ซ่งฝูเซิงหมุนไฟฟืนที่อยู่ในมือไปมาและชี้ไปที่บ้านเก่าผุพังหลังนั้นที่ติดกับบ้านท่านยายหวัง เขาวางแผนจะทำเป็นเพิง
และยังต้องการบ้านที่ผุพังอีก เขาบอกซ่งฝูสี่ว่า
“พี่สอง งานของท่านหนักยิ่งนัก ท่านพาคนแข็งแรงกับคนที่เรียนงานไม้กับท่านมา เมื่อทำงานตอนนนี้เสร็จแล้วให้ทำโต๊ะกับเก้าอี้ต่อ”
ซ่งฝูสี่มองไปตามลมห่าใหญ่ที่พัดบ้านจนใกล้จะถล่มลงมา “ต้องทำกี่ตัว”
ซ่งฝูเซิงพูดตามน้ำ “ทำให้พอกับทุกคน เพื่อให้นั่งเก้าอี้กินข้าวบนโต๊ะได้”
ซ่งฝูสี่ว่า “…”
แล้วเขา? ตอนนี้งานตามหน้าที่ของเขา บวกกับจะต้องทำโต๊ะเก้าอี้เพิ่ม คิดว่าน่าจะทำเสร็จตอนปีใหม่เลย
ซ่งฝูสี่ไม่ควรเสียเงินเกินสิบตำลึงกับพวกช่างไม้ที่บ้านเก่า เขาคิดไปถึง เมื่อเขาทำโต๊ะเก้าอี้เสร็จ ยังต้องช่วยทุกบ้านทำตู้กับ โต๊ะ เตา และสิ่งอื่นๆ อีก
“ไปนั่งกินในบ้านของตัวเองไม่ได้หรือ นั่งซอกไหนก็กินข้าวได้เหมือนกัน”
ซ่งฝูเซิงเดินไปข้างหน้า ยกไฟส่องทาง คิดคำนวนว่าบ้านพวกนี้จะต้องใช้อิฐดินเท่าไหร่ จะต้องซ่อมอย่างไร และพูดกับตัวเองว่าทำไม่ได้
เพราะว่าพวกเขาจำเป็นจะต้องมีโรงอาหารของตัวเอง ถึงเวลาให้มากินข้าวที่นี่ เวลากินข้าวก็ใช้เพื่อกินข้าว เมื่อไม่ใช่เวลากินข้าวก็ให้เป็นสถานที่ให้เด็กๆ นั่งเรียนหนังสือ เรียนดีดลูกคิด ที่ตรงนี้จึงไม่ได้เป็นเฉพาะโรงอาหารแต่ยังเป็นโรงเรียนได้อีกด้วย
ซ่งฝูเซิงเดินออกมาได้หลายเมตรแล้ว เขารู้สึกว่าข้างหลังไม่มีคนเดินตาม จึงหันกลับไปมองพบว่าทุกคนยืนตะลึงมองตามหลังเขา
“เป็นอะไรไปหรือ”
กัวคนโต สองตาเบิกกว้างมองไปที่พี่ใหญ่ พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ฝูเซิง ลูกข้าจะเรียนหนังสือได้หรือ”
ท่านยายหวังพูดเสียงดังขึ้น เด็กบ้านข้าจะได้เรียนหรือ ถ้าตั้งใจเรียนสอบเป็นบัณฑิตได้ไหม
ไม่ต้องพูดถึงบ้านที่มีลูกและอยากให้ลูกได้เรียนหนังสือ หรือแม้กระทั่งหลี่ซิ่วที่อุ้มลูกอายุเพียงสองขวบของนางอยู่ ก็รู้สึกตื่นเต้นจนพูดไม่ออก ที่อุ้มอยู่ในมือนั้นไม่เหมือนกับการอุ้มลูก แต่เหมือนอุ้มความหวังที่จะได้เรียนหนังสือ
แล้วใครจะเป็นคนสอนหนังสือ
ซ่งฝูเซิงพูดออกไปโดยไม่คิด “ข้าเป็นคนสอน หนิวจั่งกุ้ยจะสอนคิดลูกคิด”
ท่านลุงซ่งยกมือสั่นเทาของเขาขึ้นรำ ดีใจที่ลูกหลานจะได้เรียนหนังสือ โตไปเป็นผู้มีความรู้ “ไม่ได้ เรื่องนี้จะเป็นอุปสรรคต่อซ่งฝูเซิงในการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ”
