ตอนที่ 92 เจ้าเป็นใครกันแน่ ?

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ราชาโอสถโบกมือ กล่าวขึ้น “รอให้ข้าจัดการทุกอย่างให้สะอาดเรียบร้อยก่อนแล้วเราค่อยมาว่ากัน ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาต้อนรับพวกเจ้า”

กล่าวจบร่างเขากะพริบหายไปทันที

ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ราชาโอสถผู้นี้ยังหนุ่มยังแน่นนัก หลังจากนั้นไม่นาน เสียงไพเราะเสนาะหูดังขึ้นด้วยความปีติยินดี “ไหนบอกข้ามาซิว่าจะให้ข้าช่วยผู้ใดกัน ?”

มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้แล้วก็หันมองบุรุษหนุ่มผิวขาวร่างสูงยาวเข่าดีเดินออกมา คิ้วเขาโก่งราวคันศร ผิวพรรณขาวผ่องดุจดั่งหิมะ ขนตาหนางอนยาวดั่งรูปพระจันทร์เสี้ยวบนเปลือกตา ดวงตาสดใสดูนิ่งสงบทว่ากลับซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในนั้น สายลมพัดเส้นผมอันดกดำราวน้ำหมึกชั้นดีของเขาเบา ๆ ร่างสูงเพรียวนั้นยืนตรงราวกับเทพในนิยายที่กำลังยืนเหยียบก้อนเมฆก็มิปาน

มู่เฉียนซีกับเหล่าบรรดาองครักษ์เงาตระกูลมู่ต่างตะลึงกัน คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่มีใบหน้าสีเทาเมื่อครู่จะงดงามราวเทพจุติเยี่ยงนี้ได้

มู่เฉียนซี “ตัวข้าผู้นี้มิได้มาเพื่อให้ท่านช่วยผู้ใด ทว่าข้ามาพบท่านก็เพื่อที่จะขอของสำคัญสองสิ่งนั่นก็คือ หยกจันทราชิงหลานกับดอกขี้เหล็กอำพัน”

ดวงตาราชาโอสถ—จวินโม่ซี เป็นประกายกล้า ใบหน้าทาบทาความโกรธขึ้ง

“ข้าช่วยคนตกทุกข์ได้ยากเท่านั้น ไม่ได้ขายยาขายสมุนไพร ถือโอกาสตอนที่ข้ายังไม่โกรธพวกเจ้า รีบออกไปจากหุบเขาราชาโอสถของข้าซะ”

“ข้ายังไม่ได้ในสิ่งที่ข้าปรารถนา จะไปจากที่นี่ได้อย่างไรกันเล่า หากท่านมอบหยกจันทราชิงหลานกับดอกขี้เหล็กอำพันให้ข้า ท่านประสงค์สิ่งใดข้ามอบให้ได้ทุกประการ” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจริงจัง

“หุบเขาราชาโอสถของข้ามีกฎมีเกณฑ์ของข้าเอง  หากช่วยเหลือคนย่อมทำได้ แต่หากซื้อขายยาหรือสมุนไพร เกรงว่าจะไม่ได้”

มุมปากมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย “ช่วยคนรึ ? หากท่านสามารถแก้พิษมืดได้ ข้าก็จะขอให้ท่านไปช่วยคนได้สินะ ?”

จวินโม่ซีได้ยินเช่นนี้พลันผงะไป “หืม ? พิษมืดเป็นพิษจากยาพิษโบราณ แม้แต่ยาลูกกลอนระดับเก้าก็มิอาจรักษาให้หายได้ ต่อให้ข้าสามารถหลอมยาลูกกลอนระดับเก้าได้ ก็มิอาจรักษาพิษมืด”

มู่เฉียนซีกล่าวทันที “ถ้าหากว่า… เอ่อ… ขอเพียงแค่ท่านมอบหยกจันทราชิงหลานกับดอกขี้เหล็กอำพันให้ข้า  ข้าก็จะแก้พิษนั่นได้”

“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ?! ถึงแม้ว่าสมุนไพรสองชนิดนี้จะล้ำค่า ก็รักษาดวงตาได้เพียงเท่านั้น หากบอกว่ามันแก้พิษมืดได้แล้วละก็ คงจะเป็นเพียงฝันไปเท่านั้น ข้ายืนยันผลไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“ท่านบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้จริง ๆ เช่นนั้นรึ ? หากท่านรู้น้อยไปก็อย่ากล่าวมั่วซั่วดีกว่า” มู่เฉียนซีโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน นางเริ่มกรุ่นโกรธขึ้นมาแล้ว

“จะ… เจ้า! โอหังนัก เจ้าว่าใครรู้น้อย ?” จวินโม่ซีกล่าวฉุน ๆ

“ในเซี่ยโจวแห่งนี้ฝีมือการปรุงยาของข้าไม่เป็นสองรองใคร เจ้ากล้าว่าข้าเป็นผู้รู้น้อยได้อย่างไร ?!”

