ตอนที่ 158.3 กินเกลี้ยง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 158.3 กินเกลี้ยง โดย ProjectZyphon

ชุยฉานเห็นว่านางยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิมก็เอ่ยเสียงเย็น “ไสหัวออกไป”

สตรีแต่งงานแล้วรีบร้อนบอกลาทันใด

รอจนสตรีแต่งงานแล้วออกไปจากห้องลับ บุรุษชุดดำจึงถามว่า “ใต้เท้าราชครู จะไม่ฆ่าเว่ยหลี่จริงๆ หรือ?”

ชุยฉานยิ้มชั่วร้าย “เจ้าเดาสิ?”

บุรุษชุดดำรู้สึกหัวโตขึ้นมาจากเดิม รอยยิ้มจึงจืดเจื่อน “เดาความคิดของใต้เท้าราชครูไม่ออกจริงๆ เอาเป็นว่าข้าแค่ทำตามคำสั่งของท่านก็พอ”

ชุยฉานยกชาที่เย็นแล้วขึ้นดื่มอึกใหญ่ จากนั้นปิดฝาถ้วยแล้ววางลงบนโต๊ะ บอกความจริงเนิบช้า “ไม่ฆ่า เว่ยหลี่คือคนมีความสามารถที่วันหน้าต้าหลีของเรายินดีเรียกตัวมาใช้เหมือนกับพ่อเฒ่าลำคลองใต้บังคับบัญชาของเจ้าคนนั้น”

คราวนี้บุรุษชุดดำทำอะไรไม่ถูกแล้วจริงๆ

เอาเว่ยหลี่มาใช้งาน? เพราะอะไร? ขุนนางท้องถิ่นขั้นสี่ของแคว้นหวงถิงที่ไม่มีชาติตระกูลใหญ่โตคนหนึ่งก็เข้าตาราชครูต้าหลีด้วยหรือ?

 ชุยฉานไม่สนใจความฉงนสนเท่ห์ของเทพวารีแม่น้ำหันสือ เขาใช้นิ้วข้างหนึ่งเคาะโต๊ะเบาๆ พลางกล่าว “อันดับต่อไปไม่ใช่ว่าใกล้ช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงแล้วหรอกหรือ จวนมหาวารีของพวกเจ้าใช้วิธีเก่าแก่ที่คุ้นเคยกันดีมาทำให้เกิดคดีน่าสลดหดหู่ที่ทำให้ราษฎรในเขตการปกครองเดือดร้อนจนไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ ในขณะที่อารมณ์เคียดแค้นของชาวบ้านใกล้จะเดือดพล่านก็มอบโอกาสให้หลิวเจียฮุ่ยนำความไปบอกเว่ยหลี่ครั้งหนึ่ง บอกว่านายท่านผู้เฒ่าเทพวารีอย่างเจ้ารับปากเขาว่าจะช่วยทำให้สถานการณ์สงบลง อืม เว่ยหลี่ต้องสงสัยแน่ แต่ไม่เป็นไร เจ้าก็แสร้งทำเป็นรีดไถเงินจากเขา บอกให้เขาไปร้องขอกรอบป้ายมาจากกรมพิธีการ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาจะยังคลางแคลงใจ แต่เพื่อชาวบ้านในเขตการปกครองแล้วก็ยังต้องตอบรับอยู่ดี กว่ากองทัพต้าหลีใกล้จะบุกลงใต้ เจ้าสามารถปั่นหัวเว่ยหลี่แบบนี้ได้ตลอดเวลา รอจนกองทัพต้าหลีบุกมายึดเมือง ในช่วงเวลาสำคัญที่เว่ยหลี่เกิดปณิธานจะเฝ้าพิทักษ์เมืองจนตัวตาย เจ้าก็สามารถปล่อยข่าวออกไปว่าเว่ยหลี่สมคบคิดกับจวนมหาวารีของเจ้าเพื่อชื่อเสียงของตัวเอง เขาถึงได้สามารถเดินทีละก้าวมาจนถึงตำแหน่งสูงอย่างทุกวันนี้ ถึงเวลานั้นข้าอยากจะเห็นนักว่าชาวบ้านสองแสนคนในเมืองเล็กๆ นี้จะมีสักกี่คนที่ไม่ด่าเขาเว่ยหลี่จนไม่เหลือชิ้นดี ข้างกายเขาจะยังมีญาติมิตรอีกสักกี่คนที่ยังกล้าเชื่อใจเขา”

บุรุษชุดดำถามอย่างระมัดระวัง “นี่คือ?”