แต่ซ่งฝูเซิงบอกว่ามันไม่เป็นอุปสรรคกับการเตรียมตัวสอบที่ไม่รู้จะจัดขึ้นเมื่อไหร่
ทุกวันนี้เขาก็เขียนหนังสือ สอนให้เด็กๆ อ่านหนังสือ สอนหนังสือเสร็จแล้วเขาจะไปทำอะไรก็ได้ ไม่เป็นอุปสรรค คนที่ต้องยุ่งคือหนิวจั่งกุ้ยมากกว่า ต้องรับผิดชอบสอนเด็กคิดเลข ดีดลูกคิด ให้รู้จักเรื่องจำนวนเงิน
ซ่งฝูเซิง ตอนนั้นลืมไปว่าเขามีลูกสาวชื่อซ่งฝูหลิง แม้ตอนนี้นางจะเป็นคนที่ไม่รู้จักหนังสือ แต่ว่าสมัยเมื่อนางอยู่ในโลกปัจจุบัน นางเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท ทำงานเป็นติวเตอร์เพื่อให้คนสอบเข้าระดับปริญญาโทได้ นางขยันจนรู้ว่าจะสอบได้คะแนนสูงอย่างไร
แต่ว่าลูกสาวของเขายังรีบร้อนที่จะออกจากความไม่รู้หนังสือ
นางรีบนำเงินที่มีไปซื้อหนังสือมาเรียนเอง
ทำไมนางจะไม่สามารถสอนหนังสือได้ แค่นี้ก็พอแล้ว
ลืมไป ข้าลืมไปแล้วเรื่องของซ่งฝูหลิง ซ่งฝูเซิงได้เปิดเผยเรื่องของตัวเองออกมาอีกแล้ว
“ไม่เป็นอุปสรรคจริงหรือ”
ซ่งฝูเซิงไม่คิดว่าเรื่องสอนหนังสือเด็กเป็นเรื่องใหญ่ จึงโบกมือออกไปแล้วพูดว่า “ไม่เป็นอุปสรรคเลย”
เพราะการโบกมือของเขา ทุกคนจึงมุ่งไปที่ซ่งฝูสี่ ให้เร่งงานให้เต็มที่ และยังบอกกับคนที่เรียนงานไม้กับเขา “ฝูสี่ เจ้าต้องรีบเร่งให้ทำโรงอาหาร โต๊ะ กับเก้าอี้ออกมาก่อน เรื่องบ้านของพวกเราเอาไว้ทีหลัง ต้องให้เด็กๆ ได้เรียนหนังสือก่อน ถ้าขาดเหลืออะไรให้รีบบอก”
ผู้ชายร่างกายกำยำทุกคนก็พร้อมกันยกไฟขึ้นมาตอบกลับ “ยังขาดไม้กระดาน พรุ่งนี้เป็นต้นไปพวกข้าต้องไปบนภูเขาเพื่อตัดไม้และแบกลงมา” แม้กระทั่งภรรยาของซ่งฝูสี่ จูซื่อ ยังบอกว่า “ท่านพี่ พรุ่งนี้รีบทำโต๊ะเก้าอี้ ห้เสร็จโดยเร็ว จินเป่าของพวกเราจะได้เรียนหนังสือแล้ว ต่อไปก็จะได้เหมือนกับลุงสามของเขา ไปที่ไหนก็จะมีแต่คนสรรเสริญ”
ใช่แล้ว เพื่อลูกของพวกเราจะได้ไม่เป็นเหมือนเราที่โดนคนดูถูกในตอนนี้ ถึงเหนื่อยจนตายก็มีความสุข
“ได้แน่นอน วางใจได้”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้าตอบรับ “ต้องใช้ไม้อีกเยอะ แบกลงมาเก็บไว้ใช้ในหน้าหนาวสำหรับก่อไฟ นอกจากปลูกกุยช่ายขาวแล้วพวกเรายังปลูกอะไรได้อีก ดังนั้น เราต้องแบ่งคนไปช่วยกันทำเพิง ช่วยกันเหลาไม้ให้แหลม ยกกระดาษแก้วเป็นหลังคา ทำให้เป็นเพิงขนาดใหญ่คลุมไว้ทั้งหมด”
