เล่ม 1 ตอนที่ 129 สุนัขแก่นั่นอีกแล้วหรือ

ราชินีพลิกสวรรค์

ล้วนเป็นยอดหลิงซื่อกันทั้งนั้น!

 

 

ไม่แปลกใจเลยว่าการแข่งขันก่อนหน้านี้ เจียงหลีใช้เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถปราบศัตรูได้แล้ว

 

 

พอเห็นพลังอำนาจเหนือท้องนภา ในที่สุดฝูงชนที่มุงดูอยู่ก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบ

 

 

แท้จริงแล้ว หญิงสาวที่ดูอ่อนกว่าเพียงไม่กี่ปี ได้ก้าวไปถึงขั้นสูงสุดของระดับหลิงซื่อแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขานึกว่าหญิงสาวผู้นี้พูดจาโอ้อวด ไร้ยางอายสิ้นดี!

 

 

บัดนี้ ผู้ที่ไร้ยางอายสมควรเป็นพวกเขาเสียมากกว่า

 

 

ผู้คนที่เฝ้าติดตามเจียงหลีมาตั้งแต่เริ่มต้น ต่างรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณแก้มไปชั่วขณะ

 

 

บนสังเวียน เจียงหลีและไป๋หลี่เฟิ่งล้วนเป็นยอดหลิงซื่อและต่างปล่อยวิญญาณยุทธ์เป็นครั้งแรกต่อหน้าสาธารณชน

 

 

รอบๆ สังเวียนแห่งนี้ ดึงดูดอาจารย์และลูกศิษย์ของสถาบันไป๋หยวนจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งหนานอู๋เฮิ่นและเฟิงสิงอวิ๋นมิได้เข้าใกล้สังเวียนมากนัก พวกเขายืนมองจากระยะไกล ไม่แม้แต่จะทำให้ผู้คนแตกตื่นเลยสักคน

 

 

หลังจากนั้นไม่นานก็มีเงาคนมายืนอยู่ข้างๆ หลายคน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นเจ็ดวีรบุรุษที่โดดเด่นของสถาบันแห่งนี้

 

 

พอพบเจอกับหนานอู๋เฮิ่นและเฟิงสิงอวิ๋นแล้ว พวกเขาต่างเรียกกันในฐานะพี่น้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน

 

 

สมาชิกของเจ็ดวีรบุรุษ มีจำนวนห้าคนที่ยังอยู่ที่สถาบันแห่งนี้ โดยมิได้มีใครเดินเข้าไปใกล้เลย แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนสังเวียนกลับปิดพวกเขาไว้ไม่ได้

 

 

“พี่ใหญ่ นี่คือคนที่พี่เลือกในครั้งนี้หรือ พี่เป็นคนที่พิถีพิถันที่สุดในบรรดาพวกเราแล้ว ถึงขั้นยอมขาดดีกว่าได้คนด้อยคุณภาพ คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้พี่จะเลือกไว้ถึงสองคน” เหล่าซื่อยิ้มกล่าว

 

 

หนานอู๋เฮิ่นนิ่งเฉย แล้วมองไปที่บุคคลทั้งสองบนสังเวียนแล้วกล่าวว่า “รักในความสามารถอย่างแรงกล้า”

 

 

 

 

บนสังเวียน พลังวิญญาณที่ปะทะกัน วิญญาณยุทธ์ที่ต่อสู้กันทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง

 

 

การกระเพื่อมของพลังวิญญาณแพร่กระจายไปยังบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็วจนทำลายก้อนอิฐบนสังเวียน พร้อมกับทำให้ผู้คนที่เดิมทีถอยห่างออกไปแล้ว ต่างตกใจกลัวจนต้องถอยหลังออกไปอีกหลายก้าว

 

 

“พลังอำนาจนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”

 

 

“นี่คือพลังของหลิงซื่อจริงๆ หรือ”

 

 

“ข้ารู้สึกว่าหากพวกเขาจะต่อสู้กับหลิงเจี้ยง ก็มิเห็นว่าจะเสียเปรียบอะไรเลย!”