มู่อีผงะไปชั่วขณะ ที่ผ่านมาได้ยินมาเสมอว่าราชาโอสถผู้นี้มีความรู้ความสามารถด้านการปรุงโอสถ ไม่คิดเลยว่านั่นจะเป็นเพียงคำร่ำลือ

มู่เฉียนซีดูออกว่าราชาโอสถผู้นี้เย่อหยิ่งระคนดื้อรั้น จะให้เขาแหกกฎหุบเขาราชาโอสถนั้น เขาไม่ทำแน่นอน แต่ถึงอย่างไรนางก็มีวิธีอื่น

“เอาล่ะ ในเมื่อท่านไม่ยอมแพ้ เช่นนั้นเรามาแข่งกันสักตั้งดีหรือไม่ ? เรามาปรุงยาพิษแข่งกัน หากท่านพ่ายแพ้ให้กับข้า ท่านเอาสมุนไพรสองชนิดนั่นมอบให้ข้า แต่หากข้าพ่ายแพ้ท่าน…”

มู่เฉียนซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่เขาอยากจะได้เลย ราชาโอสถผู้นี้ไม่ได้ต้องการเงิน  ตระกูลมู่นอกจากเงินทองแล้วก็ไม่มีอะไรที่ล้ำค่าเลย

จวินโม่ซีกล่าวขึ้นมา “หากเจ้าพ่ายแพ้ข้า ข้าจะเอาเจ้าผู้เย่อหยิ่งมาเป็นฟืนเผาไฟ”

ความโกรธมู่อีพลันปะทุ “ราชาโอสถ บังอาจยิ่งนัก!”

แน่นอนว่ามีผู้ที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟยิ่งกว่ามู่อี ทันใดนั้นกลิ่นอายสังหารกระหายเลือดกระจัดกระจายไปทั่ว ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้น

“อยากตายรึ ?!”

— บูม! —

จวินโม่ซีรับรู้ได้ถึงอันตรายทันที เขาปลดปล่อยพลังทั้งหมดเพื่อต่อต้านกับไอสังหารนั้น พลางมองไปที่จิ่วเยี่ยผู้สวมหน้ากากดำซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ มู่เฉียนซี บุรุษผู้มีรูปร่างสูงยาวราวกับปีศาจในยามรัตติกาลก็มิปาน ไหนจะดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือก ดูแล้วอันตรายอย่างยิ่ง!

มู่เฉียนซีผงะไปเช่นกัน นางเหลือบมองจวินโม่ซีพลางรับรู้ได้ว่าความแข็งแกร่งของบุรุษผู้นี้ต้องมากกว่าท่านอาเล็กเป็นแน่แท้  อายุเพิ่งจะแค่ยี่สิบปี คิดไม่ถึงเลยว่าพลังจะแข็งแกร่งเช่นนี้

จวินโม่ซีกัดฟันแน่น เขากล่าวว่า “หากพวกเจ้าคิดจะปล้น ข้าจะทำลายสมุนไพรนั่นให้สิ้นซาก”

ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นที่ลับตาคน แต่ความแข็งแกร่งของราชาแห่งภูตนั้น เขารับรู้ได้อย่างชัดเจน หากเกิดการต่อสู้ขึ้น เขารู้ตัวดีว่ามิอาจสู้บุรุษหน้ากากดำผู้นั้นได้

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “หรือว่า ข้าเปลี่ยนข้อตกลงดีกว่า หากข้าแพ้ท่าน ข้าจะช่วยท่านดูแลสวนสมุนไพรให้ท่านเป็นเวลาสามเดือน”

จวินโม่ซีโบกมือ “ไม่ต้อง เอาเป็นว่าหากเจ้าแพ้ข้า เจ้าเอาตัวบุรุษอันตรายผู้นี้กลับไปและออกไปให้ไกลจากหุบเขาราชาโอสถเป็นพอ ข้ากลัวว่าขืนอยู่นานกว่านี้ ข้าจะฝันร้ายเอาได้”

“ได้ ข้ารับปาก”

จวินโม่ซีกล่าวถาม “แล้วเจ้าจะให้แข่งขันอย่างไรรึ ?”

มู่เฉียนซี “เรามาแข่งกันง่าย ๆ ดีหรือไม่ ?”

