บทที่ 164
ตัวประกันจงผู้ไม่ธรรมดา
แต่หากว่ากันตามตรง ความรู้สึกของเด็กคนเมื่อกี้เฉียบแหลมมาก ซึ่งเขานั้นสามารถที่จะมองออกได้ว่าจริงๆแล้วนางคือผู้หญิง
มองไปที่อาจารย์ที่น่าหงุดหงิดของนางที่เดินนำหน้านางไป หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัวของนางอย่างช่วยไม่ได้ นิสัยของอาจารย์ของนางที่ชอบไปเก็บคนมาจากข้างถนนควรที่จะเลิกได้แล้ว ถ้าเกิดว่าเป็นคนที่มีภูมิหลังหรือตัวตนที่ยุ่งยากล่ะก็ นางเกรงว่า…..ช่างเถอะ ลืมไปเสียดีกว่า อย่างไรเสียอาจารย์ก็ไม่สนใจอยู่แล้ว เขาไม่เคยกลัวปัญหาใดๆทั้งนั้น
เมื่อเข้าไปในห้อง หลินซีเหยียนก็พบผู้ชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ที่เตียง ดวงตาของเขาหลับสนิทแล้วริมฝีปากของเขาก็ได้สีดำสลับม่วง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเขานั้นถูกพิษอยู่
“ว่ายังไงลูกศิษย์ เจ้าคิดว่าเขาถูกพิษทันทีที่เห็นใช่ไหม?”
เทียนหยาก็ได้กล่าวขึ้นมาราวกับสามารถอ่านใจของนางได้ แต่ก่อนที่หลินซีเหยียนจะได้พูดอะไรออกไป นางก็ได้กล่าว “จริงๆแล้วตอนแรกอาจารย์เองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน แต่ต่อมาจึงพบว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ถูกพิษ แต่เขากลับอยู่ในสภาวะหลับใหล แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีการไหนๆ เขาก็ไม่ฟื้นขึ้นมาเลย”
หลินซีเหยียนที่ได้ฟังจากที่ผู้เฒ่าเทียนหยาอธิบายแล้ว หลินซีเหยียนก็ผุดความคิดว่าเป็นอาการสมองตายหรือไม่ก็เจ้าหญิงนิทราขึ้นมาในใจ อย่างแรกให้ตัดออกไปได้เลยเพราะคนไข้นั้นยังคงสามารถหายใจด้วยตัวเองได้อยู่ แล้วอย่างที่สองนั้นก็ไม่น่าจะทำให้มีริมฝีปากสีม่วงด้วย!
“เขามีสภาพนอนนิ่งเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว?” หลินซีเหยียนก็มองไปที่เด็กหนุ่มแล้วถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง
เด็กหนุ่มก็ได้รู้สึกลังเล แล้วก็กัดฟันตอบออกมา “ข้าก็จำไม่ได้อย่างชัดเจน แต่ก็น่าจะสัก 5 วันหรือมากกว่านั้น”
หลินซีเหยียนก็ได้มีความคิดผุดขึ้นมาในหัวของนาง ถ้าคนคนนี้ถูกพิษขึ้นมาแล้วเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย จึงได้ทำการบังคับพิษไปไว้ที่จุดจุดหนึ่งแล้วทำการกักเก็บเอาไว้ที่จุดนั้น จากนั้นตัวเองก็ตกอยู่ในสภาวะตายแบบหลอกๆนี้
เมื่อมีความคิดเช่นนี้หลินซีเหยียนก็ได้รีบลงมือทำการทดสอบพิษไปทั่วร่างกายของเขา แล้วเอาเข็มเงินปักลงไปที่แขนขาของเขาแต่ก็ไม่แสดงอาการใดๆ แต่พอเข็มเงินปักลงไปที่ท้องน้อยของเขาก็ได้มีสีเปลี่ยนไปและกลายเป็นสีเข้มมาก
“ดีมากศิษย์รัก สมกับที่เป็นเจ้าจริงๆที่สามารถคิดออกได้”
แววตาของผู้เฒ่าเทียนหยาก็ได้สว่างขึ้นมา แล้วเขาก็ได้ก้มหน้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้ทำตามที่หลินซีเหยียนทำ เขาได้ปักเข็มเงินลงไปที่ท้องของผู้ป่วยแล้วจากนั้นก็ได้ดึงออกมาซึ่งก็กลายเป็นสีดำสนิท
หลังจากที่มองไปที่สีของเข็มเงินแล้ว ผู้เฒ่าเทียนหยาก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เขาถูกพิษจริงๆด้วย”
และพิษนี้ก็ยังรุนแรงมากเสียด้วย ชายคนนี้คงคิดได้แค่ว่ามีหนทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่จะรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขานั้นมีความรู้ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
หลังจากที่พบสาเหตุ ต่อไปก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว ทำการวิเคราะห์องค์ประกอบของพิษแล้วจากนั้นก็ให้ยาแก้พิษไปตามอาการ
เมื่อชายคนนั้นฟื้นขึ้นมา เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยินดีเป็นอย่างมาก เขาได้วิ่งไปหาหลินซีเหยียนข้างนอกพร้อมกับถอดเอาจี้หยกที่เขาพกติดตัวออกมา “พี่สาวขอบพระคุณมากขอรับ ข้าไม่มีของมีค่าอะไรพกติดตัวมา จะมีก็แต่สิ่งนี้จะมอบให้ท่าน”
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่จี้หยกที่มีตัวหนังสือเล็กๆสลักที่อยู่ตรงหน้านางแล้ว ก็ได้ส่ายหัวแล้วกล่าว “จี้หยกอันนี้ดูมีราคามาก เจ้าเก็บเอาไว้เองเถอะ!”
