ตอนที่ 189 หลักการมีเหตุผล ฟ้าประทานบุญกุศล

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 189 หลักการมีเหตุผล ฟ้าประทานบุญกุศล

“ท่านจางอย่าได้รีบร้อน ข้าจะค่อย ๆ อธิบายให้ฟัง”

เย่ฉางชิงปรายตามองจางเฉินเล็กน้อย ก่อนหันไปมองยังคนอื่น ๆ

“พวกท่านคงจะเข้าใจคำว่าชีวิตใช่หรือไม่”

ทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็มีสีหน้าสงสัยจนอดที่จะลอบมองกันเองมิได้ ก่อนจะพยักหน้ารับ

ทุกสรรพสิ่งล้วนมีชีวิต

ฉะนั้นพวกเขาย่อมเข้าใจคำว่าชีวิตอย่างลึกซึ้ง

“ในเมื่อพวกเจ้ารู้ เช่นนั้นข้าจะพูดในสิ่งที่ข้าเข้าใจบ้าง”

แววตาของเย่ฉางชิงมีประกายที่สื่อความหมายบางอย่างสะท้อนออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ข้ามองว่าชีวิตนั้น ความจริงแล้วก็คือ… การที่เกิดมาพร้อมกับพรหมลิขิต”

“หรือก็คือทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนเกิดมาพร้อมโชคชะตาและพรหมลิขิต ความยากที่ข้าเอ่ยไปก่อนหน้านี้ก็คือการต่อสู้กับโชคชะตาและพรหมลิขิต”

เมื่อเห็นทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะกระพริบตาราวกับรู้แจ้งขึ้นมา

เย่ฉางชิงเผยรอยยิ้มพอใจออกมาทันที

‘เยี่ยมมาก ! ’

‘มิเลวเลย ! ’

“หรือจะเรียกอีกอย่างว่า”

“สวรรค์ย่อมตอบแทนคนขยัน ! ”

เย่ฉางชิงกล่าวต่อ “ข้ามองว่า ฟ้าจะมอบภาระอันยิ่งใหญ่ให้กับคนที่เหมาะสม เพื่อฝึกความมุ่งมั่น เคี่ยวเข็ญกายา การอดอยากอาหาร และมีอุปสรรคขวางกั้นไปเสียทุกอย่าง เพื่อเพิ่มความอดทนและความสามารถในสิ่งที่เขาทำมิได้”

ความจริงแล้วนี่เป็นคำสอนที่มาจากนักคิดโบราณผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง ที่เย่ฉางชิงได้เรียนรู้มาจากโลกก่อนหน้า

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอยู่บนรถม้ารวมทั้งตอนที่นั่งอยู่บนเวที เขาได้พยายามเรียบเรียงหลักแนวความคิดโบราณที่อยู่ภายในสมองตัวเอง

จนสุดท้ายเขาก็คิดได้ว่า

มีเพียงแนวคำสอนนี้ที่มิว่าจะเป็นบัณฑิตธรรมดาหรือว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ล้วนเรียกได้ว่าเป็นคำสอนให้พลังได้ดีที่สุด

เขาใช้คำว่า ยาก เป็นการดึงดูด ใช้คำว่า ชีวิต ในการอธิบาย และเชื่อว่ามันดูเหมาะสมดีแล้ว

อีกทั้งท่านเทพฉางชิงที่เขาสวมบทบาทอยู่ในตอนนี้ยังเหนือกว่าผู้ใด การจะพูดเรื่องธรรมดาทั่วไปย่อมมิเหมาะสมอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยพูดประโยคนี้มาก่อน

ทว่าเมื่อสิ้นเสียงของเย่ฉางชิง

ท้องฟ้าด้านบนสำนักศึกษาตงหลันพลันเกิดนิมิตขึ้นอีกครา

เพียงแต่สิ่งที่ต่างออกไปในครานี้ก็คือ

หมู่เมฆที่เกิดขึ้นหาได้มีสีสันเช่นก่อนหน้านี้ไม่ แต่กลับเป็นสีทองระยิบระยับ

สิ่งนี้หมายความเช่นไรกัน ?

ถูกต้อง !

นี่ก็คือ เมฆาวิสุทธิ์ !