“ง่าย ๆ รึ อย่างไรล่ะ ?”

“ข้าจะวางยาพิษท่าน หากท่านแก้พิษได้ถือว่าชัยชนะเป็นของท่าน แต่หากท่านมิอาจแก้พิษได้ ท่านเป็นผู้พ่ายแพ้ทันที” ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายเจ้าเล่ห์

หากแข่งขันอย่างอื่น ความมั่นใจว่าจะชนะชายหนุ่มราชาโอสถผู้นี้ มู่เฉียนซีนางมั่นใจไม่เต็มสิบส่วน

จวินโม่ซีครุ่นคิด ตัวเขาเป็นถึงราชาแห่งภูตวัยหนุ่ม ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาอันห่างไกลเช่นนี้ ได้เป็นถึงราชาโอสถผู้ปราดเปรื่องมีรึจะกลัวนาง  สตรีโอหังนี่มาดูถูกเขา เขาย่อมยอมไม่ได้  เขากล่าวขึ้น “ตกลง แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่สมดั่งปรารถนา ในแผ่นดินเซี่ยโจวไม่มีพิษใดที่ทำอะไรข้าได้”

มู่เฉียนซี “เช่นนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า” ว่าแล้วนางเดินตรงไปที่จวินโม่ซี หยิบเอาเข็มยาออกมาแทงเข้าที่แขนของเขาทันที

จวินโม่ซีบอกว่าไม่มีพิษใดในแผ่นดินเซี่ยโจวที่จะทำอันตรายเขาได้ แต่ยาพิษของมู่เฉียนซีนั้นไม่ใช่ยาพิษของเซี่ยโจว มันเป็นยาพิษจากดินแดนหมอปีศาจ

“จะ… เจ้า นี่มันสิ่งใดกันนี่ ?!” จวินโม่ซีมองนาง ก่อนจะมองดูเข็มยาพิษที่ปักอยู่บนแขนของตน  เมื่อเข็มละเอียดจมลงไปในผิวหนัง เขาก็รู้สึกมีของเหลวซึมเข้าสู่เส้นเลือดอย่างรวดเร็ว

จากนั้นจวินโม่ซีรู้สึกได้ว่าพิษกำลังแล่นกระจายไปทั่วร่างกาย เขามิอาจรู้ได้ว่ามันคือพิษชนิดใด ต้องใช้สมุนไพรชนิดใดในการแก้พิษ

จวินโม่ซีเข้าไปในห้องโอสถและบอกกับตนเองว่าจะพ่ายแพ้แก่นางไม่ได้เด็ดขาด

เวลานั้นเอง มู่เฉียนซีหันไปกล่าวกับมู่อี “พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนได้แล้ว หลังจากวันพรุ่งนี้ เราจะมุ่งหน้าไปเทือกเขาชีชง  ถึงตอนนั้นแล้วเราคงจะผ่อนคลายกัน”

“ขอรับ”

แม้มิอาจรู้ว่าท่านผู้นำจะไปที่แห่งนั้นเพื่อกระทำการใด ทว่าพวกเขาก็ยังต้องทำตามท่านผู้นำแต่โดยดี

ราชาโอสถในเวลานี้มัวแต่หายาแก้พิษ ไม่มีเวลาจัดที่อยู่ให้พวกนาง ดังนั้นมู่เฉียนซีกับองครักษ์เงาอีกเก้าสิบเก้าร่างจึงทำได้เพียงตั้งกระโจมสำหรับพักผ่อนในหุบเขาราชาโอสถ

มู่เฉียนซีเหลือบมองจิ่วเยี่ยที่ยืนอยู่เงียบ ๆ  จากนั้นเอ่ยปากกล่าวถามเขาว่า… “จิ่วเยี่ย เจ้าว่างมากนักรึ ถึงได้มีเวลาตามข้ามาถึงหุบเขาราชาโอสถแห่งนี้ได้”

“อืม”

แคว้นจื่อเยี่ยมิได้อยู่ในสายตาของเขาแม้แต่น้อย  อีกประการหนึ่ง ฮ่องเต้ก็มิกล้าโยนเรื่องที่น่าเบื่อให้กับเขาด้วย

มู่เฉียนซีมองจิ่วเยี่ย ใช้เสียงทุ้มต่ำกล่าวถาม “แม้แต่ราชาโอสถผู้เป็นราชาแห่งภูตก็ยังเกรงกลัวเจ้า ตกลงแล้วความแข็งแกร่งของเจ้าอยู่ระดับใดกันแน่ ?  เจ้าเป็นคนอย่างไรกันแน่ หืม ? จิ่วเยี่ย”

.