 

 

“…”

 

 

การวิพากษ์วิจารณ์อย่างตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้ได้ผุดขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่มุงดูอยู่

 

 

ขณะที่ ควันมอดมลายไปหมดแล้ว ทั้งสองที่อยู่บนสังเวียนยังคงจ้องมองหน้ากันอย่างตั้งใจ ดวงตาของพวกเขาเหมือนไฟที่กำลังลุกโหมมุ่งมั่นที่จะต่อสู้และอดทนรอการท้าประลองครั้งนี้ไว้ไม่ไหวแล้ว ในเวลาเดียวนี้เองพวกเขาทั้งสองคนต่างเคลื่อนตัวพุ่งเข้าหากัน

 

 

ฮึ่มมม!

 

 

ฟิ้ววว!

 

 

เลี่ยเทียนชื่อที่อยู่ด้านหลังของทั้งสอง เงาลวงตาของชิงเฟิ่ง ต่างเริ่มปะทะกันอย่างดุเดือดกลางเวหา

 

 

กรงเล็บอันแหลมคมของเลี่ยเทียนซื่อต้องการฉีกชิงเฟิ่งออกเป็นชิ้นๆ ส่วนชิงเฟิ่งก็มิได้แสดงความอ่อนแอใดๆ ออกมาให้เห็น ปีกที่กางออกนั้นขดตัวในสายลมเพื่อต้านทานการโจมตีอันเ**้ยมโหดของเลี่ยเทียนซื่อ และกรงเล็บที่แหลมคมคู่นี้ก็เข้าโจมตีเลี่ยเทียนซื่อด้วยเช่นเดียวกัน

 

 

การต่อสู้ของวิญญาณยุทธ์กลางเวหา ทำให้ทุกคนถึงกับประหลาดใจ

 

 

และการท้าประลองระหว่างเจียงหลีและไป๋หลี่เฟิ่งนี้ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาทรงพลังยิ่งนัก

 

 

เสียงปะทะกันระหว่างหมัดและเท้าดุจค้อนและเหล็ก ซึ่งแรงปะทะกันเช่นนี้ ทำให้ผู้คนรอบข้างที่ได้ยินเสียงเหล่านี้ต่างรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที

 

 

ร่างของทั้งสองเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แสงสีดำและแสงสีฟ้าเข้าประสานเข้าหากัน ซึ่งรวดเร็วจนคนดูมองไม่ออกว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบหรือเสียเปรียบ

 

 

“ช่างเป็นทักษะการต่อสู้ที่ช่ำชองยิ่งนัก!”

 

 

“ทั้งสองตระหนักรู้ถึงทักษะการต่อสู้ที่พวกเขาฝึกฝนมาจนถึงระดับนี้เชียวหรือ!”

 

 

“โชคไม่ดีเสียจริงๆ ที่เข้าสู่สถานบันไป๋หยวนพร้อมกับพญามารเหล่านี้ รัศมีส่องประกายหลังจากนี้ คงมีไว้สำหรับสองคนนี้ ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว”

 

 

“คิดเช่นนี้ก็ไม่ถูก หากพวกเราได้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับผู้ถูกเลือกทั้งสองและได้เห็นการเจริญเติบโตของทั้งสองคนด้วยตาของเราเอง จะโชคดีสักเพียงใด”

 

 

“เฮ้อ หากไม่นับความยิ่งใหญ่ของวิญญาณยุทธ์ อาศัยเพียงการตระหนักรู้ถึงทักษะการต่อสู้อย่างเดียว ข้าก็แพ้แล้ว”

 

 

“ไม่เป็นไร พวกเราอย่าไปเปรียบเทียบกับพญามารพวกนั้น”

 

 

“…”

 

 

การต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมและการปะทะกันอย่างดุเดือด ทำให้เจียงหลีรู้สึกเพลิดเพลิน ในช่วงวัยกำลังเจริญเติบโต สามารถพบเจอคู่ต่อสู้เช่นนี้ถือว่าโชคดียิ่งนัก

 

 

ฮึ่มมม!