“นายท่าน” ทันทีที่ชายคนนั้นลืมตาตื่นขึ้นมา เขาก็ได้มองไปรอบๆ แล้วก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงแหบๆ
หลินซีเหยียนได้ยินเช่นนั้น ก็ได้มองไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นด้วยดวงตาพินิจพิเคราะห์ “ข้าขอถามชื่อของท่านได้หรือไม่?”
เด็กหนุ่มคนนั้นก็ลังเลอยู่ขณะหนึ่ง แต่แล้วก็ได้บิดริมฝีปากของตัวเองแล้วพูดออกมา “ข้าเชื่อว่าพี่สาวไม่ใช่คนไม่ดีอะไร ข้าจะบอกท่านก็ได้ แต่ท่านต้องเก็บเป็นความลับนะ ข้าคือองค์ชายลำดับที่ 16 แห่งรัฐจง แล้วชื่อของข้าคือจงหงเซวียน และคนที่นอนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่พี่ชายของข้า แต่เป็นองครักษ์ของข้าชื่อเหลิ่งเถี่ย”
องค์ชายแห่งรัฐจง?
เกิดอะไรขึ้นที่รัฐจงกันแน่? หรือว่าการต่อสู้ระหว่าง องค์ชายด้วยกันนั้นจะหนักมากแม้แต่องค์ชายลำดับที่สิบหกก็ยังโดนหางเลขไปด้วย
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังอยากจะถามอะไร จงหงเซวียนอยู่นั้น เหลิ่งเถี่ยก็ได้เดินออกมาข้างนอกและบัง จงหงเซวียนเอาไว้ข้างหลังเขาด้วยท่าทีที่เหินห่างแล้วจากนั้นก็กล่าวอย่างระแวดระวัง “ขอบคุณแม่นางที่ช่วยชีวิตข้า แต่พิษของข้าหายดีแล้ว ข้าไม่ขอรบกวนพวกท่านอีก”
จากนั้นเขาก็ได้ปกป้ององค์ชายสิบหกแล้วก็เตรียมที่จะไป แต่หลินซีเหยียนก็ได้ห้ามเอาไว้ “เรื่องของที่นี่จะถูกเก็บเป็นความลับ พวกท่านอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถอะ ถ้าพวกท่านไม่เชื่อข้าก็ไม่เป็นไร แต่พวกข้าจะไปกันแล้ว”
หลังจากที่หลินซีเหยียนพูดจบ เขาก็ได้จากไปพร้อมกับผู้เฒ่าเทียนหยาและผู้เฒ่าเทียนหยาก็ได้เงียบไปตลอดทาง หลินซีเหยียนก็คิดว่าเขาคงจะสำนึกผิดกับนิสัยของตัวเองแล้ว เมื่อได้รู้ถึงตัวตนที่ไม่น่าเชื่อของจงหงเซวียนกับเหลิ่งเถี่ย
แต่หลังจากที่เงียบไปอยู่พักใหญ่ๆ นางก็ได้ยินเสียงผู้เฒ่าเทียนหยาถอนหายใจ แล้วจากนั้นก็กล่าว “เฮ้อ ข้าไม่นึกเลยว่าชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของข้าเทียนหยา จะต้องมาพ่ายแพ้ให้กับลูกศิษย์ของข้าเช่นนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัวของนาง ซึ่งกลายเป็นว่าอาจารย์นั้นรู้สึกเสียใจเพราะลูกศิษย์ก้าวข้ามตัวเองไปเท่านั้น…..
“ท่านอาจารย์อย่าได้เสียใจไปเลยเจ้าค่ะ อย่างไรเสียหากว่าไม่มีท่านอาจารย์ ก็คงไม่มีศิษย์ในวันนี้หรอกเจ้าค่ะ!”
