บทที่ 765 + 766 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 765 ท่านช่างคิดมากโดยแท้
จากนั้นกู้ซีจิ่วก็มองหลัวฮูหยินเกล้าผมให้ร่างนั้นของตน เห็นได้ชัดว่านางตื่นเต้นมาก หยาดน้ำตาที่คลออยู่เบ้าตากลิ้งไปมา ปลายจมูกแดงก่ำ ทว่ากลับยิ้มน้อยๆ อยู่ตลอด ดูแลจัดการเส้นผมทั้งหมดของบุตรสาว
ทำให้กู้ซีจิ่วที่มองอยู่ด้านข้างก็รู้สึกว่าโพรงจมูกแสบร้อนขึ้นมาเช่นกัน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ใต้หล้านี้มีบิดามารดาที่ไม่รักใครบุตรอยู่น้อยนัก ปีนั้นหลัวซิงหลานอันจนหนทางจึงต้องกระโดดหน้าผากทอดทิ้งธิดาน้อย อีกทั้งเสียความทรงจำอยู่หลายปี นางปฏิบัติต่อกู้เซี่ยเทียนอย่างสาสม ทว่าทำผิดต่อบุตรทั้งสอง…
หลัวซิงหลานใช้ทั้งชีวิตเพื่อความรัก ปีนั้นที่นางแต่งให้แก่กู้เซี่ยเทียนก็ทะเลาะเบาะแว้งกับบิดามารดาในบ้าน ย่อมตัดขาดกับบิดามารดาเพื่อไล่ตามความรัก และเมื่อความรักนี้สูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง นางก็ทอดทิ้งบุตรสาววัยแบเบาะแล้วกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย…
พฤติกรรมเช่นนี้ของนางมิอาจกล่าวได้ว่าผิด แต่ก็ไม่กล่าวได้ว่าถูก กู้ซีจิ่วชื่นชมในความเข้มแข็งของนาง แต่ไม่ชื่นชมที่นางใช้วิธีเช่นนี้
มนุษย์เกิดมาบนโลก มิใช่มีเพียงความรักเท่านั้น ยังมีสายใยครอบครัว สายใยเพื่องพ้อง…
หากว่าเป็นตัวเธอกู้ซีจิ่วที่ประสบสถานการณ์นี้แบบนาง ในเมื่อไม่รักบุรุษสวะผู้นั้นแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าเขาจะรับอนุงามอันใดมา หาทางยืนในเรือนแห่งนั้นให้มั่นคง ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกผิดของกู้เซี่ยเทียนเขี่ยเหลิ่งเซียงอวี้ทิ้งแล้วค่อยว่ากันอีกที ให้เด็กทั้งสองได้รับการศึกษาอย่างดีที่สุด อีกสิบปีให้หลังใต้หล้านี้ยังจะมิใช่ของนางหลัวซิงหลานอีกหรือ?
กู้ซีจิ่วขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าหากเธอทะลุมิติมาเข้าร่างหลัวซิงหลาน… (คาดว่าคงเป็นนิยายแก่งแย่งชิงดีในครอบครัวเรื่องหนึ่ง)
ต่อให้ไม่อาลัยอาวรณ์จวนแม่ทัพ ก็ไม่อาจฆ่าตัวตายให้เหลิ่งเซียงอวี้ได้ผลประโยชน์ไปง่ายๆ กระมัง? ควรหาทางมัดใจกู้เซี่ยเทียนไว้ก่อน วางแผนเอาชีวิตเหลิ่งเซียงอวี้ จากนั้นค่อยพาลูกทั้งสองหลบหนีไป ร่อนเร่ไปหาแหล่งพักพิงใหม่ (ดูเหมือนจะเป็นนิยายสายบุกเบิกถิ่นฐานไปอีกแล้ว)
ขณะที่ความคิดเธอค่อนข้างล่องลอย ตี้ฝูอีก็ส่งกระแสเสียงเข้ามาอีกครั้ง ‘เสี่ยวซีจิ่ว…อย่าลืมเตรียมของขวัญไว้ให้ตัวเองด้วย’
ปฏิกิริยาตอบสนองของกู้ซีจิ่วช้าไปเล็กน้อย ถึงค่อยตอบกลับ ‘ท่านอยากให้ของขวัญใดแก่ข้า’ พลันชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า ‘ข้าไม่อยากได้ของขวัญจากท่าน!’
