บทที่ 259 ฆ่าปิดปาก
หนานกงเช่อรู้ทันทีโดยไม่ต้องไตร่ตรองให้มากความ ว่านั่นคือการกระทำของเหล่าคนโง่เขลาจากจวนเสนาบดี ‘พวกเขากล้าไปถึงจวนของแม่ทัพใหญ่! คิดว่าการแอบไปสังหารคนๆ หนึ่งมันง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ’
นักฆ่าผู้นั้นถูกนำตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว มองเพียงปราดเดียวก็รู้ทันทีว่ากรามของเขาอ้าค้าง “เขามียาพิษติดอยู่ตรงฟัน เพราะพยายามจะฆ่าตัวตาย”
“ฝ่าบาทเพคะ ทรงพระกรุณาส่งตัวชายผู้นี้มาให้ข้าได้หรือไม่เพคะ” จู่ๆ หนิงเมิ่งเหยาก็ถามขึ้น
“เจ้าคิดจะทำอะไรกับเขา” เซียวชวี่เฟิงฉงนใจ
“ชิงซวงขาดคนทดลองยาเพคะ และข้าได้ยินว่านักฆ่าที่พยายามฆ่าตัวตายนั้นมีความอดทนสูงนัก หากจะทดลองกับเขาก็คงไม่เลวเลยเพคะ” หญิงสาวอธิบายอย่างแผ่วเบา
เซียวชวี่เฟิงคิ้วขมวดเป็นปม ‘นางพูดอะไรให้มันฟังดูไม่น่ากลัวได้หรือไม่เล่า’
“แน่นอน แต่อย่าลืมเค้นข้อมูลจากเขามาให้ข้าด้วยล่ะ”
“ทรงอย่ากังวลเลยเพคะ ชิงเซวียน นำตัวเขาไปให้ชิงซวง บอกนางว่าทรมานเขาได้ทุกวิถีทาง แต่อย่าให้เขาตายก็พอ” หนิงเมิ่งเหยาออกคำสั่งอย่างใจเย็นโดยเมินเฉยต่อร่ายกายที่สั่นเทาของอีกฝ่าย
“รับทราบขอรับ”
ชิงเซวียนจากไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เซียวชวี่เฟิงประหลาดใจ ดูเหมือนว่าชิงซวงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์คนหนึ่ง
“ไม่ทราบว่ารัชทายาทหนานกงคิดอย่างไรกับเรื่องนี้” เซียวชวี่เฟิงมองเขาด้วยรอยยิ้ม แต่มีแววเย้ยหยัน เขาต้องการดูว่าหนานกงเช่อจะจบเรื่องในครั้งนี้ลงเช่นไร
หนานกงเช่อขบฟันและพูดขึ้น “กระหม่อมไม่รู้เรื่องนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ ข้าคิดว่าเจ้าต้องการฆ่าปิดปากใครเสียอีก” เซียวชวี่เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
หนานกงเช่อไม่เคยรู้สึกอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อน ราวกับถูกเฆี่ยนตีจนล้มลงก็ไม่ปาน
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง ในที่สุดหมายเลขศูนย์ก็กลับมาพร้อมข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำของจูเหว่ยในเมืองเซียว
“ดี ดีจริงเชียว” เซียวชวี่เฟิงฟาดกระดาษในมือลงบนโต๊ะอย่างเคร่งเครียด
หนานกงเช่อมองท่าทีของเซียวชวี่เฟิงแล้วรู้สึกไม่ดีนัก
“รัชทายาทหนานกง ดูนี่สิ” ท่าทีของเซียวชวี่เฟิงดูไม่ดีเหมือนก่อน สีหน้าของเขานั้นเคร่งขรึมกว่าเดิม
หนานกงเช่อเอื้อมหยิบกระดาษแผ่นนั้น ก่อนจะอ่านข้อความทั้งหมด จนหนังตากระตุก
แม้ว่าจะไม่ใช่การกระทำของเขาเอง แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น
“รัชทายาทหนานกง คิดดีแล้วหรือที่ปกป้องคนอย่างจูเหว่ย ข้าไม่รู้หรอกว่าในเมืองหลิง เขาจะทำตัวอยู่เหนือกฎหมายเพียงใด แต่ที่นี่คือเมืองของข้า” เวลานี้ ผู้เป็นฮ่องเต้รู้สึกฉุนเฉียวอย่างมาก นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในเมืองเซียว เหล่าหญิงสาวหน้าตาดีไปจนถึงตระกูลผู้ยากไร้ต่างได้รับบาดเจ็บ และหนานกงเช่อก็ใช้อำนาจของตนเองปิดเรื่องนี้ให้เงียบ เซียวชวี่เฟิงจึงจำเป็นต้องพูด
ตอนนี้ หนานกงเช่อรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย หากไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้ก็คงไม่เป็นไร แต่ทว่าตอนนี้มีคนทราบเรื่องแล้ว เขาจึงเกรงว่าหากตนเองไม่ยอมรับ จะทำให้เกิดปัญหาได้
“ทำร้ายผู้หญิงในเมืองเซียวมากกว่าสิบคน รัชทายาทหนานกงคงจะมองว่าชีวิตของผู้คนในเมืองเซียวนั้นไม่ใช่มนุษย์” หนิงเมิ่งเหยามองกระดาษที่ตนหยิบขึ้นมาจากพื้น ก่อนพูดอย่างเหน็บแนม
วาจาของหนิงเมิ่งเหยาเป็นการเติมเชื้อไฟอย่างไม่ต้องสงสัย
“คือ…ข้าอธิบายได้”
เซียวชวี่เฟิงมองหนานกงเช่อก่อนพูดถากถาง “ไม่จำเป็น ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เท่ากับว่าชีวิตของจูเหว่ยดับสิ้นลงแล้ว
“คือ…”
“หรือรัชทายาทหนานกงเช่อคิดว่าฮ่องเต้ไม่มีสิทธิ์ลงโทษจูเหว่ยที่ทำตัวชั่วช้าในเมืองเซียวแห่งนี้เล่า” หนิงเมิ่งเหยาเห็นหนานกงเช่อลังเล จึงพูดออกไปเช่นนั้น
หากคิดจะปล่อยตัวเขาไป เรื่องนี้ก็จะไม่มีวันจบลงแน่
เซียวชวี่เฟิงมองหนานกงเช่ออย่างเยือกเย็น และเต็มไปด้วยความนัย
หนานกงเช่อเห็นแววตานั้นแล้วไม่อาจพูดอะไรได้ นอกจากผงกศีรษะอย่างไร้ทางเลือก “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ทรงพระกรุณาตัดสินบทลงโทษของเขาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวชวี่เฟิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น ก่อนจะหันไปหาเฉียวเทียนช่าง “เทียนช่าง ข้าขอส่งตัวเขาให้กับเจ้า อีกสามวันต่อจากนี้ จงประหารชีวิตเขาโดยการตัดศีรษะต่อหน้าสาธารณชน”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เฉียวเทียนช่างเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย ฮ่องเต้ต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู และเพื่อเตือนให้ผู้ที่วางแผนจะต่อต้านเมืองเซียวรับรู้ว่าอย่าสร้างปัญหาในเมืองเซียวจะดีกว่า
เมื่อเห็นว่าเซียวชวี่เฟิงกำลังส่งสัญญาณตักเตือน สีหน้าของหนานกงเช่อก็ถมึงทึงทันที
บทที่ 260 ความโกลาหล ณ ลานประหาร
เมื่อหนานกงเช่อกลับมายังห้องของตน เขาก็ฉุนเฉียวจนเขวี้ยงข้าวของทุกชิ้นกระจัดกระจาย
“พวกเจ้าเป็นบ้าอะไรกันถึงส่งคนไปจวนของแม่ทัพใหญ่อย่างไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี คิดว่าสถานการณ์มันยังย่ำแย่ไม่พออีกหรือ” เขาจ้องมองผู้คนตรงหน้าด้วยสายตาดุร้ายดั่งอสรพิษ
พวกเขาตัวสั่นสะท้านเมื่อเห็นแววตานั้น “องค์รัชทายาท คือ…คือ…”
“ในอีกสามวันหลังจากนี้ จูเหว่ยจะถูกตัดศีรษะ พวกเจ้าทำตัวให้ดีเถอะ หากยังสร้างปัญหาเพิ่ม ก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปราณีก็แล้วกัน อีกอย่างคือต้องหาคำอธิบายที่เหมาะสมให้แก่อัครเสนาบดีด้วย” หนานกงเช่อรู้สึกว่าการนำจูเหว่ยมาด้วยกันเป็นการตัดสินใจผิดมหันต์
จริงๆ แล้วจูเหว่ยไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่เพราะเขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้เมื่อพบเจอหญิงสาว
หนานกงเช่อยังพอทนได้ หากจูเหว่ยเพียงแค่หยอกล้อกับสาวๆ และหากสถานการณ์เลวร้ายขึ้นหรือมีอะไรผิดพลาด เขาก็สามารถเข้าไปจัดการได้ แต่เจ้าโง่นั่นดันไปเล่นกับภรรยาของแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองเซียว
จูเหว่ยไม่อาจต้านทานหญิงสาวผู้สวยงามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีคุณสมบัติเฉกเช่นนาง แม้แต่หนานกงเช่อเองยังหลงเสน่ห์หนิงเมิ่งเหยาเลย นับประสาอะไรกับจูเหว่ย แต่อีกฝ่ายนั้นมีตาหามีแววไม่ เพราะจากเสื้อผ้าการแต่งกายของหนิงเมิ่งเหยาแล้ว นางไม่ใช่หญิงสาวธรรมดา แต่เขาก็ยังกล้าเข้าไปยุแหย่นาง เห็นได้ชัดว่าเขารนหาที่ตาย
“กระหม่อมรับบัญชา”
แววตาแห่งความโกรธเคืองและรังเกียจฉายขึ้นในดวงตาส่วนลึกของหนานกงเช่อ แผนการของเขาล่มไม่เป็นท่า เพราะเขาประเมินตัวเองสูงเกินไป
“เทียนช่าง เจ้าคิดว่าหนานกงเช่อจะทำเช่นไรต่อ” เซียวชวี่เฟิงเอ่ยถาม ขณะมองเฉียวเทียนช่างและภรรยาของเขาที่ยังไม่กลับ
เนื่องด้วยเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เขาดเปิดเผยตัวตนของหนานกงเช่อสู่สาธารณะได้ นับว่าเป็นผลดีอย่างยิ่ง และเขาก็พึงพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก
เฉียวเทียนช่างเย้ยหยัน “เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะทำอะไรได้นอกจากยอมรับมัน”
“นั่นสิ” เซียวชวี่เฟิงคิดอย่างรอบคอบ หากหนานกงเช่อยังกล้าจะทำการใดๆ เรื่องคงจะยิ่งแย่ไปกว่านี้ และเขาเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น สำหรับพวกเขาแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
“ฉะนั้น เจ้าไปเตรียมการสำหรับการประหารชีวิตในอีกสามวันข้างหน้า และหาคนมาสืบสวนบรรดาเจ้าพนักงานที่พวกเขาไปพบเจอในเมืองหลวง หลังจากพบแล้วก็ฆ่าพวกเขาเสีย” เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้เลย จึงต้องระงับเอาไว้เสียก่อน
“วางใจได้เลยพ่ะย่ะค่ะ ข้ารู้ว่าต้องทำอะไร” แม้ว่าหนานกงเช่อจะไม่ทำการใดๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าอัครมหาเสนาบดีจูจะไม่ลงมือ เพราะเขารักลูกชายเพียงคนเดียวผู้นี้อย่างยิ่ง
สามวันถัดมา ณ ลานประหาร เฉียวเทียนช่างนั่งบนแท่นพิธีระดับสูง เขามองเหล่าฝูงชนเบียดเสียดกันหนาแน่นและดูวุ่นวายไร้ระเบียบเพื่อจะฟังการอ่านความผิดของจูเหว่ย
“ประหารเขา” ไม่รู้ว่าผู้ใดคือคนแรกที่ตะโกนออกมา แต่หลังจากนั้นเสียงร้องของคนอื่นๆ ก็ดังขึ้นจนก้องไปทั่ว
พวกเขาปาผักและไข่เน่าเข้าไปตรงกลางลานประหาร ทำให้เหล่าองครักษ์ด้านข้างต่างติดร่างแหไปด้วย
ทุกคนต่างพึงพอใจที่เจ้าชาติชั่วผู้ไม่สนใจชีวิตมนุษย์คนนั้นจะถูกประหารโดยการตัดศีรษะ
เฉียวเทียนช่างมองดูเหล่าฝูงชน ก่อนจะยกมุมปากขึ้น “เที่ยงแล้ว ประหารชีวิตเขา”
เมื่อเพชฌฆาตยกดาบขึ้นสูงเพื่อประหารจูเหว่ย ทันใดนั้น ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามาตรงกลางลานประหาร
เฉียวเทียนช่างยิ้มอย่างน่ากลัว ก่อนจะหยิบคันธนูพร้อมลูกธนูจากด้านข้าง แล้วยิงออกไปสองดอก โดยดอกหนึ่งพุ่งเข้าไปประสานกับลูกธนูที่กำลังตรงดิ่งเข้ามาจนแยกออกเป็นสองซีก ส่วนอีกดอกหนึ่งพุ่งไปทางที่ลูกธนูพุ่งออกมา
“ทุกคน หมอบ” เฉียวเทียนช่างตะโกนบอกเหล่าประชาชนตรงลานประหาร เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น จึงรีบก้มลงและอยู่นิ่งไม่ไหวติง ขณะเดียวกัน กองกำลังทหารนับร้อยคนก็ปรากฏตัวขึ้น โดยมีเหลยอันและหลินจือโยว รวมถึงชิงเซวียนและคนอื่นๆ อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
ผู้ที่ยิงธนูจากด้านบนหอคอยของประตูเมืองถูกลูกธนูปักทะลุไหล่ของตน ทำให้เลือดไหลท่วมตัว
“สังหารนักฆ่าผู้นั้นโดยไม่ต้องปราณี” เฉียวเทียนช่างมองชายในชุดดำที่กระโจนออกจากหอคอยประตูเมือง ก่อนจะออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว
เหลยอันและคนอื่นๆ ต่างตื่นเต้นอย่างมาก และรีบจับคู่กันเพื่อคอยปกป้องผู้คนและเฝ้าระวังให้อีกฝ่าย ทุกคนขับไล่ศัตรูไปยังสถานที่ห่างไกลและไร้ผู้คน ขณะเดียวกันเซียวฉีเทียนก็นำเหล่าองครักษ์ลับของตนออกมาเพื่อช่วยนำเหล่าประชาชนให้ออกห่างจากการต่อสู้
หลังจากเคลื่อนย้ายคนทั้งหมดออกไปแล้ว เซียวฉีเทียนและคนอื่นๆ ก็มาอยู่ตรงกลางลานประหาร “สังหาร”
“ทราบ”
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันโดยไม่มีประชาชนอยู่ในละแวกใกล้เคียง เฉียวเทียนช่างและคนอื่นๆ ต่างทุ่มจนสุดตัว
เมื่อหนานกงเช่อได้รับข่าว เขาก็หน้าซีดเผือดและรู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก ‘อัครมหาเสนาบดีจู้คิดว่าเขาอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายดีเช่นนั้นหรือ ช่างเป็นตระกูลที่โง่เง่าเสียจริง’