ชุยฉานกลอกตามองสูง “ยังมองไม่ออกอีกรึ? ข้าต้องการให้เว่ยหลี่อยู่ไม่สู้ตาย ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่าหลิวเจียฮุ่ยสักเท่าไหร่เลยจริงๆ”

เทพวารีแม่น้ำหันสือผู้ยิ่งใหญ่ขอคำชี้แนะอย่างร้อนตัวเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง “ขอใต้เท้าราชครูโปรดชี้แนะ”

ชุยฉานขดตัวอยู่ในเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่บัณฑิตตัวจริงรับไม่ได้มากที่สุดคืออะไร? ไม่ใช่ว่าได้เป็นขุนนางแล้วแต่ต้องมาเจอกับกษัตริย์โง่เง่าเลวระยำ เพราะแม้จะต้องผดุงคุณธรรมเพื่อชาติและชาวประชา ยอมทัดทานกษัตริย์อย่างไม่กลัวตาย สุดท้ายถูกตัดหัว แต่เมื่อกระทำสิ่งที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้ทิ้งชื่อไว้ได้ประวัติศาสตร์ และถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่แผ่นดินล่มสลายโดยที่ตนไม่มีปัญญาเหนี่ยวรั้งแก้ไข ได้แต่ทนมองชาติบ้านเมืองพังภินท์ไม่เหลืออะไรเลย เพราะต่อให้เป็นเช่นนี้ เหล่าบัณฑิตก็ยังสามารถหนีพ้นจากโลกอันวุ่นวาย หรือไม่ก็สามารถให้กวีแต่งกลอนแสดงความเจ็บแค้นต่อแคว้นที่โชคร้าย เรื่องที่พวกเขารับไม่ได้อย่างแท้จริงก็คือ…”

เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้โคลงศีรษะ “คือบัณฑิตที่แท้จริงอย่างเว่ยหลี่ ในฐานะของลูกศิษย์สำนักขงจื๊อ เพื่อความไม่สงบสุขใต้หล้าแล้ว ถึงกับตัดสินใจเข้าวงสังคมอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมล้มลุกคลุกคลาน เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลอยู่ในวงการขุนนาง แต่พอมาถึงท้ายที่สุด เขากลับทุ่มเทแรงกายแรงใจ กระทำกรรมดีให้แก่โลกใบนี้มากที่สุด ทว่าสิ่งที่พวกเขาได้คืนมากลับไม่ใช่ความดีในระดับเท่าเทียมกัน ซ้ำร้ายยังกลับกลายเป็นว่าต้องเผชิญกับสิ่งชั่วร้าย สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริงกลับไม่ได้มาแม้แต่เสี้ยวเดียว ไม่เพียงแต่ญาติมิตรทรยศพาตัวออกห่าง ไม่เพียงแต่มองดูเหมือนเขาทรยศต่อบ้านเมืองและปวงประชา ในความเป็นจริงแล้วทุกคนต่างหากที่ทรยศต่อเขา อืม ข้าต้องการให้เว่ยหลี่ลิ้มรสชาติความรู้สึกเช่นนี้”

บุรุษชุดดำทอดถอนใจ “ลองคิดในมุมของเขาแล้วก็เหมือนว่าอยู่ไม่สู้ตายจริงๆ”

ทันใดนั้นเขานึกถึงสตรีแต่งงานแล้วที่ให้ความสำคัญกับความรักผู้นั้น ก็ให้ปลงอนิจจัง “สมมติว่าเว่ยหลี่รู้เรื่องในห้องลับวันนี้ เขาต้องหวังให้วันนี้หลิวเจียฮุ่ยรับปากสังหารเขาแน่นอน”

