวมถึงเสด็จแม่ซึ่งเป็นพระสนมของพระองค์ลงโทษอย่างรุนแรง รับสั่งไม่ให้เขาก่อปัญหาขึ้นอีกในช่วงนี้ เขาคงจะฆ่านางตายไปตั้งนานแล้วที่นางกำเริบเสิบสานเช่นนี้
กู้ชูหลานพอใจเจ๋ออ๋อง เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงอดไม่ได้รีบตามเขาไป
เซี่ยวอวี่เซวียนตะลึงงัน
ดูเหมือนที่กู้ชูหน่วนพูดจะทั้งถูกและผิด
“คำถามที่สอง ท่านอาจารย์ซั่งกวนรวมกับเจ๋ออ๋องแล้วได้เท่าไหร่”
“อา… นั่นนับเป็นคำถามงั้นหรือ”
“นั่นคือคำถาม”
ชิวเอ๋อร์แอบปิดปากหัวเราะอย่างอดไม่ได้
คุณหนูปั่นหัวคนเก่งเกินไปแล้ว
นี่มันไม่ใช่คำถามเสียหน่อย คุณชายเซี่ยวจะไปตอบได้อย่างไร
และเซี่ยวอวี่เซวียนก็ตอบไม่ได้อย่างที่คิด
เขาเอ่ยว่า “ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่าเท่าไหร่”
“ที่หนึ่งของโลก”
“อะไรนะ?” เซี่ยวอวี่เซวียนเบะปาก
กู้ชูหน่วนอธิบายอย่างอดทน ดวงตาที่ฉลาดเฉลียวเผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัด
“อะ เจ้าดูนะ ท่านอาจารย์ซั่งกวนเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของโลกใช่หรือเปล่า”
“ใช่ แต่ท่านพี่ของข้าก็เช่นกัน”
“ใช่ ข้ารู้ว่าท่านพี่ของเจ้าก็เป็นเช่นนั้น พวกเขาเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก ถูกหรือไม่”
“ใช่”
“ผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของโลก รวมกับคนโง่ที่สุดในโลก นั่นไม่เรียกว่าที่หนึ่งของโลกหรอกหรือ”
เซี่ยวอวี่เซวียนยกนิ้วขึ้นมานับ หลังจากนับอยู่นานใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม
นี่เขากำลังถูกปั่นหัวอยู่หรือเปล่า?
ผู้หญิงคนนี้จงใจแกล้งเขา
กู้ชูหน่วนยิ้มและเอ่ยว่า “เห็นแก่ความซื่อบริสุทธิ์ของเจ้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ถ้าเจ้าตอบคำถามที่สามได้ ข้าจะถือว่าเจ้าชนะ”
“เจ้าว่ามา”
“หานอ๋องกับข้ารวมกันเป็นเท่าไร”
เซี่ยวอวี่เซวียนกระอักเลือด
เหตุใดจึงเป็นปัญหาเช่นนี้อีกแล้ว
เขาอึดอัดพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
หานอ๋องไม่ใช่สอง (ไม่งี่เง่า) กู้ชูหน่วนก็ยิ่งไม่ใช่
เช่นนั้นคำตอบคืออะไรล่ะ
เขาเบ้ปากอย่างไม่พอใจ “กู้ชูหน่วน เจ้าเล่นตลกกับข้า คำถามเช่นนี้มีบนโลกด้วยหรือ”
“นี่ ตอบไม่ได้เลยทำเป็นโกรธเพราะเสียหน้างั้นสิ”
“คำถามเจ้าเล่ห์เช่นนี้ ถ้าใครตอบได้ข้าจะให้เลยห้าร้อยตำลึงเงิน”
กู้ชูหน่วนตาเป็นประกายและถูกำปั้นของตัวเอง นางกำลังขาดเงินอยู่พอดี
“ชิวเอ๋อร์ เจ้าบอกเขาสิ หานอ๋องกับข้ารวมกันเป็นเท่าไหร่”
ชิวเอ๋อร์กลอกตาไปรอบๆ ทันใดนั้นก็ยิ้มและเอ่ยออกมาว่า “รวมเป็นการรู้สภาพอากาศ ข้าเดาถูกหรือไม่เจ้าคะคุณหนู”
กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างพอใจ “เด็กคนนี้มีแววนี่นา”
เซี่ยวอวี่เซวียนตะลึง
“หานอ๋องกับเจ้ารวมกัน เหตุใดจึงเป็นการรู้สภาพอากาศเล่า”
“ยามราตรีอากาศหนาวรวมกับกู้ชูหน่วน ไม่ได้รวมเป็นสภาพอากาศหรอกหรือ เป็นไปได้ไม่ใช่หรือที่ความรู้สึกของหานอ๋องกับข้าจะรวมกัน เจ้าเข้าใจหรือยัง” (หาน จากชื่อหานอ๋องแปลว่า หนาว / หน่วน จากชื่อกู้ชูหน่วนแปลว่า อบอุ่น)
เซี่ยวอวี่เซวียนถึงกับพูดไม่ออก
เขาแพ้แล้ว
เขาพ่ายแพ้ให้กับแม่สาวอัปลักษณ์กู้ชูหน่วนรึ
ใครบอกว่านางเป็นพวกหัวขี้เลื่อย?
เขาลุกขึ้นยืน รับรองว่าจะไม่ฆ่าเขา
กู้ชูหน่วนคล้องคอของเขาไว้ราวกับเป็นสหายที่สนิทสนมกัน ไม่สนใจการรักษาระยะห่างระหว่างชายหญิงเลยแม้แต่น้อย
“ข้าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเซวียนเซวียน การแพ้ให้กับพี่ใหญ่อย่างข้าไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยสักนิด ต่อไปข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง เอาละ เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ก่อนสิ แล้วควักห้าร้อยตำลึงเงินออกมาด้วย ยอมแพ้พนันเสียดีๆ”
“摸鱼 จับปลา” เป็นคำสแลงที่มีความหมายว่า “อู้งาน/แอบอู้” มาจากสำนวน 浑水摸鱼 แปลว่า จับปลาในน้ำขุ่น ซึ่งหมายถึงการถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ในขณะที่เกิดความสับสนวุ่นวาย