ติดค้างคนผู้นี้มิใช่เรื่องดี อาจมีดอกเบี้ยบานเบอะก็ได้
สัญชาตญาณของเธอไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้มากเกินไป ย่อมไม่ต้องการสิ่งของจากเขาเช่นกัน
ตี้ฝูอีราวกับเดาความคิดทั้งหมดในใจของเธอได้ แววตาจึงมืดมนลงเล็กน้อย ทว่ายิ้มแล้วเอ่ยว่า ‘เป็นแค่ของขวัญที่มอบให้เจ้าในพิธีปักปิ่นเท่านั้น ทุกคนล้วนต้องมอบให้ ไม่เกี่ยวว่าจะติดค้างหรือไม่ และไม่มีการไม่ต้องการ เจ้าเจตนาไม่รับของข้าโดยเฉพาะ หมายความในใจของเจ้ายังคงชิงชังข้าอยู่ใช่หรือไม่? ไร้รักย่อมไร้ชัง เช่นนั้นบางทีอาจเป็นการยืนยันว่าสำหรับข้าแล้วเจ้ายัง…’
เขายังไม่ทันได้เอ่ยประโยคหลังออกมาก็ถูกกู้ซีจิ่วเอ่ยตัดบท ‘ท่านช่างคิดมากโดยแท้! เอาเถิด ท่านจะให้อะไรข้า? ข้าจะได้หยิบออกจากมิติเก็บของท่านมาเตรียมไว้’
ตี้ฝูอีสั่งให้เธอหยิบถุงเก็บของสีม่วงเข้มใบหนึ่งจากมิติเก็บของมาเตรียมไว้
กู้ซีจิ่วมองสำรวจถุงเก็บของใบนั้นล่วงหน้า นอกจากสีม่วงแพรวพราวที่เป็นประจำตัวของท฿ตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ น่าจะเป็นถุงเก็บของระดับสูงใบหนึ่ง ไม่นับว่าเป็นของล้ำค่าจนเกินไป
กู้ซีจิ่วสบายใจแล้ว
หลังจากเกล้าผมเสียบปิ่นเสร็จ ผู้อาวุโสก็จะพาไปกราบไหว้ฟ้าดิน
ผู้อาวุโสท่านนี้ควรเป็นบุคคลที่ทรงคุณวุฒิน่านับถือที่สุดในบรรดาคนที่มาร่วมงาน และเห็นได้ชัดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีเหมาะสมกับหน้าที่นี้ ย่อมเป็นธรรมดานัก ที่หน้าที่นี้จะตกอยู่ที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
กู้ซีจิ่วทำได้เพียงลุกขึ้น ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ทั้งหมดที่คนเหล่านั้นกล่าว จูงมือตี้ฝูอีไปกราบไหว้ฟ้าดิน
เธอต้องจุดธูปดอกหนึ่งก่อน จากนั้นก็กระซิบภาวนาต่อฟ้าดินสองสามคำ จากนั้นก็ส่งธูปให้ตี้ฝูอี หลังจากเขาคุกเข่ากราบก็นำไปปักไว้ในกระถางธูปที่ใต้ป้ายอักษรฟ้าดิน
————————————————————————————-
บทที่ 766 รู้สึกว่าพูดจาล่อลวงให้เธอกราบไหว้ฟ้าดิน
ที่แท้พิธีปักปิ่นก็สลับซับซ้อนถึงเพียงนี้ เกือบจะเหมือนการกราบไหว้ฟ้าดินในพิธีสมรสแล้ว!
กู้ซีจิ่วหงุดหงิดเล็กน้อย แต่โชคดีว่าเรื่องที่เธอต้องทำมีไม่มาก ดังนั้นหลังจากเธอแสร้งวางท่าสวดภาวนาครู่หนึ่ง ก็ยื่นธูปใส่มือตี้ฝูอี ยิ้มหัวพลางมองเขาที่อยู่ในร่างของกู้ซีจิ่วคุกเข่ากราบกรานทวยเทพ…
ในใจเธอรู้สึกยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นอยู่บ้าง ตี้ฝูอีสูงส่งเหนือปวงชนมาตลอด คาดว่านอกจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาคงไม่เคยกราบกรานผู้ใด แต่ยามนี้กลับต้องมาหมอบกราบในร่างของผู้อื่นอยู่ที่นี่…
อืม นับว่าเป็นการเอาคืนเขาแล้ว!
ขณะที่เธอนึกยินดีอยู่ ยามที่ตี้ฝูอีรับธูปไปไม่ทันได้ระวังไม่รู้ว่าเท้าไปสะดุดสิ่งใดเข้า พลันส่ายโงนเงน พพุ่งเข้ามาหาเธอ!
ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงได้โอบร่างอรชรหอมกรุ่นไว้เต็มอ้อมแขน…
ยามนี้เธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงสักเท่าใดเช่นกัน ประกอบกับตี้ฝูอีพุ่งเข้าใส่เธอในมุมที่ยากจะรับมือ บังเอิญว่าเธอยืนไม่มั่นคงอยู่พอดี ดังนั้นร่างของเธอจึงล้มลงไปโดยที่ยังโอบ ‘ร่างอรชรหอมกรุ่น’ เอาไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้…
รอจนยามที่ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอกลับมาอีกครั้ง เธอกับตี้ฝูอีก็คุกเข่าเคียงกันอยู่บนพื้นแล้ว แถมตี้ฝูอียังทำงานได้หมดจดหายห่วง เขาถือโอกาสปักธูปลงในกระถางธูปที่อยู่เบื้องหน้า…
เนื่องจากการเคลื่อนไหวเหล่านี้สอดคล้องกันพอดิบพอดีเกินไป ประหนึ่งคนทั้งสองกำลังกราบไหว้ฟ้าดินร่วมกันก็มิปาน…
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ คิดจะลุกขึ้นทันที แต่เพิ่งจะลุกได้ครึ่งทาง สองขาพลันอ่อนยวบ คุกเข่าลงไปอีกครั้ง
แถมการคุกเข่านี้ของเธอก็บังเอิญหันไปทางตี้ฝูอีพอดี และจี้ฝูอีก็กำลังเริ่มกราบครั้งที่สองอยู่…
ท่าทางอขงทั้งสองคนคล้ายคู่สามีภรรยายามที่คำนับซึ่งกันและกัน…
ครั้งนี้คนทั้งสองโขกศีรษะให้กันและกัน
หลงซือเย่ที่ยืนดูอยู่ด้านข้างทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบเข้าไปทันที “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย นี่ท่านกำลังทำอะไรอยู่?!”
กู้ซีจิ่วมีทุกข์ทว่าไม่อาจพูดออกไป ในใจเธอทราบดีว่าการโขกศีรษะสองครานี้ของตนค่อนข้างมีลับลมคมใน มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่จะเป็นเล่ห์กลของตี้ฝูอีที่อยู่เบื้องหน้าแต่ยามนี้เธอไม่อาจเปิดโปงเขาได้ ได้แต่ลุกขึ้น ขณะที่กำลังหาข้ออ้างมารับหน้าแบบขอไปทีอยู่ ตี้ฝูอีก็ลุกขึ้นมาแล้วเช่นกัน สีหน้าเขาเรียบเฉย เหลือบมองหลงซือเย่แวบหนึ่ง “เจ้าสำนักหลง ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแค่เท้าลื่นเท่านั้นท่าจะมาเสียงดังโวยวายตรงนี้ทำไม?”
ดวงตาของหลงซือเย่ฉายแววปวดร้าวแวบหนึ่ง “ซีจิ่ว…”
ตี้ฝูอีพยักหน้าให้เขานิดๆ ใช้สำเนียงการพูดของกู้ซีจิ่วเช่นเดิม “เจ้าสำนักหลง เชิญไปนั่งก่อนเถิด เดี๋ยวซีจิ่วจะไปยกน้ำชาให้ท่านภายหลัง”
หลงซือเย่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง หันหลังกลับไปนั่งอีกครั้งเงียบๆ
กู้ซีจิ่วเดือดดาลอยู่ในใจ ‘ตี้ฝูอี ท่านอย่าได้อาศัยร่างข้าไปทำร้ายเขา!’
ตี้ฝูอีมองเธอแวบหนึ่งแล้วกล่าว ‘เช่นนั้นจะปล่อยให้เขาตำหนิเจ้าหรือ?’
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว ‘คนที่เขาตำหนิคือท่านชัดๆ!’
‘แต่ตอนนี้ผู้ที่ครอบครองร่างของข้าคือเจ้า’
‘แล้วอย่างไรเล่า? เขาตำหนิก็มีเหตุผล เมื่อครู่ตัวการที่ทำให้ข้าคุกเข่าถึงสองครั้งคือท่านใช่ไหม?’ กู้ซีจิ่วถามตรงๆ
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง ‘ใช่’
‘เพราะเหตุใด’
‘พิธีปักปิ่นนี้เดิมทีก็ตระเตรียมไว้เพื่อเจ้า ความจริงแล้วผู้ที่ควรกราบไหว้ฟ้าดินในยามนี้คือเจ้า เรื่องที่พวกเราสลับร่างกันสามารถปกปิดผู้อื่นได้ แต่ไม่อาจตบตาฟ้าดินได้ ดังนั้นเจ้าผู้เป็นเจ้าของร่างนี้ก็สมควรกราบด้วย’
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก เป็นแบบนี้จริงเหรอ? ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าตี้ฝูอีพูดจาล่อลวงให้เธอกราบไหว้ฟ้าดินกันนะ?
บางทีเธอคงระแวงมากไป
นี่คือองค์ประกอบเล็กๆ ในพิธีปักปิ่นครั้งนี้ เมื่อผ่านองค์ประกอบเล็กๆ ไปแล้ว ขั้นตอนหลังจากนั้นก็ราบรื่นมาก