ชุยฉานวางฝ่ามือไว้บนถ้วยชา กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หลังจากที่เว่ยหลี่สิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมข้าจะทำให้เขาได้รู้ เพราะในจดหมายที่หลิวเจียฮุ่ยทิ้งไว้ตอนที่เลือก ‘ฆ่าตัวตาย’ ได้บอกความจริงทั้งหมดแก่เขา บอกว่าแท้จริงแล้วนางคือแขกผู้มีเกียรติของจวนมหาวารี คือสายลับของต้าหลี บอกว่านางละอายใจอย่างมาก นางรู้สึกผิดต่อเว่ยหลี่ สุดท้าย…น่าจะยังเขียนว่านางรักเขาเว่ยหลี่อย่างยิ่ง”

แม้จะเป็นถึงเทพแม่น้ำ แต่บัดนี้ชายชุดดำกลับขนตั้งชันแทบทั้งตัว ในใจโอบล้อมด้วยไอเย็น

“เว่ยหลี่คือต้นกล้าที่ดี ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจกลายเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ข้าภาคภูมิใจ ดังนั้นเจ้าอย่าเอาแต่ชมเรื่องสนุก เมื่อถึงเวลานั้นหากเขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย เจ้าต้องห้ามเขาเอาไว้”

ชุยฉานแย้มยิ้มลุกขึ้นยืน หันหน้าไปเห็นสีหน้าแข็งทื่อของเทพวารีแม่น้ำหันสือที่ก็เอ่ยเย้า “อีกอย่างเจ้าจะต้องกลัวอะไร ในเมื่อเจ้ามีพ่อที่ดี”

ได้ยินประโยคนี้ ความรู้สึกของบุรุษชุดดำก็ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด

ชุยฉานเขย่งปลายเท้า ยื่นมือไปตบไหล่เขา ปลอบใจด้วย ‘รอยยิ้มอ่อนบาง’ “จุดลึกในใจมีปราณสังหาร แม้แต่ตัวเจ้าเองก็อาจจะไม่รู้ แต่ไม่เป็นไร สำหรับข้าแล้ว เจ้าและพ่อของเจ้าคือมดที่ตัวค่อนข้างใหญ่ พวกเจ้าอยู่หรือจาก สุขหรือเศร้า เคียดแค้นหรือเคารพ หากข้าอารมณ์ดีก็จะให้การดูแล ช่วยปลอบใจเป็นอย่างดี แต่หากอารมณ์ไม่ดีก็ควรรู้ว่าแคว้นสู่บรรพกาลมีเจียวหลงที่หายากชนิดหนึ่งซึ่งมีนิสัยชอบกินพวกเดียวกัน ข้าก็จะ…”

ดวงตาของเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลามีแสงสีทองประหลาดตั้งตรงผุดขึ้นมาในลูกตาดำอย่างไร้ลางบอกเหตุ เขาเอ่ยเสริมด้วยถ้อยคำไร้เดียงสา น้ำเสียงที่แผ่วบาวราวกระซิบ “กินพวกเจ้าให้เกลี้ยง”

บุรุษชุดดำยืนนิ่งไม่ขยับ มีเพียงลูกกระเดือกเท่านั้นที่เคลื่อนน้อยๆ คราวนี้เหงื่อหลั่งเต็มสันหลังของเขาอย่างแท้จริง

ฝ่าเท้าที่เขย่งสูงของชุยฉานสัมผัสโดนพื้นอีกครั้ง เขาพูดยิ้มแย้ม “มองเจ้าตกใจเข้าสิ กลับไปที่จวนมหาวารีของเจ้าเถอะ วันหน้าเจ้าเองก็จะเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ เป็นชนชั้นสูงอันดับหนึ่งกลุ่มใหม่ของต้าหลีเราเช่นเดียวกับเว่ยหลี่ ไม่ต้องกลัวนะ”

ตีให้ตายบุรุษชุดดำก็ไม่ยอมขยับเท้า แล้วก็ไม่พูดไม่จา ยืนกรานจะยืนที่เดิมอยู่อย่างนั้น

ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่มอบประโยคว่า “ดูเจ้าตกใจเข้าสิ” ให้กับหลิวเจียฮุ่ย มองดูเหมือนน่าตกใจแต่ไร้อันตราย ทว่าความจริงล่ะ?

