หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.443 – ความจริงที่ซ่อนอยู่

 

กู่ฉิงซานเอ่ยย้ำอีกครั้งว่าต้องการสังหารหวังหงษ์เต๋า ทว่าคราวนี้เซ่าหวูชุ่ยมิได้คำรามสวนกลับมาด้วยความโกรธอีกต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันเซ่าหวูชุ่ยก็มิได้ให้คำตอบใดๆกลับมาเช่นกัน อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าบนใบหน้าของเขามิได้ตอบสนองๆใดเลยต่างหาก ทั้งความตื่นเต้นและความโกรธที่ผสมปนเปกันเมื่อครู่มันได้จางหายไปจนหมดสิ้น สีหน้านิ่งค้างกลายเป็นว่างเปล่า

 

เขามองไปยังกู่ฉิงซานด้วยแววตาล้ำลึก

 

– คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ราวกับเป็นคนอื่นที่มิใช่ฉีหยานเลย

 

“หยิงเหมย เจ้าคิดว่าพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยเสียงต่ำ

 

เย่หยิงเหมยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

“ในเมื่อเรื่องราวมันได้มาถึงจุดนี้แล้ว ทั้งเจ้าและข้าคงไม่อาจปล่อยให้เขาตายได้อีกต่อไป” เธอกล่าว

 

“เช่นนั้นแล้วเราจะสามารถพิจารณาให้ฉีหยานล่วงรู้เรื่องนั้นด้วยจะได้หรือไม่?” เซ่าหวูชุ่ยถาม

 

“แน่นอนว่าย่อมได้ เพราะท้ายที่สุดนี้ โลกใบใหม่นั้นอยู่ในกำมือของเขา”

 

“งั้นเชิญเจ้าบอกมันแก่เขาก่อนก็แล้วกัน”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

หลังจากเสร็จสิ้นการสนทนาเล็กน้อยๆ ทั้งสองก็หันมาทางกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

 

กู่ฉิงวานขมวดคิ้วแน่น เขาไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังกล่าวถึงเรื่องอะไร

 

เย่หยิงเหมย เอ่ยปากออกมาด้วยความลังเล “ฉีหยาน … ”

 

เธอถกปกคอเสื้อที่ร้อยเรียงไปด้วยขนนกสีจันทร์กว้างออกอย่างช้าๆ เปิดเผยให้เห็นถึงไหล่ละมุนออกมา

 

มันเป็นผิวที่เนียนละเอียด แม้จะขาวนวลแต่กลับระคนม่วง?

 

แต่นั่นไม่ใช่จุดสำคัญที่ต้องเพ่งมอง

 

เพราะบริเวณชั้นผิวของเย่หยิงเหมย มันได้ถูกปกคลุมได้ด้วยอักษรรูนสีดำ

 

รูนเหล่านั้นกำลังบิดเบือน และกระโดดไปมาราวกับว่าพวกมันมีชีวิต ขณะเดียวกันก็ดูน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง

 

อักษรรูนควบรวมกันก่อร่างเป็นกระบวนโซ่ตรวนบนผิวกายของเย่หยิงเหมย ขณะเดียวกันมันก็แผ่พลังอำนาจออกมาอยู่ตลอดเวลา

 

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

“นี่มันผนึกต้องห้าม … แบบนี้มันไม่ถูกต้อง เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ผู้ใดกันที่จะสามารถลงผนึกต้องห้ามกับเจ้าได้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

เย่หยิงเหมยกล่าว “ก็แล้วเจ้าคิดว่ายังมีใครอีกเล่าที่สามารถทำมันได้?”

 

กู่ฉิงซานนิ่งคิดไปไม่กี่ลมหายใจ

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

เขาถอนหายใจยาวออกมา

 

การแสดงออกอันอ่อนโยนของเย่หยิงเหมยได้หายไป

 

เธอนั่งอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน สงบเงียบจนน่าหวาดกลัว

 