 

 

ทันใดนั้น เลี่ยเทียนซื่อก็ส่งเสียงคำรามลั่น ร่างลวงตาของมันได้ขยายใหญ่ขึ้นทันที ด้านแหลมคมบนศีรษะพุ่งชนไปทางชิงเฟิ่งและฉีกทำลายช่องท้องของชิงเฟิ่งทันที

 

 

ฟิ้ววว!

 

 

ชิงเฟิ่งร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ปีกของมันถูกกรงเล็บของเลี่ยเทียนชื่อตะครุบไว้อย่างแน่นหนาปรางตายและใช้แรงฉีกปีกทั้งสองข้างให้ขาดออกจากกันท่ามกลางเสียงร้องที่เจ็บปวด

 

 

ฉากนี้ทำให้ผู้ชมถึงกับกลืนน้ำลาย พวกเขาเฝ้ามองชิงเฟิ่งจนกลายเป็นแสงสีฟ้าและสลายไปอยู่ด้านหลังไป๋หลี่เฟิ่ง

 

 

“ช่างเป็นวิญญาณยุทธ์ที่โหดเ**้ยมยิ่งนัก!” เฟิงสิงอวิ๋นอุทาน

 

 

วีรบุรุษอีกคนกล่าวอย่างไม่แปลกใจว่า “วิญญาณยุทธ์ของเลี่ยเทียนซื่อเป็นภาพที่สุดแสนจะหาดูได้ยาก เพียงแต่ข้ารู้สึกประหลาดใจที่วิญญาณยุทธ์ที่โหดเ**้ยมและทรงพลังเช่นนี้จะสามารถประสานกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ได้อย่างลงตัว”

 

 

การจับคู่ระหว่างคุณลักษณะของวิญญาณยุทธ์กับอุปนิสัยของเจ้าของสำคัญยิ่งนัก หากทั้งสองไม่เหมาะสมกัน แต่ถูกบังคับให้ประสานเข้าหากัน ก็จะลดทอนความสามารถของวิญญาณยุทธ์นั้นไป แต่ในทางกลับกัน หากทั้งสองประสานกันอย่างลงตัว ศักยภาพของวิญญาณยุทธ์ก็จะถูกใช้ได้อย่างเต็มที่

 

 

หนานอู๋เฮิ่นได้ยินคำพูดของพวกเขาทั้งสอง ทำให้รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งปรากฏความภาคภูมิใจออกมาให้เห็น

 

 

ช่วยไม่ได้ เขาเป็นคนคัดเลือกผู้ถูกเลือกทั้งสองด้วยตัวเอง!

 

 

ตู้มมม!

 

 

ชิงเฟิ่งได้รับบาดเจ็บ ทำให้ไป๋หลี่เฟิ่งต้องถอยหลังออกไปสองสามก้าว และเมื่อเขาก้าวถอยหลังกลับตกหลุมบนสังเวียนในทุกย่างก้าว

 

 

เจียงหลีก็มิได้ถือโอกาสนี้กระหนำซ้ำเติม แต่กลับยืนนิ่งอยู่กับที่และยิ้มตลอดเวลา “ข้าต้องขอโทษที่เลี่ยเทียนซื่อข้าออกแรงหนักไปหน่อย”

 

 

“รู้แพ้รู้ชนะภายในท่าเดียวเถอะ” ไป่หลี่เฟิ่งมิได้เกรงกลัวใดๆ พร้อมกับกล่าวอย่างใจเย็น

 

 

ทันใดนั้น ร่างลวงตาสีฟ้าก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ด้านหลังของเขา วิญญาณยุทธ์ชิงเฟิ่งซึ่งถูกเลี่ยเทียนซื่อฉีกออกเป็นสองชิ้น ได้รวมตัวขึ้นอีกครั้งและปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของไป๋หลี่เฟิ่ง

 

 

“ไป๋เหนี่ยวเฉาเฟิ่งงง!” ไป๋หลี่เฟิ่งตะโกนชื่อทักษะพรสวรรค์ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่เต็มไปด้วยความดุดัน

 

 

เจียงหลีหรี่ตา แววตาแลดูเคร่งขรึม โดยนางมิได้ประมาทแต่อย่างใด ก้าวยาวถอยหลังด้วยเท้าขวาแล้วปล่อยทักษะพรสวรรค์ของตนออกมาเช่นกัน

 

 

“ฉีกเวหาาาาาา!”

 

 

ตูมๆๆ!

 

 

แสงนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาชิงเฟิ่ง ราวกับนกนับร้อยตัวรวมตัวกลายเป็นชิงเฟิ่งทรงพลังขนาดใหญ่ยักษ์ ซึ่งมิได้แตกต่างจากร่างขนาดใหญ่ของเลี่ยเทียนซื่อเลย

 

 

ชิงเฟิ่งกรีดร้องพร้อมกับกระพือปีกบินไปทางเทียนซื่อที่กำลังจะเข้ามาพิฆาต

 

 

แต่ทว่า ร่างกายของเลี่ยเทียนซื่อในขณะนี้กลับขยายใหญ่ทวีคูณราวกับภูเขาใหญ่ยักษ์ก็ไม่ปานโดยกำลังต่อสู้กับชิงเฟิ่งกลางอากาศ เขายาวที่อยู่บนของศีรษะกลายเป็นดาบทลายฟ้าปะทะกับชิงเฟิ่ง พอลงเหยียบ สังเวียนก็พังทลายเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

 

 

อาาาา

 

 

ทุกคนต่างอุทาน

 

 

พวกเขารู้สึกเพียงว่าแสงสีทองและสีฟ้าปะทะกัน ทำให้การมองเห็นของพวกเขาพร่ามัว

 

 

เสียงสั่นสะเทือนของพื้นดินยังคงดังก้องอยู่ในหู

 

 

พอทุกอย่างสงบลง สังเวียนก็ได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปเสียแล้วและร่างสีดำขนาดเล็กก็ได้ยืนอยู่บนซากปรักหักพังนั้น แต่ร่างชุดสีฟ้าที่โดดเดี่ยวกลับหันหลังให้กับฝูงชนพร้อมกับเดินจากไปอย่างช้าๆ

 

 

“เมื่อข้าเข้าสู่หลิงเจี้ยง ข้าจะกลับมาหาเจ้าอีกครั้ง”

 

 

คำพูดของไป๋หลี่เฟิ่งเช่นนี้ บีบหัวใจของทุกคนนัก

 

 

ใครชนะหรือ มิใช่เป็น…

 

 

“ข้ารอเจ้า” เจียงหลียิ้มมุมปากด้วยแววตาเป็นประกาย

 

 

“สาวน้อยหลีชนะแล้ว!” หลังจากความเงียบนั้น เสียงแรกที่กล่าวด้วยความตื่นเต้นนั้นมาจากลู่เสวียน “ราชาหน้าใหม่! ราชาหน้าใหม่!” เขาตะโกน

 

 

ภายใต้การนำของเขา ก็มีเสียงเข้าร่วมเรื่อยๆ

 

 

เสียงลั่นดังอย่างพร้อมเพรียงกันไปทั่วสถาบันไป๋หยวน “ราชาหน้าใหม่ๆ ๆ ! ราชาหน้าใหม่ๆ ๆ !”

 

 

“ราชาหน้าใหม่ๆๆ!”

 

 

แต่ทว่า ขณะนี้มีเสียงที่ไม่พึงประสงค์แทรกเข้ามา “วันนี้สถาบันไป๋หยวนคึกคักนัก! สำนักหลิงอู่พาลูกศิษย์มาเยี่ยมเยือน ไม่ทราบว่าผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจของสถาบันไป๋หยวนอยู่ไหนหรือ”

 

 

เสียงที่คุ้นเคยนี้ ทำให้เจียงหลีขมวดคิ้ว สุนัขแก่นั่นอีกแล้วหรือ!