แล้วตอนนี้ตนได้ยินคำว่า “มองเจ้าตกใจเข้าสิ” ต่างกันแค่คำเดียว แต่มีอะไรที่ไม่เหมือน?

ชุยฉานแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง เอ่ยขออภัย “คราวนี้เจ้าคิดมากจริงๆ แล้ว”

บุรุษชุดดำได้แต่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก

ชุยฉานคิดแล้วก็หันไปหยิบถ้วยชาขึ้นมา ดื่มชาอึกสุดท้ายที่เหลืออยู่ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็วางถ้วยชาลง เอ่ยเบาๆ ว่า”วันหน้าหากข้ากับบิดาของเจ้าให้ความช่วยเหลือ แล้วเจ้าสามารถกลืนกิน ‘ครึ่งหนึ่ง’ นั้นได้สำเร็จ ผูกติดกับชะตาแคว้นของต้าหลีอย่างแน่นแฟ้น เชื่อว่าเจ้าก็จะสามารถวางใจได้อย่างเต็มที่แล้ว เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่า เรื่องที่เกือบจะใหญ่ยิ่งกว่ามหามรรคานี้ บิดาเจ้าไม่มีข้อได้เปรียบมาตั้งแต่กำเนิดอย่างเจ้า ข้าเองก็เช่นกัน ถึงเวลานั้นเจ้าถึงจะมีคุณสมบัติได้นั่งทัดเทียมกับข้า”

บุรุษชุดดำอึ้งค้างอยู่กับที่ หลังจากนั้นก็ก้มหน้ากุมมือประสาน สายตาฉายแววร้อนแรง ไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพราะทั้งหมดนี้ล้วนไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย

ชุยฉานโบกมือไล่คน “ไสหัวไปเถอะ”

บุรุษชุดดำเหมือนได้รับการอภัยโทษ นอกจากนี้ยังดีใจเป็นล้นพ้น ร่างทั้งร่างกลายเป็นกลุ่มควันสีดำอ่อนจางที่พุ่งทะยานจากไป

ชุยฉานยืนสองมือไพล่หลัง หลับตาลง สาวเท้าเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องลับที่หรูหราโอ่โถง

สุดท้ายชุยฉานเงยหน้าขึ้น สายตาจ้องมองไปยังกำแพงด้านหนึ่งราวกับกำลังมองไปยังจุดที่ห่างไกล “ตาแก่ ในที่สุดก็ไปสักทีนะ”

ชุยฉานยิ้มตาหยี ก้าวยาวๆ ออกไปนอกห้อง

……

ตอนที่ชุยฉานค่อยๆ ย่องกลับมาที่ลานบ้านอีกครั้ง ระหว่างหัวคิ้วยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความลำพองใจ

ไม่มีตบะแล้วอย่างไร? ก็ยังสามารถจับเจ้าพวกโง่นั่นมากำเล่นในฝ่ามือได้เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ?

ในลานบ้าน เฉินผิงอันกำลังขอความรู้จากหลี่เป่าผิงเรื่องการสร้างสุสานของชนชั้นสูงว่าต้องพิถีพิถันในเรื่องใดบ้าง

เพราะเฉินผิงอันคิดมาโดยตลอดว่าวันหน้าเมื่อตนมีเงินแล้วจะต้องพยายามซ่อมแซมและสร้างหลุมศพขนาดเล็กที่ไม่มีแม้แต่ป้ายหน้าหลุมศพนั้นออกมาให้ดีที่สุด

ในเมื่อตอนนี้อยู่ห่างจากต้าสุยอีกไม่ไกลแล้ว นี่หมายความว่าอีกไม่นานเขาก็ต้องเดินทางกลับ เมื่อกลับไปถึงบ้านเกิดแล้ว เรื่องแรกที่ทำย่อมต้องเป็นเรื่องนี้