“เนิ่นนานมาแล้ว ช่วงเวลาที่ข้ายังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแก่นทองคำ ท่านอาจารย์ได้ลงผนึกต้องห้ามบนตัวข้า นับตั้งแต่นั้นมา ข้าก็มิอาจต่อต้านเขาได้อีกเลย ด้วยผนึกนี้ เขาสามารถบงการข้าได้ดั่งใจนึก กล่าวได้ว่า หากข้าต้องการจะตาย เขาก็สามารถบังคับให้ข้าทนมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเจ็บปวดได้ ในทางตรงกันข้าม หากเขาต้องการให้ข้าตาย ข้าก็มิอาจปฏิเสธได้เลย

 

“ในวันเดือนปีที่ผ่านพ้น ในแต่ละช่วงเวลาที่ข้าทะลวงฝ่าขอบเขตพื้นฐานวรยุทธ หวังหงษ์เต๋าก็จะคอยเสริมอานุภาพของผนึกต้องห้ามนี้บนร่างกายข้าเสมอมา”

 

“ฉะนั้น นับตั้งแต่ครั้งอยู่ในช่วงแก่นทองคำ ตัวข้าก็สูญสิ้นซึ่งอิสระภาพไปแล้วตลอดกาล และจะต้องเชื่อฟังทุกสิ่งอย่างที่เขาพูดและบัญชา”

 

เย่หยิงเหมยเอ่ยปากกล่าว และค่อยขยับชายปกเสื้อกลับคืนอย่างช้าๆ

 

เธอเอ่ยเสียงกระซิบ “ข้าไม่มีหนทางที่จะสามารถโจมตีหวังหงษ์เต๋าได้เลย”

 

กู่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ และทันใดนั้นในหัวใจของเขาก็เริ่มเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นเล็กน้อย

 

หลังจากต่อสู้มาร่วมสองชีวิต กู่ฉิงซานกล้าบอกได้เลยว่าเขาได้พบเห็นศัตรูมาแล้วมากมายหลายประเภท

 

แต่ศัตรูที่น่ารังเกียจดั่งเช่นหวังหงษ์เต๋าผู้นี้ นับว่าเป็นตัวตนที่พบเจอได้ยากยิ่ง

 

“เช่นนั้นก็ลืมมันเถอะ ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าไม่ต้องลงมือหรอก”

 

กู่ฉิงซานมองไปทางเซ่าหวูชุ่ยและกล่าว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็เหลือแค่เราสองแล้-”

 

เซ่าหวูชุ่ยส่ายหัวและกล่าว “ตามร่างกายของข้ามีแมลงมารอยู่กว่า 81 ตัว หากแม้นข้าบังเกิดความนึกคิดชั่วร้ายเกี่ยวกับเขาแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะสามารถสั่งให้ข้าตายได้ทันที”

 

สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยกลายเป็นกลัดกลุ้มมากขึ้น “ข้าได้กลายเป็นผีดิบในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า กลายเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของเขาแล้วตลอดกาล”

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ของทั้งสอง

 

ในขณะนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมสองขีดสุดความว่างเปล่าทั้งคู่นี้ถึงยินดีที่จะเปิดเผยความลับแก่ตนเอง

 

เพราะตราบใดที่สามารถหนีไปยังโลกใหม่ได้ ต่อให้หวังหงษ์เต๋าคิดจะควบคุมทั้งสอง เขาก็ไม่สามารถที่จะทำมันได้อีกต่อไป

 

เพราะโลกใหม่มิใช่โลกเดิม มันย่อมมีกฏกณฑ์และกำแพงอุปสรรคที่แตกต่างจากกันและกัน

 

เมื่อไหร่ที่ทั้งสองได้ไปอยู่ในโลกใหม่ หวังหงษ์เต๋าก็จะไม่สามารถกระตุ้นผนึกต้องห้ามของเย่หยิงเหมย หรือไม่สามารถสั่งการแมลงมารที่อยู่ในกายของเซ่าหวูชุ่ยได้อีกต่อไป

 

กระบวนการนี้เปรียบดั่งตะเกียงไฟที่คอยสาดแสงนำทางให้แก่ผู้ฝึกยุทธ

 

เมื่อผู้ฝึกยุทธออกจากโลกใบนี้ มันก็จะดับลงทันที คล้ายคลึงกันกับในกรณีที่ผู้ฝึกยุทธได้เสียชีวิตลงไปแล้วนั่นเอง

 

หากข้ามผ่านระหว่างสองโลก ตะเกียงไฟที่ว่านั่นจะไม่สามารถตรวจจับถึงตัวตนของผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในโลกอื่นได้

 

ดังนั้น การย้ายไปยังโลกใบใหม่ คือโอกาสเดียวเท่านั้นที่เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้!

