“คุณหนู คุณหนู…”

ลอรีลเขย่าปลุกเธอ

พอลืมตาตื่นขึ้นมารอบข้างก็มืดสนิทเสียแล้ว

เฟเรสที่เคยนอนอยู่ข้างๆ เองก็ตื่นแล้ว เขาเปลี่ยนชุดใหม่เสร็จเรียบร้อย และกำลังยืนรออยู่

“มีเรื่องอะไรกัน”

สีหน้าของลอรีลดูแปลกไป

เธอไม่รอฟังคำตอบ รีบกระโดดลงจากเตียง

ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ

รู้สึกได้ผ่านทางผิวหนังว่าบรรยากาศรอบตัวมันวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ

หัวใจเองก็เต้นโครมครามด้วยความกระวนกระวาย

หรือว่า

หรือว่า

เธอรีบวิ่งตรงไปยังห้องท่านพ่อ

คนมากมายอยู่กันเต็มห้องอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

ท่านปู่ ชานาเนส เบเจอร์ แม้กระทั่งลอเรนซ์ก็มาด้วย

คนในตระกูลลอมบาร์เดียหันมามองเธอกันอย่างพร้อมเพรียง

“ทำไม…”

ประโยคไม่สมบูรณ์หลุดออกมาจากปาก

ฟีเรนเทียพยายามอ่านความรู้สึกอะไรก็ได้จากใบหน้าของผู้คนที่กำลังมองเธออยู่ แต่มันกลับไม่ได้ดั่งใจ ราวกับหัวสมองมันหยุดทำงานไปแล้ว

ขยับขาที่หนักอึ้งเหมือนถูกอะไรดึงรั้งไว้ติดกับพื้นดิน

ค่อยๆ เดินเข้าไปข้างเตียงทีละก้าว

ทุกคนต่างก็ช่วยแหวกทางหลบให้เธอโดยไม่พูดอะไร

และในที่สุดเธอก็สามารถมองเห็นท่านพ่อที่อยู่บนเตียงได้

“เทีย!”

“…พะ…พ่อ?”

พอได้ยินเสียงสดใสของท่านพ่อ แข้งขาก็พลันอ่อนตัวจนทรงตัวไว้ไม่อยู่

“อ๊ะ!”

หลายคนยื่นมือเข้ามาหาเธอ แต่คนที่ช่วยคว้าร่างของเธอเอาไว้คือท่านพ่อ

พูดให้ถูกต้อง มันคือมือข้างขวาของท่านพ่อ

มือข้างนั้น ข้างที่โดนเทรนด์บลูช่วงชิงไป

“ได้ยังไงกัน…”

มือข้างนั้นกลับมั่นคงมีเรี่ยวมีแรงและไม่สั่นแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้ว่าสภาพในตอนนี้ยังคงผอมแห้งติดกระดูกอยู่เหมือนเดิมแต่มือข้างนี้ก็สามารถคว้าตัวเธอเอาไว้โดยไม่ล้มไว้ได้

“ดูเหมือนยาตัวใหม่จะได้ผลละ เทีย”

ท่านพ่อยิ้มอ่อนโยน ในขณะที่เอ่ยพูดขึ้น

“หลังจากดื่มยาลงไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ความรู้สึกก็ค่อยๆ กลับคืนมาอย่างช้าๆ …”

ท่านพ่อกำและแบมือข้างขวาสลับไปมาอย่างเชื่องช้า

เธอเหม่อมองการเคลื่อนไหวอันแสนนุ่มนวลนั่นอย่างเหม่อลอย

“เทีย”

ท่านพ่อเอ่ยเรียกเธอ

“ตอนนี้พ่อคงจะไม่เป็นอะไรแล้วละ”

มันเป็นรอยยิ้มโล่งใจ ราวกับปล่อยวางภาระทุกอย่างลงได้เสียที

“พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว”

ตุบ

ได้ยินเสียงราวกับอะไรบางอย่างระเบิดแตกออกจากข้างในตัวของเธอ

“ฮึก ฮึก ฮือ…!”

น้ำตาหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสายจนไม่อาจหยุดไว้ได้

“พ่อ พ่อ…”

“ใช่แล้วละ เทียของพ่อ คงจะเป็นห่วงมากเลยใช่มั้ย”

“พ่อจ๋า…”

“พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว เทียเองก็จะไม่เป็นอะไร”

เธอกระโจนเข้าหาอ้อมกอดของท่านพ่อ

มืออบอุ่นช่วยลูบแผ่นหลังของเธอ

ไม่อาจรู้ได้เลยว่าร้องไห้อยู่แบบนั้นไปนานแค่ไหน

สิ่งที่เธอจำได้ก็มีแค่เรื่องที่เธอร้องไห้ไม่หยุดอยู่ในอ้อมกอดของท่านพ่อ และคำพูดของท่านพ่อที่ปลอบโยนเธอว่า ‘ไม่เป็นอะไรแล้วนะ’ ทุกครั้งที่เธอร้องไห้เช่นนั้นและได้ยินเสียงของท่านปู่ที่บอก ‘ขอบใจ’ แก่เฟเรสเท่านั้น

มันเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสอย่างสมบูรณ์แบบ

สายลมเย็นสบายพัดผ่านเข้ามาช่วยให้อารมณ์ดี ใบไม้ใบหญ้าเองก็ให้ความรู้สึกสดชื่น

ฟีเรนเทียได้ยินเสียงวงดนตรีซ้อมบรรเลงเพลงดังขึ้นจากด้านนอก ได้ยินเสียงพูดคุยทักทายกันของแขกเหรื่อที่มาถึงกันก่อนแล้ว

เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กำลังได้รับความช่วยเหลือจากลอรีลช่วยแต่งหน้าแต่งตัวให้

“คุณหนู ชอบใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

“หืม? อะไรเหรอ”

“เอาแต่ยิ้มจนหน้าบานตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้วไม่ใช่เหรอคะ”

“อา อย่างนั้นเหรอ”

เธอมองภาพของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก ยกยิ้มด้วยความพอใจ

“วันนี้เป็นวันพิเศษ คงทำผมนานหน่อยนะคะ อดทนสักนิดนะคะ”

“อื้อ ทำตามที่ลอรีลอยากทำได้เลย ข้าไม่เป็นไร”

ปฏิกิริยาตอบรับสบายๆ ของเธอ ทำให้ลอรีลหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องแปลก

“ปกติออกจะรำคาญใจเวลาทำผม นี่คงจะอารมณ์ดีมากจริงๆ นะคะเนี่ย”

“แน่นอน! ต้องดีสิ!”

เธอตอบกลับเสียงดัง

“วันนี้เป็นวันเกิดอายุครบสิบเอ็ดปีของข้านี่นา!”

ในที่สุดวันที่จะเดินทางเข้าออกคฤหาสน์ได้อย่างอิสระก็มาถึงเสียที