เมฆาวิสุทธิ์นี้จะปรากฏขึ้นเมื่อมีเรื่องที่มีบุญกุศลอันยิ่งใหญ่

ทันทีที่เห็นเมฆาวิสุทธิ์ปรากฏขึ้น ใบหน้าของทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในทันที

“นี่มันเมฆาวิสุทธิ์ในตำนานนี่นา ! ”

“ใช่แล้ว นี่ต้องเป็นเมฆาวิสุทธิ์เป็นแน่ ตำราโบราณบันทึกเอาไว้ว่าเมฆาวิสุทธิ์จะเป็นสีทอง มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นถึงคำสอนของท่านเทพจึงมีเพียงเมฆาวิสุทธิ์นี้เท่านั้น ที่จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้”

“หากเมฆาวิสุทธิ์เป็นสีทองบริสุทธิ์ เช่นนั้นเมฆาหลากสีสันก่อนหน้านี้คืออะไรกัน ? ”

“เจ้าทึ่มนี่ เมฆาหลากสีสันเป็นเพียงการเกิดนิมิตเท่านั้น มินับว่าเป็นเมฆาวิสุทธิ์อยู่แล้ว”

“แต่ก่อนหน้านี้เจ้าคงจะสังเกตเห็นว่าเมฆาหลากสีสันที่ปกคลุมบนท้องฟ้านั้น สีทองเปล่งประกายที่สุด ทว่ายังมิถึงขั้นของเมฆาวิสุทธิ์”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ! ”

“ฟ้าจะมอบภาระอันยิ่งใหญ่ให้กับคนที่เหมาะสม ช่างเป็นคำพูดที่มีเหตุผลจริง ๆ ! ”

“ประโยคนี้ข้าเคยได้ยินผู้อาวุโสเย่พูดมาก่อน แต่เหตุใดตอนนั้นจึงมิเกิดเมฆาวิสุทธิ์เช่นนี้เล่า ? ”

“เรื่องนี้อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ประโยคนี้แม้จะมีเหตุผลก็จริง ทว่าการจะให้ฟ้าประทานเมฆาวิสุทธิ์ยังต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กำหนดอีกด้วย”

“อย่างเช่นในตอนนี้ อาจารย์และศิษย์ของสำนักศึกษาใหญ่ทั้งสองของเมืองหลวง รวมถึงเหล่าราชวงศ์ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ย่อมมีความหมายในการให้ความรู้แก่โลก เช่นนั้นจึงปรากฏเมฆาวิสุทธิ์ขึ้นอย่างไรเล่า”

“……”

เมื่อสังเกตเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยศรัทธา และท่าทางตื้นตันใจของผู้คน เย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะเหลือบมองขึ้นไปบนฟ้า

‘มิใช่สิ ! ’

‘นิมิตก่อนหน้านี้เป็นเมฆาหลากสีสัน เหตุใดครานี้จึงเป็นสีทองเช่นนี้เล่า ? ’

‘น่าแปลกจริง ! ’

ในตอนนั้นเองเย่ฉางชิงเหมือนกับถูกบางอย่างสะกดเอาไว้ ความคิดพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำ จนอยากจะพูดต่อไปเรื่อย ๆ

คิดได้เช่นนั้นเขาจึงมิฝืนทนอีก

ด้วยความที่เขาศึกษาด้านนี้มา ความทรงจำทั้งหมดที่มีตอนอยู่ที่โลกก่อนหน้า

เขาเชื่อว่าการจะพูดเรื่องพวกนี้ หากร่างกายของเขายังไหว คอยังมิแหบแห้ง ให้เขาพูดเช่นนี้ 1 ชั่วยามโดยมิพักก็ยังได้

“ฟ้าดินเปี่ยมไปด้วยความรัก คนหนุ่มทั้งหลายจงทุ่มเทให้กับการศึกษา เพื่อสร้างรากฐานที่ดีในอนาคต”

“ฟ้ากำหนดให้ข้าเกิดมาเพื่อสร้างประโยชน์ เงินทองเสียไปก็หาใหม่ได้ ! ”

“ขยันจนลืมกินข้าว สุขในหลักธรรมจนลืมความกังวล มิรู้ว่ากาลเวลาจักพาความชรามาสู่โดยมิทันรู้ตัว ! ”

“เส้นทางนี้ช่างแสนยาวไกล ข้าจะแสวงหาไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ! ”

“คนที่มีความรู้มิสู้คนที่ชอบการเรียนรู้ คนที่ชอบการเรียนรู้มิสู้คนที่เรียนอย่างมีความสุข ! ”

หลักการมากมายเหล่านี้สำหรับเย่ฉางชิงเรียกว่ามิได้ลำบากอันใดเลย

อีกทั้งเวลานี้เย่ฉางชิงยังเหมือนมีบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์เข้าครอบงำ ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน

สุดท้ายเขาก็หาได้สนใจว่าหลักการเหล่านี้เหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่ เพียงแค่คิดอะไรออกก็พูดไปตามนั้น

ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ารากวิญญาณภายในกาย เหมือนจะมีการพัฒนาขึ้นตามไปด้วย

เวลานี้กำลังแผ่ไอพลังอันอ่อนโยนออกมา ทำให้ทั่วทั้งร่างเบาสบายเป็นอย่างมาก ราวกับกำลังแช่อยู่ในน้ำพุร้อนก็มิปาน

ทว่าเขากลับมิได้สังเกตว่าเมฆาวิสุทธิ์เหนือสำนักศึกษาตงหลันนั้นกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ฟ้าดำเนินไปอย่างแข็งขัน บัณฑิตเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตนเองอย่างมิหยุดยั้ง ดินมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บัณฑิตควรเสริมสร้างคุณธรรมของตนเพื่อหน้าที่สำคัญ ! ”

“ผู้มีความรู้ล้วนถูกขัดเกลาจึงจะประสบความสำเร็จ ! ”

“สิ่งเดียวในโลกนี้ที่ทำให้เรากลัวก็คือ คำว่าพวกเรากลัวแล้ว ! ”

“ไร้บ้านไร้ที่ดิน มิกล้าเกี้ยวโฉมสะคราญ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต ! ”

“คุณสมบัติมิเพียงพอจึงละทิ้งการบำเพ็ญเพียร เช่นนั้นเจ้าก็ต้องใช้ชีวิตธรรมดาตลอดไป ! ”

ขณะที่หลักการต่าง ๆ นานา พรั่งพรูออกมาจากปากของเย่ฉางชิง

ผู้คนหลายพันบนจัตุรัสต่างก็รู้สึกตัวชาไปตาม ๆ กัน ราวกับเกิดเสียงวิ้งขึ้นมาในโสตประสาทอย่างฉับพลัน

พวกเขาเกือบพลั้งปากบอกให้ท่านเทพฉางชิงเอ่ยช้าลงอีกสักหน่อย เพราะพวกเขาอยากที่จดจำหลักการมากมายเหล่านี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ

แน่นอนว่าเวลานี้เย่ฉางชิงหาได้รู้ไม่ว่าเวลานี้สิ่งที่ทุกคนมองเห็นก็คือ

บนหัวของเย่ฉางชิงในตอนนี้ ได้มีร่างเงาสีทองทั่วทั้งกายพร้อมทั้งมีแสงลอยวนอยู่รอบตัว ได้นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ

จากนั้นกุศลจากเมฆาวิสุทธิ์ที่ร่วงหล่นลงมา ก็ได้ซึมซับเข้าสู่ร่างเงาสีทองนั้น

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ ณ ที่นั้นย่อมรู้ดีว่าร่างเงานั้นหมายถึงสิ่งใด !

ถูกต้อง !

ร่างเงาที่เปล่งประกายนั้นจะต้องเป็นร่างเทพของท่านเทพฉางชิงอย่างแน่นอน

มิใช่สิ !

พูดให้ถูกก็คือธรรมกายของเทพในตำนานโบราณ

ธรรมกายของเทพนั้นมิเพียงมีอยู่ในตำนานโบราณเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงถึงการมีตบะบารมีที่แข็งแกร่งและอำนาจสูงส่งอย่างหนึ่งอีกด้วย

หากจินตนาการดูจะเห็นว่าเรื่องทั้งหมดนี้สร้างความตื่นตระหนกให้พวกเขามากเพียงใด

ขณะเดียวกันมู่หรงลี่จูและหลิวหรูเยียนที่อยู่ทางด้านหลังสุดเองก็รู้สึกตกใจเช่นกัน

ผ่านไปครู่หนึ่งทั้งสองก็ได้สติขึ้น

ใบหน้างดงามไร้ที่ติของมู่หรงลี่จูปรากฏรอยยิ้มขมขื่นออกมา พลางเอ่ยถามขึ้นโดยมิมองหน้าว่า “หรูเยียน ตอนนี้เจ้ารู้แล้วหรือยังว่าท่านเย่ผู้นี้เก่งกาจเพียงใด ? ”

หลิวหรูเยียนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ราวกับมีก้อนบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ

“ท่านเจ้าหอ ข้า…”

มุมปากของมู่หรงลี่จูค่อย ๆ โค้งขึ้น ก่อนจะหันไปมองหลิวหรูเยียนพร้อมเอ่ยความในใจออกมา

“ผู้ที่ไร้เทียมทานเช่นท่านเย่ ใช่คนที่ข้าอาจเอื้อมได้หรือไม่ ? ”

หลิวหรูเยียนเหลือบมองมู่หรงลี่จูที่มีท่าทางหม่นหมอง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสับสน