ภาคที่ 2 บทที่ 153 ตรวจสอบ

มู่หนานจือ

ทุกคนต่างเงียบไม่พูดไม่จา

เม็ดเหงื่อผุดพรายออกมาบนหลังของเติ้งเฉิงลู่

มิน่าเล่าเมื่อครู่เฉาเซวียนกับคุณหนูไป๋ซู่ถึงได้แปลกๆ ที่แท้ตอนนั้นพวกเขาก็สงสัยแล้วว่าฮ่องเต้เป็นคนลักพาตัวท่านหญิงเจียหนานไป ดังนั้นคุณหนูไป๋ซู่จึงกลัวว่าคนรับใช้ข้างกายท่านหญิงเจียหนานจะถูกฆ่าปิดปาก และกำลังขอร้องเฉาเซวียน แต่เฉาเซวียนกลับให้คุณหนูไป๋ซู่เรียกคนรับใช้ข้างกายท่านหญิงเจียหนานไปรวมกันให้หมด แถมยังบอกว่า ‘สิ่งที่ควรเกิดก็เกิดขึ้นแล้ว’…

คนเหล่านั้นคงจะถูกฮ่องเต้สั่งให้ฆ่าตัวตายจริงๆ กระมัง?

แม้เติ้งเฉิงลู่จะมาจากตระกูลขุนนางที่มีความดีความชอบและชนชั้นสูง แต่จำนวนคนในตระกูลกลับไม่มากนัก และใช้ชีวิตอย่างรักใคร่กลมเกลียวกันมาก เรื่องพวกนี้เขาเพียงแต่เคยได้ยิน ทว่ายังไม่เคยเจอมาก่อน

เขาอดที่จะเอ่ยอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่นไม่ได้ว่า “ในเมื่อเพียงแค่สงสัย ข้าว่าคิดหาทางสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนว่าฝ่าบาทเป็นคนทำหรือเปล่าอย่างเร็วที่สุดจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นหากข่าวแพร่งพรายออกไป ท่านหญิงเจียหนานก็จำเป็นต้องแต่งงานกับฝ่าบาทแล้ว…”

เติ้งเฉิงลู่เอ่ยพลางมองจ้าวเซี่ยวครั้งหนึ่ง

ข้างกายท่านหญิงเจียหนานมีคนมากมายที่รับใช้นางมาตั้งแต่เด็ก หากเกิดเรื่องขึ้นกับคนเหล่านี้ ท่านหญิงเจียหนานจะต้องเสียใจมากอย่างแน่นอน

เขาอยากช่วยคนเหล่านี้…หากคนที่ลักพาตัวท่านหญิงเจียหนานไปคือฮ่องเต้ เช่นนั้นท่านหญิงเจียหนานก็เป็นคนที่จะเป็นฮองเฮา การกระทำแบบนี้ของฮ่องเต้ทำให้ท่านหญิงเจียหนานเสียชื่อเสียง คนอื่นคงจะไม่คิดว่าฮ่องเต้เป็นฝ่ายผิด มีแต่จะคิดว่าท่านหญิงเจียหนานยั่วยวนฮ่องเต้ ท่านหญิงเจียหนานที่เป็นฮองเฮาจะเผยแพร่ชื่อเสียงแบบนี้ออกไปไม่ได้ เหล่าคนที่รับใช้ท่านหญิงเจียหนานจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ทว่าหากนางไม่ได้ถูกฮ่องเต้ลักพาตัวไป และท่านหญิงเจียหนานไม่ต้องเป็นฮองเฮา ใครแต่งงานกับนาง ชั้นยศของขุนนางก็ต่ำกว่านางทั้งนั้น จึงไม่มีสิทธิที่จะไปตำหนินาง มีแต่ยินดีที่จะรับหรือไม่ และแน่นอนว่าเหล่าคนที่รับใช้ข้างกายนางก็ไม่จำเป็นต้องถูกลงโทษแล้วเช่นกัน

คำพูดของเติ้งเฉิงลู่ทำให้จ้าวเซี่ยวอดที่จะสูดหายใจลึกๆ ไม่ได้

เขาชอบเจียงเซี่ยนจริงๆ

และเขาเชื่อว่า ต่อให้ฮ่องเต้ลักพาตัวเจียงเซี่ยนไป ด้วยการปฏิบัติตัวของเจียงเซี่ยน ฮ่องเต้ก็จะไม่ทำร้ายนางอย่างแน่นอน

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือจะช่วยเจียงเซี่ยนออกมาอย่างไร

แถมยังต้องช่วยออกมาอย่างเงียบเชียบด้วย

ถึงอย่างไรจ้าวอี้ก็เป็นฮ่องเต้ หากเขารู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนเองถูกล่วงเกิน ใครจะกล้ารับประกันว่าเขาจะไม่ต่อสู้จนตายด้วยกันทั้งสองฝ่าย!

ตั้งแต่จ้าวอี้แทงจ้าวเซี่ยวดาบหนึ่งที่ตำหนักเหรินโซ่ว ก็มองออกได้ว่าจ้าวอี้บ้าดีเดือดแค่ไหนแล้ว

ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากกว่าเรื่องนี้

จ้าวเซี่ยวปรายตามองเติ้งเฉิงลู่ครั้งหนึ่ง และเอ่ยกับเจียงลวี่ว่า “อาลวี่ ขอเพียงเจียหนานไม่เปลี่ยนความปรารถนาเดิม ข้าก็จะไม่ทรยศและทอดทิ้งนางเช่นกัน!”

เจียงลวี่ตบบ่าข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของจ้าวเซี่ยวอย่างปลื้มใจ

ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ อย่างน้อยจ้าวเซี่ยวก็ได้แสดงท่าทีต่อหน้าทุกคนอย่างชัดเจนแล้ว

ก็ไม่เสียแรงที่ตอนนั้นตระกูลเจียงกับวังฉือหนิงต่างเลือกเขาแล้วเช่นกัน

เจียงลวี่เอ่ยกับหวังจ้านว่า “เจ้าอยู่หน่วยองครักษ์ เรื่องนี้มีแต่เจ้าที่ถามได้สะดวก เจ้าฉวยโอกาสที่เวลานี้ประตูเมืองยังไม่ปิด รีบกลับไปเมืองหลวงหน่อย หากช้ากว่านี้ ก็เกรงว่าจะต้องรอถึงพรุ่งนี้แล้ว”

เรื่องแบบนี้ยิ่งล่าช้าก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อพวกเขา

ใบหน้าของหวังจ้านหม่นหมองและแย่จนถึงขีดสุดแล้ว เขาพยักหน้าอย่างเงียบๆ และเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเรียกชื่อผู้ติดตามของตนเองไปด้วย และถามว่า “เตรียมม้าพร้อมหรือยัง” ไม่นานเงาร่างของเขาก็หายไปต่อหน้าทุกคน

จินเซียวถอนหายใจยาวเหยียด แล้วเอ่ยอย่างเสียใจและโทษตนเองว่า “หากข้าไม่ชวนท่านหญิงเจียหนานมาที่หมู่บ้านก็ดี?”

เจียงลวี่รู้ว่าทุกคนต่างรู้สึกไม่สบายใจ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องพวกนี้

เขาปลอบใจจินเซียวว่า “หากเขาเป็นคนทำจริง ต่อให้ไม่มีครั้งนี้ ก็อาจจะมีครั้งหน้าเช่นกัน”

จินเซียวพยักหน้า เขาลังเลอยู่ไม่กี่อึดใจก็เอ่ยว่า “ท่านพี่อาลวี่ เรื่องนี้ข้าก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ท่านอยากให้ข้าทำอะไร สั่งมาได้เลย ข้าก็หวังว่าจะหาท่านหญิงเจียหนานเจอได้เร็วหน่อยเช่นกัน”

เจียงลวี่ยิ้มให้เขาอย่างซาบซึ้งใจ

ทว่าเติ้งเฉิงลู่กลับพึมพำอยู่ในใจ

จินเซียวผู้นี้ช่างประจบประแจงจริงๆ อาศัยโอกาสนี้เรียกเจียงลวี่ว่า ‘ท่านพี่อาลวี่’ ขึ้นมาทันที

จะเห็นได้ว่าคนที่สามารถเป็นถึงขุนนางระดับสามได้นั้นไม่ว่าจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นหรือขุนนางฝ่ายบู๊ต่างก็มีจุดที่ตนเองเก่งกว่าคนอื่นทั้งนั้น

หากฮ่องเต้เป็นคนลักพาตัวท่านหญิงเจียหนานไป เขาจะซ่อนนางไว้ที่ไหนกัน?

เติ้งเฉิงลู่มองวัชพืชใบอ่อนสีเขียวที่งอกขึ้นมาบนพื้น และตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง

แสงจันทร์ปกคลุมป่าทึบเหมือนดอกไม้ และทอดแสงสลัวลงบนพื้น

หลี่เชียนนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่ เขาเปิดเสื้อผ้าท่อนบน เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่มีกล้ามท้องอย่างชัดเจน และใช้น้ำมันดอกคำฝอยทารอยช้ำบนหน้าอก

อวิ๋นหลินที่อยู่ไม่ไกลนักลังเลอยู่นานมาก ทว่าสุดท้ายก็ยังเดินไปหาอย่างแผ่วเบา และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหญิง หลับแล้วหรือ?”

หลี่เชียนพยักหน้า พอมือออกแรงก็ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด

อวิ๋นหลินฝืนอดทนยิ้มไว้ และเอ่ยว่า “ข้าช่วยท่านดีกว่า?”

“ไม่ต้องแล้ว” หลี่เชียนมองรถม้าผ้าใบสีดำที่เงียบสงัด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน และเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ายอมเจ็บขึ้นอีกนิด เพื่อชดเชยให้นาง!”

บางทีอาจจะเพราะกลางคืนสวยเกินไป บางทีอาจจะเพราะหญิงงามก็อยู่ข้างกายเขานี่เอง บางทีอาจจะเพราะคำบางคำฝืนอดทนอยู่ในใจมาตลอดและไม่มีโอกาสได้พูดกับคนอื่น

หลี่เชียนชะงักไป และเอ่ยอีกว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยคิด ข้ายังคิดกระทั่งว่า ไว้ผ่านไปสักสองสามปี นางมีลูกแล้ว ข้าซื้อพวกของจิปาถะเล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กเล่นและแสร้งทำเป็นผ่านฝูเจี้ยนไปเยี่ยมนางโดยบังเอิญ หากจ้าวเซี่ยวใจกว้างหน่อย ข้ายังอาจจะได้เป็นพ่อบุญธรรมของเด็กด้วย และหลังจากนั้นก็เพิ่มเสื้อนวมลายดอกให้ลูกของนางปีละตัว ถึงจะแก่แล้ว หากลูกของนางเห็นแก่มิตรภาพของข้ากับนาง บางครั้งก็อาจจะมาเยี่ยมเยียนอาอย่างข้าเช่นกัน แต่เพียงแค่ข้าคิดว่านางจะอิงแอบอยู่ข้างกายจ้าวเซี่ยว ข้าก็เหมือนถูกคนแทงหน้าอก ยอมไม่ได้ ข้ายอมไม่ได้ และยิ่งคิดก็ยิ่งยอมไม่ได้…ทั้งที่ข้าเป็นคนพบนางก่อน แล้วทำไมต้องให้นางแต่งงานกับคนอื่น…ต่อให้สวรรค์จะล้อข้าเล่น ข้าก็จะไม่ทนให้เขาบงการเช่นกัน!”

อวิ๋นหลินไม่เอ่ยสิ่งใด

ความคิดถึงกันกลายเป็นความหลงใหล อย่างไรเขาก็รู้สึกว่าอันตรายเล็กน้อย ทว่าหลี่เชียนเป็นคนที่เขาเคารพนับถือ และเป็นคนที่เขาตัดสินใจว่าจะติดตามไปตลอดชีวิต เขาจึงไม่ควรเป็นคนเอ่ยคำเตือนพวกนั้นออกมา

เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้เป็นเพื่อนหลี่เชียน

ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นยาน้ำแสบจมูก

อวิ๋นหลินมองรอยช้ำบนตัวหลี่เชียน แล้วอยากหัวเราะออกมามาก

หลี่เชียนน่าจะโตมาขนาดนี้ก็คงไม่เคยถูกคนตีหนักแบบนี้เหมือนกันกระมัง?

เขาเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นพวกเราไปทางลัดดีกว่ากระมัง? เป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราต้องใช้เวลาเจ็ดแปดวันกว่าจะถึงซานซี หากเจียงลวี่กับจ้าวเซี่ยวตามมาก็ยุ่งยากแล้ว หรือไม่พวกเราก็ไปเร็วหน่อย รีบเดินทางตอนกลางคืนด้วย…”

“ไม่ได้ ไม่ได้!” หลี่เชียนปฏิเสธโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ “นางร่างกายอ่อนแอ ข้าลักพาตัวนางมาก็รู้สึกผิดกับนางมากแล้ว จะทำให้นางลำบากระหว่างการเดินทางแบบนี้ไม่ได้”

อวิ๋นหลินเอ่ยอย่างจนใจว่า “เช่นนั้นหากพวกเขาตามมา…”

“เวลาที่ควรต่อสู้ก็จำเป็นต้องต่อสู้โดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมาแล้ว” หลี่เชียนเอ่ยอย่างสงบนิ่ง เหมือนไม่ว่าตั้งแต่นี้ไปจะเจอสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบไหน เขาก็จะเดินต่อไปโดยทุ่มเทอย่างสุดกำลังและยอมทนต่อความลำบาก “อย่างไรข้าก็จะไม่ปล่อยมือ!”

อวิ๋นหลินรู้ว่าเวลานี้ไม่มีอะไรทำให้หลี่เชียนเปลี่ยนใจได้แล้ว เขาจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ให้หลิวตงเยว่ขี่ม้าเถอะ! ข้าถามหลิวตงเยว่มาแล้ว เขาบอกว่าเขาขี่ม้าเป็น”

“ให้เขานั่งรถม้าดีกว่า!” หลี่เชียนเอ่ย “ปกติข้างกายท่านหญิงเจียหนานไม่เคยขาดคนรับใช้ดูแล ให้หลิวตงเยว่นอนในรถม้าตอนกลางวัน และเข้าเวรตอนกลางคืน แบบนี้ท่านหญิงตื่นมากลางดึกก็มีคนรับใช้เช่นกัน”

เหมือนตอนนี้ที่หลิวตงเยว่ก็เฝ้าอยู่ในรถม้าของเจียงเซี่ยน