ทุกคนยิ่งฟังคำสั่งเขามากขึ้น ยกกำปั้น แบกไม้ ปลูกข้าวก็ไม่เป็นอุปสรรค ยิ่งช่วงนี้ยังไม่ถึงหน้าหนาว ดินและน้ำยังไม่เป็นน้ำแข็ง พวกเขาจึงตัดสินใจก่อไฟไว้ตรงกลางหมู่บ้านเพื่อทำงานจนถึงกลางคืน ไม่ถึงเที่ยงคืนจะไม่ยอมนอนพัก
ยังมีบางคนพูดล้อเล่น เขาบอกว่าอยากขึ้นไปบนภูเขาทำงานตอนนี้เลย โดยเฉพาะเพิงปลูกผักยิ่งสำคัญ รั้วสนามของบ้านยิ่งต้องทำขึ้นมา เวลาขึ้นไปบนภูเขาจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอสัตว์ร้ายและยังสามารถใช้เป็นเกราะกำบังได้อีก
ซ่งฝูกุ้ยบอกว่า “ใช่แล้ว ไม่อย่างนั้นหากหมาป่าออกมาทำลายกระดาษแก้ว คงเป็นรูโบ๋” เขาสมมุติเรื่องจนทำให้ทุกคนรู้สึกมวนในท้องไปด้วย กระตุ้นให้ท่านยายด่าออกมาหลายคำ
ดังนั้น เขาจึงออกกฎเพื่อบอกกับพวกเรา ต่อไปจะต้องทำตามขั้นตอนอย่างไร ซ่งฝูเซิงใช้เวลาอธิบายหนึ่งชั่วยามให้ทุกคนเข้าใจ
นอกจากนี้เขายังไปตรวจอิฐดินว่าแห้งไปจำนวนเท่าไหร่แล้ว
พบว่าอิฐดินชุดแรกแห้งดีจนสามารถทำเตาได้สามเตา เขาจัดแบ่งผู้ชายร่างกายกำยำจากสามครอบครัวให้รับหน้าที่ก่อเตาในวันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้เช้า พวกเราใช้อิฐดินก่อเตียงเตาขึ้น ใช้ไฟเผาเตียงเตาที่ก่อขึ้นหนึ่งวัน จากเช้าจนถึงกลางคืน ถึงแม้ใช้ไฟเผาทั้งวัน ด้านนอกของเตียงเตายังมีความชื้นอยู่บ้าง แต่พอจะปูเสื่อนอนพักผ่อนประทังไปก่อนได้
อย่างนี้ พวกเราจะมีเตียงเตาถึงห้าเตียงให้ทุกคนได้นอนหลับพักผ่อน ในเวลากลางวันใช้เป็นที่ตากอิฐดิน การทำงานจะเร็วขึ้นมาก
ซ่งฝูเซิงเดินเข้ามาตรวจสอบในห้องที่มีกองทรายและดินเหนียวจากแม่น้ำกองอยู่
พวกเขานำทรายที่ร่อนจากแม่น้ำกลับมาไว้ใช้ฉาบเตียงเตา ใช้ดินเหนียวกับทรายฉาบด้านนอกสุดของเตียงเตา เตียงเตาจะมีความมันวาวและเรียบมากขึ้น ดังนั้น เมื่อวานเขาจึงสั่งให้ทุกคนช่วยกันร่อนทรายเก็บไว้ใช้กับเตาใหม่ที่จะก่อขึ้น แม้กระทั่งดินวันนี้ ทุกคนก็นำดินที่ขุดจากภูเขามาเก็บไว้
ดินพวกนี้ ซ่งฝูเซิงตั้งใจจะเอามาไว้ปลูกกระเทียมและปลูกพริกในอนาคต
ในห้องที่ดินถูกกองไว้ ก็เป็นดินที่อยู่ติดกับรากของต้นไม้ ดินแบบนี้ค่อนข้างมีแร่ธาตุ ปลูกพืชผักก็เจริญเติบโตได้ดี เขาให้คนขุดมาไว้ก่อน เก็บไว้ในห้องเพื่อให้เกิดความอบอุ่น ตอนนี้เข้าเดือนสิบเอ็ดแล้วกลัวว่าดินจะกลายเป็นน้ำแข็งไปเสียก่อน
เขาพบว่าดินน่าจะไม่พอ จึงบอกพวกต้าหลังว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องเผาถ่านแล้ว