 

มันเป็นโอกาสเดียวที่พวกเขาจะหลุดจากการควบคุมของหวังหงษ์เต๋า

 

หากมิใช่เพราะว่าพวกเขาคือตัวตนในระดับขีดสุดความว่างเปล่าแล้วล่ะก็ ทั้งสองคงจะแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้าไปแล้ว

 

แต่พวกเขาไม่สามารถลงมือได้นี่สิ

 

ในเมื่อผลลัพธ์มันพลิกผันออกมาเป็นแบบนี้ แล้วกู่ฉิงซานสมควรจะใช้วิธีการใดในการรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ดี?

 

กู่ฉิงซานหยิบชาวิญญาณขึ้นมาแล้วค่อยๆจิบมันเบาๆ

 

แล้วก็นึกขึ้นได้ถึงหน้ากากสตรีแห่งรากษส

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองไปที่หน้ากาก

 

หน้ากากนี้ทำจากหยกวิญญาณที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพดีที่สุด

 

ภายใต้การสำรวจอย่างรอบคอบด้วยจิตสัมผัสเทวะ คุณจะสามารถเห็นได้ถึงทุกรายละเอียดและหยกวิญญาณภายในหน้ากาก

 

มันเป็นแค่หน้ากากจริงๆ

 

ในตอนที่จิ้งจอกขาวมอบหน้ากากให้แก่ตนเอง เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยก็ปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าใส่มันไปแล้ว

 

และตนเองก็ยังได้ทำการตรวจสอบมันอย่างรอบคอบด้วยจิตสัมผัสเทวะแล้วเช่นกัน

 

มันก็เป็นแค่หน้ากาก และไม่มีความผิดปกติใดๆ

 

แต่การที่สตรีแห่งรากษสมอบหน้ากากนี้ให้ตนเอง แท้จริงแล้วมันจะมีความนัยอะไรแฝงเอาไว้กันแน่นะ?

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่หน้ากาก

 

บนหน้ากาก สตรีแห่งรากษสกำลังจ้องมองสวนกลับมาเข้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แววตาและการแสดงออกของเธอดูมีชีวิตชีวาและเหมือนจริงมาก

 

ลืมมันเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

กู่ฉิงซานล้มเลิกความคิดนั้นไป และเริ่มที่จะมาพิจารณาถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของเขา

 

แม้ว่าทุกสิ่งที่วางไว้มันจะยังไม่สมบูรณ์ แต่มันก็ช่วยให้กู่ฉิงซานผ่อนคลายมากขึ้น

 

เพราะอย่างน้อยสำหรับตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ได้สะสางภารกิจที่มันคั่งค้างมานานได้เสียที

 

กู่ฉิงซานถอนสายตาจากหน้ากาก แล้วมองไปยังช่วงบนของหน้าต่างระบบเทพสงคราม เพื่ออ่านเส้นแสงหิ่งห้อยมากมายที่ปรากฏขึ้น

 

“คุณได้สังหารผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพขั้นแรก หวูซาน”

 

“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ 400 แต้ม”

 

“แต้มพลังวิญญาณในปัจจุบัน : 1603/300”

 

“ภารกิจพิเศษ : หวูซานจะต้องตาย”

 

“คำอธิบายภารกิจ :  โปรดทราบว่าในโลกใบใหม่ที่คุณไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิงนี้ ยังมีอีกหนึ่งผู้ฝึกยุทธที่ยังคงรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธและโลกเทวะ”

 

“รางวัลภารกิจ : ผู้เล่นสามารถระบุภารกิจอื่นๆที่ได้รับมอบหมาย ให้เสร็จสมบูรณ์ได้เลยในทันที”

 

“คำอธิบาย : ตอนนี้คุณสามารถรับรางวัลจากภารกิจนี้ได้แล้ว”

 

สายตาของกู่ฉิงซานตกลงไปช่วงล่างของหน้าต่างระบบเทพสงคราม ใจกลางความมืดมิด

 

‘ระบบ , ถ้าอย่างนั้นฉันสามารถใช้มันเพื่อให้บรรลุภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตประทับเทพเลยได้ไหม?’