เดิมทีนางแค่คิดจะปลอบเขาอย่างสุภาพเท่านั้น แต่ไม่นึกว่าผู้เฒ่าเทียนหยานั้นกลับคิดเป็นจริงจังแล้วกล่าวอย่างยินดี “ใช่แล้ว ทั้งหมดต้องขอบคุณการชี้แนะของข้า!”
แล้วหลินซีเหยียนกับผู้เฒ่าเทียนหยาก็ได้กลับไปที่พระราชวังรัตติกาล แต่พวกนางก็ต้องพบกับคนที่อยากพบเป็นคนท้ายๆเข้าเสียได้ เจียงเหวินจวิน องค์หญิงเพียงคนเดียวของรัฐเจียง
เจียงเหวินจวินนั้นเดิมทีมาเพื่อพบกับพี่ชายของ นางเจียงหวายเย่ แต่นางก็ไม่นึกว่าจะได้พบกับหลินอวิ๋นเซวียน ชายคนที่นางอยากพบเป็นอย่างมากเข้า
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่องค์หญิงที่กำลังตกใจอยู่ตรงหน้านาง แล้วนางก็ได้ถอนหายใจออกมาในใจ อย่างไรก็ดีเนื่องด้วยความสัมพันธ์ของนางแล้ว นางไม่อาจจะที่จะหันหลังหนีไปทันทีได้ จึงได้กล่าวทักทายอย่างสุภาพไป “คารวะองค์หญิงเหวินจวิน”
องค์หญิงเหวินจวินก็ได้ตกใจเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าของนางก็ได้แดงขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างอายๆ “คุณชายรู้จักข้าด้วย หรือว่าท่านจะไปตรวจสอบเรื่องของข้ามา?”
“องค์หญิงนั้นมีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดิน จึงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ข้าจะรู้จัก”
ใบหน้าของหลินซีเหยียนนั้นยังคงนิ่งเฉยและไม่ได้แสดงถึงความดีใจที่ถูกชมโดยองค์หญิงเลย ซึ่งทำให้องค์หญิง เหวินจวินรู้สึกผิดหวัง
“มัวมายืนทำบื้ออะไรอยู่ที่นี่ ข้าจะไปหาศิษย์พี่ของข้า!”
เทียนหยาก็ไม่เข้าใจว่าทั้งสองคนนั้นกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ เขาจึงได้ตะโกนออกไปอย่างหมดความอดทน “หลีกไป! หลีกไป!”
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่เขาโดยไม่ได้พูดอะไร ส่วน องค์หญิงเหวินจวินนั้นไม่เข้าใจหมายถึงอะไร แล้วสุดท้ายทั้งนางกับองค์หญิงเหวินจวินก็ได้ถูกทิ้งเอาไว้อยู่ที่ระเบียง
การที่ถูกทิ้งให้เหลือแค่สองคนเช่นนี้ทำให้องค์หญิง เหวินจวินรู้สึกไม่เป็นปกติเล็กน้อย นางก็ได้ก้มหน้าลงและพยายามที่จะปิดบังใบหน้าที่แดงและร้อนของนาง
“ท่านเป็นเพื่อนขององค์ชายงั้นเหรอ?”
“ใช่”
“แล้วคุณชายนั้นมาหาท่านพี่ของข้าบ่อยไหมเจ้าคะ?”
“บางครั้ง”
แล้วทั้งสองคนก็ได้ถามตอบกัน ถึงแม้ว่าหลินซีเหยียนจะตอบแค่คำสองคำทุกครั้งไปก็เถอะ แต่ก็ทำให้องค์หญิงเหวินจวินนั้นรู้สึกพอใจอย่างมาก แล้วจากนั้นสาวใช้ของนางก็ได้เข้ามาเตือนนาง แล้วนางก็นึกขึ้นได้ว่านางนั้นยังมีธุระต้องไปทำต่อ จากนั้นนางจึงได้รีบออกไป
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่แผ่นหลังของนาง แล้วคิดว่านางจะต้องไปนัดแนะเรื่องนี้กับเจียงหวายเย่แล้ว ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้องค์หญิงเกิดความสงสัยได้ในอนาคต
พอหลินซีเหยียนเข้ามาในท้องโถงก็พบว่าทุกคนได้นั่งล้อมโต๊ะกันอย่างเรียบร้อยแล้ว และอาหารที่น่าอร่อยนี้ก็ชวนน้ำลายสอยิ่งนัก
“เจียงหวายเย่ หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ข้ามีบางอย่างจะบอกกับท่าน”
เมื่อเจียงหวายเย่ได้ยินที่กล่าว เขาก็ได้หยุดตะเกียบของเขาแล้วมองมาที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาที่พิเศษ
หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดแล้วกล่าวอย่างพูดไม่ออก “อย่ามาคิดอะไรเจ้าเล่ห์ เป็นเรื่องของจงซู่เฟิงต่างหาก”