ให้เด็กที่มีอายุตั้งแต่แปดขวบจนถึงสิบสี่ไปช่วยกันรับผิดชอบการเผาถ่านแทน
เช่น พวกต้าหลัง เถี่ยโถว ช่วงอายุของพวกเขาอยู่ระหว่างสิบสี่ถึงสิบเจ็ดปี พรุ่งนี้ให้เอาตะกร้าไปตักดินมาเพิ่ม ดินแค่นี้คงไม่พอใช้ทำอะไร
สุดท้ายเขายกไฟขึ้นมา พาครอบครัวที่ปลูกข้าวได้ดี มีอายุเยอะ แต่ว่าสมองยังใช้งานได้เหมือนกับท่านลุง ท่านตาหลี่เจิ้งของเขา ลงไปในห้องใต้ดินเตรียมจะปลูกผัก
ซ่งฝูเซิงพูดอย่างเจียมตัว ความสามารถในการปลูกข้าวของเขาไม่ดีเท่าไหร่ ให้ไปถามผู้สูงอายุหลายๆ คนดูก่อน ห้องใต้ดินปลูกผักเหล่านี้ พวกเราทำลายกำแพงป้องกันไฟไปหนึ่งข้าง จะได้รู้ว่าปลูกกุยช่ายขาวได้เท่าไหร่ ตอนนี้เขาซื้อกระเทียมมาห้าร้อยจิน ถ้าปลูกเต็มพื้นที่ห้องใต้ดิน พวกเรายังต้องซื้อกระเทียมอีกเท่าไหร่
ในที่นี้จะต้องอธิบายว่า ทำไมต้องทำลายกำแพงด้านหนึ่งเพื่อป้องกันไฟ
เพราะซ่งฝูเซิงกลัวว่าเมื่อฤดูหนาวมาถึง แม้จะเป็นห้องใต้ดิน แต่ก็ไม่สามารถที่จะรักษาอุณหภูมิไว้ที่สิบเจ็ด สิบแปดองศาได้ เขากลัวว่าถ้าเกิดปัญหาอุณหภูมิลดลงขึ้นมา จึงตัดสินใจให้เก็บอิฐดินไว้ให้เพียงพอสำหรับการทำเตา และตากอิฐดินให้แห้งเพื่อจะก่อเตียงเตา ฝั่งกำแพงป้องกันไฟ วันไหนที่อากาศหนาวมากเย็นมาก ก็จะให้คนก่อไฟให้ความอบอุ่นภายในห้องใต้ดิน
ท่านตากับท่านลุงซ่งของซ่งฝูเซิง มองตาและร่วมมือกับผู้สูงอายุอีกหลายคนที่เคยทำนา ช่วยกันคิดจำนวนกระเทียมที่ต้องใช้ว่าน่าจะประมาณหนึ่งพันเจ็ดแปดร้อยจิน
ซ่งฝูเซิงรีบคิดจำนวนเงินในใจ
กระเทียมไม่ใช่ว่าปลูกเสร็จแล้วเก็บผลผลิตก็จบ เมื่อเก็บผลผลิตชุดแรกเสร็จ สามารถรอให้พวกมันเจริญเติบโตเก็บเกี่ยวอีกเป็นรอบที่สองได้…
เมื่อเก็บผลผลิตแล้ว ดูแลรดน้ำกระเทียม ก็ยังสามารถเก็บเกี่ยวรอบที่สามได้อีก หนึ่งรอบของการเก็บเกี่ยวใช้เวลาประมาณยี่สิบวัน ถ้านับเวลาปลูกตั้งแต่ตอนนี้ เขาสามารถขายผลผลิตได้จนถึงปีหน้า
จำเป็น จำเป็น ต้องทำแผนการขาย
ขาย ขายประมาณสองพันจิน กระเทียมที่ปลูกได้หนึ่งพันหกร้อย เจ็ดร้อยจิน ยังเหลือ สามถึงสี่ร้อยจิน ถ้ามีแปลงไหนที่ปลูกแล้วไม่ขึ้นให้รีบเปลี่ยนปลูกใหม่ ถ้ามีเหลือก็ไม่ต้องกลัวเก็บไว้กินเองก็ยังได้ กระเทียมหนึ่งหัวมีประมาณห้าหกกลีบ หัวหนึ่งห้าหกกลีบจะทำอะไรได้ คนจำนวนเยอะ กินแกล้มเกี๊ยวและซอส หนึ่งมื้อก็ใช้ห้าหกจินแล้ว