 

เขาเอ่ยถามในจิตใจอย่างเงียบๆ

 

ติ๊ง!

 

ระบบตอบสนองเสียงดังฟังชัด

 

“คุณจะต้องบรรลุไปถึงขอบเขตประทับเทพเสียก่อนจึงจะสามารถสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตประทับเทพได้ นี่คือกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติของการฝึกยุทธ มันคือเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมีของภารกิจ”

 

พอได้ยิน กู่ฉิงซานก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย

 

อย่างไรก็ตาม นี่มันก็ยังเป็นสามัญสำนึกที่พอจะยอมรับได้ หากตนเองไม่ได้อยู่ในขอบเขตประทับเทพ แล้วจะไปใช้พลังของขอบเขตประทับเทพได้อย่างไร? ยังมิอาจเข้าใจถึงกฏของฟ้าดินได้แท้ๆ แล้วจะไปสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง?

 

ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเร่งข้ามผ่านโทษทัณฑ์ให้มันเร็วขึ้นกว่าที่คิดซะแล้ว

 

กู่ฉิงซานลอบไตร่ตรองอย่างลับๆ

 

“ฉีหยาน แล้วตอนนี้เจ้าคิดจะทำยังไงต่อไป?”

 

เซ่าหวูชุ่ยเห็นเขาจมลงไปในความคิดอยู่พักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังมิได้เอ่ยคำใด จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างลังเลว่า “ในเมื่อพวกเจ้าไม่สามารถลงมือได้ เช่นนั้นพวกเราก็คงจะต้องมาช่วยกันพยายามค้นหาวิธีแก้ไขสถานการณ์กัน อาจจะเป็นการวางกับดักที่สามารถสังหารหวังหงษ์เต๋า -อะไรแบบนี้ก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

ทั้งสามยอมรับความคิดของกันและกัน แต่ก็มิได้กล่าวอะไรออกมา

 

นี่เป็นปัญหาที่สำคัญยิ่ง

 

—หวังหงษ์เต๋าย่อมไม่นิ่งดูดายปล่อยให้ฉีรั่วหยาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จเป็นแน่

 

ดังนั้นตอนนี้เขาสมควรที่จะมุ่งหน้าไปยังมิติที่ว่างเปล่า เพื่อขัดขวางการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของฉีรั่วหยา

 

สองประมาจารย์ตำหนักมองกู่ฉิงซานที่แสดงออกถึงใบหน้าที่สงบ แล้วอดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อย

 

“ฉีหยาน เหตุใดเจ้าจึงไม่เร่งไปแจ้งให้บิดาของเจ้ารู้เรื่องเล่า?” เย่หยิงเหมยเอ่ยถาม

 

“หรือว่าเจ้าและบิดาจะรู้อยู่แล้วว่าหวังหงษ์เต๋ากำลังจะไป?” เซ่าหวูชุ่ยก็ถามออกมาเช่นกัน

 

กู่ฉิงซานกลับยิ้มออกมา

 

“เรื่องนั้นปล่อยให้พวกเขาเป็นคนจัดการกันเองเถอะ” เขากล่าวอย่างแผ่วเบา

 

“เจ้าหมายความว่ายังไง?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม

 

“สองวันก่อน บิดาของข้าได้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์”

 

“แต่กระบวนการทั้งหมดของทัณฑ์สายฟ้าในขอบเขตลมปราณจิตจะกินเวลาแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน ดังนั้นยามนี้ มันจึงสมควรแก่เวลาที่เขาจะต้องกลับมาแล้ว”

 

“แต่วันนี้ ข้าได้กลับมาที่โลกของเรา ทว่ากลับมิได้ยินข่าวคราวอันใดเลย หวังหงษ์เต๋าเองก็ยังไม่ได้กลับมาเช่นกัน นี่พอจะบ่งบอกได้ถึงเรื่องราวบางอย่างได้”

 

“นั่นคือ หนึ่งผู้ได้รับบาดเจ็บในขั้นลมปราณจิต กับอีกหนึ่งคือผู้ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์ไปยังลมปราณจิต หากทั้งสองต่อสู้กันทั้งวันคืนจริงๆ ยามนี้ผลลัพธ์ก็น่าจะออกมาแล้ว กล่าวได้ว่าต่อให้ข้าเลือกที่จะลงมือในตอนนี้มันก็สายเกินไปอยู่ดี”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักผงกหัวเล็กน้อย