ไม่จะบอกว่าทุกครั้งที่เฉินผิงอันขึ้นเขาลงเขาจะต้องกอบดินมากำมือหนึ่งเพื่อเพิ่ม “ดินหนา” ให้กับหลุมศพของบิดามารดา ทว่านี่คือกฎเกณฑ์เก่าแก่ที่พวกช่างปั้นรุ่นอาวุโสสืบทอดกันต่อมา จะอย่างไรก็สู้สร้างสุสานดีๆ ที่สร้างความสบายใจให้คนไม่ได้ การเดินทางไกลบ้านครั้งนี้ เฉินผิงอันได้รู้เรื่องมากมายที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้ ยกตัวอย่างเช่นคำกล่าวที่ว่า “ปฏิบัติต่อผู้ตายเหมือนพวกเขามีชีวิตอยู่” นี่ยิ่งทำให้เฉินผิงอันละอายใจมากกว่าเดิม

หลี่เป่าผิงรู้ไม่มาก พออธิบายให้เขาฟังคร่าวๆ แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวกลับไปจะส่งจดหมายไปถามพี่ชายใหญ่

เฉินผิงอันเองก็ไม่ซักถามอะไรอีก เพราะอย่างไรซะขอแค่ในกระเป๋ามีเงิน ทุกอย่างก็ล้วนพูดง่าย ปัญหาใหญ่เทียมฟ้าในอดีตไม่อาจนับเป็นอะไรได้อีก

เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จึงถามแม่นางน้อยว่าอักษรคำว่าฉานของชื่อชุยฉานนั้นเขียนอย่างไรกันแน่

หลี่เป่าผิงบอกว่าข้ารู้ แล้วจึงใช้ปลายนิ้ววาดทีละขีดลงบนโต๊ะหิน

เฉินผิงอันเห็นแล้วก็ถอนหายใจ “เป็นตัวอักษรที่เขียนยากขนาดนี้เชียวหรือ”

ห่างออกไปไม่ไกลด้านหลัง คราวนี้เป็นชุยฉานบ้างที่เหงื่อตกราวตากฝน พูดกับตัวเองว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งทำเรื่องเลวร้ายเล็กๆ น้อยๆ ไป กรรมคงไม่ตามทันเร็วขนาดนี้หรอกกระมัง?

ซิ่วไฉเฒ่าเพิ่งจะไสหัวไปไม่ใช่หรือ? เจ้าสารเลวเฉินผิงอันที่จิตใจอำมหิตยิ่งกว่าตนก็จะเริ่มลงมือสร้างสุสาน เขียนตัวอักษรหน้าป้ายหลุมศพให้ตนแล้วรึ?

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมามองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนอึ้งเป็นไก่ไม้อยู่ตรงนั้น

ชุยฉานสะดุ้งตกใจ หมุนตัวได้ก็เผ่นหนีทันที เขารีบร้อนไปหาหลิยเจียฮุ่ยที่กำลังอกสั่นขวัญผวา ลากนางไปหาที่เงียบๆ พูดด้วยสีหน้าที่พยายามปั้นให้เป็นมิตรที่สุด “หลิวฮูหยิน เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งจะคิดจนกระจ่างในหลักการข้อหนึ่ง มนุษย์เราควรทำดีกับผู้อื่น ขอแค่เจ้าจงรักภักดีต่อต้าหลีของข้า วันหน้ารับรองว่าเจ้าและเว่ยหลี่จะได้ครองรักกันอย่างชื่นมื่น ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง!”

กล่าวจบชุยฉานถึงได้หมุนตัวจากไปด้วยความพึงพอใจ แถมยังโบกมือบอกลา แล้วเริ่มสบถด่าโดยไม่หันไปมองสตรีแต่งงานแลว้ที่ตกใจจนเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น “เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า! ทีพูดโหกแม่งฟังซะหน้าชื่นตาบาน พอพูดจริงเสือกไม่เชื่อ รู้ไว้เถอะว่าคราวนี้มหาโชคหล่นใส่หัวเจ้ากับเว่ยหลี่แล้ว พวกเจ้าก็รักกันเสียให้พอเถอะ! ข้าผู้อาวุโสขออวยพรให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันจนเส้นผมขาวโพลน!”

ชุยฉานทำท่าทางลับๆ ล่อๆ กลับเข้ามาในลานบ้าน เห็นว่าเจ้าคนใจดำอำมหิตอย่างเฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งหินเพียงลำพัง กำลังใช้แท่นสังหารมังกรลับดาบยันต์มงคลเล่มนั้นอยู่

ชุยฉานหน้าซีดเผือด เอ่ยอย่างเหม่อลอย “ทำไม จะต้องให้ข้าปล่อยจวนมหาวารีไปด้วยถึงจะยอมเลิกรางั้นหรือ? ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง ไม่ได้ เรื่องแบบนี้ต่อให้ถูกตีตายก็เปลี่ยนไม่ได้ เรื่องที่ถือโอกาสทำไปตามสถานการณ์สามารถดูตามอารมณ์ได้ แต่เรื่องที่เกี่ยวพันกับกิจการยิ่งใหญ่ของต้าหลีจะสามารถเปลี่ยนแปลงความตั้งใจเดิมและแผนการที่วางไว้ได้อย่างไร…”

เฉินผิงอันหันหน้ามาขมวดคิ้วถาม “เจ้าทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างนอกสองครั้งแล้ว ไปทำอะไรมา?”

ชุยฉานชี้ไปยังดาบแคบในมือเฉินผิงอัน “นี่เจ้ากำลังทำอะไร? ลับมีดเสียงดังเควี้ยวคว้าว น่าขนลุกจะตาย”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หลังจากนี้เจ้าแค่ทำตัวให้อยู่ในกรอบก็พอ พวกเราน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง”

หากคำพูดแบบนี้ออกจากปากคนอย่างตน ตีให้ตายชุยฉานก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อหลุดออกมาจากปากของเฉินผิงอัน ชุยฉานย่อมเชื่ออย่างไม่มีข้อกังขา ตอนแรกที่ยกขาก้าวเดินฝีเท้ายังล่องลอยอยู่บ้าง แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็ว ยิ่งเดินก็ยิ่งผ่อนคลาย สุดท้ายวิ่งเหยาะๆ มาหยุดอยู่ข้างโต๊ะหิน ฟุบตัวลงไปบนโต๊ะ พูดเสียงแผ่วเบา “อาจารย์ เมื่อครู่ข้าทำเรื่องดีงามที่ช่วยให้คนสุขสมหวัง จริงแท้แน่นอน! ท่านเชื่อหรือไม่?”

เฉินผิงอันเงยหน้า มองดวงตาของไอ้หมอนี่อย่างตั้งใจ สุดท้ายจึงพยักหน้ารับ

นาทีนั้นชุยฉานถึงกับซาบซึ้งใจจนแทบหลั่งน้ำตา

แค่คิดก็รู้ได้ว่า การเดินทางออกนอกด่านคราวนี้ สำหรับเด็กหนุ่มชุยฉานแล้วคือความทุกข์ยากลำบากมากแค่ไหน

ชุยฉานยิ้มหวาน “อาจารย์ ไม่อย่างนั้นข้าช่วยท่านลับมีดดีไหม? เป็นลูกศิษย์ เอาแต่อยู่ว่างๆ ไม่ทำงานทำการอะไร จะกินก็ไม่ได้จะนอนก็ไม่หลับ”

เฉินผิงอันปรายตามองเขา “จะไปไหนก็ไป”

ชุยฉานแสร้งทำเป็นถอนหายใจแรงๆ หนึ่งที ยืดตัวขึ้นตรง หลังจากคารวะอย่างนอบน้อมแล้วถึงได้บอกลาหมุนตัวเดินอาดๆ กลับไปยังห้องของตัวเอง ระหว่างทางก็ผิวปากอย่างอารมณ์ดีไปด้วย

เฉินผิงอันมองแผ่นหลังที่สง่าผ่าเผยของเจ้าหมอนั่นด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด หรือเพราะก่อนหน้านี้อยู่ใต้บ่อน้ำนานเกินไป น้ำเลยเข้าสมอง?

—–