 

สิ่งต่างๆล้วนเป็นจริงเหมือนกับที่ฉีหยานกล่าวมา

 

ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้โจมตีหรือว่าผู้ถูกลอบโจมตี พวกเขาก็ย่อมต้องระเบิดพลังออกมาอย่างเต็มกำลัง และผลแพ้ชนะก็สมควรที่จะถูกตัดสินออกมาได้อย่างรวดเร็ว

 

กู่ฉิงซานกล่าว “ตั้งแต่ที่เขาไม่ได้กลับมา แถมหวังหงษ์เต๋าเองก็ไม่ได้กลับมาเช่นกัน นั่นย่อมแสดงว่าจะมีเหตุการณ์ที่เป็นไปได้อยู่สามกรณี”

 

“ในกรณีแรก คือบิดาของข้าชนะ แต่เขาจำต้องเร่งพักฟื้นทันทีและมิอาจเคลื่อนย้ายไปไหนได้ และนั่นเป็นกรณีที่ดีที่สุด เพราะหลังจากที่เขาเรียกคืนเรี่ยวแรงและกลับมา พวกเจ้าสามารถร่วมมือกับข้าและบิดา ออกเดินทางไปยังโลกใหม่ด้วยกันได้เลยในภายหลัง”

 

“แต่ยังไงก็ตาม สถานการณ์ที่ว่ามานี้ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะหวังหงษ์เต๋าได้เฝ้ารอมาหลายวันแล้ว เขาคงจะวางแผนละเอียดยิบและเตรียมการมาแล้วเป็นอย่างดีอย่างแน่นอน”

 

“ดังนั้นพวกเราจึงต้องมากล่าวกันถึงในกรณีที่สอง นั่นคือหวังหงษ์เต๋าชนะ แต่เขายังไม่กลับมา เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บ และจำต้องรักษาตัวทันที”

 

“ในกรณีที่สาม คือพวกเขาตายลงทั้งคู่และไม่มีใครสามารถกลับมาได้”

 

กู่ฉิงซานมองสองปรมาจารย์ตำหนัก ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากเป็นในกรณีแรกและกรณีที่สาม ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร”

 

“ทว่าหากเป็นในกรณีที่สอง ก็คงจำเป็นต้องระมัดระวังตัวไว้”

 

สองปรมาจารย์ตำหนักเฝ้ามองเขาที่กำลังวิเคราะห์ถึงสถานการณ์อย่างใจเย็น ในหัวใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม

 

แต่ฝ่ายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายน่ะ นั่นมันคือพ่อของเขานะ!

 

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นผู้ที่สามารถตัดสินเป็นตายของเขาได้ทุกเมื่อเช่นกัน!

 

สองปรมาจารย์ตำหนักลองจินตนาการดูว่า หากเป็นตนเองที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะยังสามารถใจเย็นได้เหมือนดั่งคนตรงหน้าหรือไม่

 

“ข้ากับหยิงเหมยไม่สามารถลงมือได้ … ” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวด้วยความลังเล

 

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราก็แค่ต้องช่วยกันวางแผนนิดๆหน่อยๆ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าลงมือ แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องเอาชีวิตของเขาให้จงได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เซ่าหวูชุ่ยส่ายหัว “ไม่เคยมีกับดักหรือวิธีการใดๆ ที่จะสามารถใช้สังหารขอบเขตลมปราณจิตได้ในคราวเดียว”

 

เย่หยิงเหมยยังกล่าวทับอีกด้วยว่า “แม้ว่าจะมีการจัดตั้งค่ายกลกับดักขนาดใหญ่ขึ้น และแม้ว่าตัวเขาจะได้รับบาดเจ็บก็ตามที แต่ในที่สุดก็ต้องมีคนที่คอยรับมือเผชิญหน้ากับเขาตัวต่อตัว หรือรับบทเป็นตัวล่ออยู่ดี”

 

กู่ฉิงซานผ่อนลมหายใจ

 

“สำหรับเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

 

ในที่สุดเขาก็กล่าวออกมา