ในที่สุด ฉินมู่ ฉีเจี่ยวอี๋ และเจ๋อหัวหลีก็มาถึงตีนเขาของขุนเขาเทวะ ขุนเขาเทวะนั้นทั้งสงบและเคร่งขรึม เปล่งความสง่างามอันเหนือธรรมดา รังสีแสงตะวันทองสุกสกาวอาบย้อมไปทั่วบริเวณ พวกเขาไม่อาจหยุดชื่นชมภูเขานี้ได้ และก็ไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามเหาะขึ้นไปตรงๆ
พวกเขาเลือกที่จะเดินขึ้นไปด้วยเท้า
บันไดของขุนเขาเทวะนี้เหยียดยาวไปยังวิหารหลังคาทอง มันจะต้องมีการต่อสู้อันขมขื่นที่นี่ ก็ในเมื่อขั้นบันไดหินล้วนแต่อาบย้อมไปด้วยกองเลือด
โลหิตหลั่งไหลลงมาจากข้างบน และโลหิตเทพเจ้าก็ไม่ได้แห้งเหือดไปโดยง่าย แม้หลังจากหมื่นสองหมื่นปี มันก็ยังคงส่งแรงสั่นสะเทือนอันน่าสะพรึงกลัวออกมา แต่ทว่าโลหิตเทพและมารที่นี่ได้สูญเสียแก่นแท้ไปแล้ว พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นรอยเลือดแห้งสีน้ำตาลที่ดูน่าตื่นตระหนก
ที่น่าแปลกคือไม่มีร่องรอยการต่อสู้ที่นี่
ฉินมู่ขับเคลื่อนกระบี่ไร้กังวลและฟันลงไปบนขุนเขาเทวะ ประกายไฟพุ่งกระจายไปทุกทิศทาง และมือของเขาก็ชาดิกจากแรงสั่นสะเทือน แต่ทว่า ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนหลงเหลืออยู่
“แม้แต่มหาราชาคนก่อนกับมารเทวะมากมายจากสวรรค์หลัวฝูก็ไม่สามารถทิ้งร่องรอยการต่อสู้ไว้ที่นี่ได้ ขุนเขานี้มีที่มาอย่างไรกันนะ” ฉินมู่ฉงนอย่างยิ่ง
เจ๋อหัวหลีและฉีเจี่ยวอี๋หันไปมองกันและกัน พวกเขาทั้งสองต่างก็เข้าใจซึ่งกันและกันและไม่พูดอะไรออกมา
สายตาของเจ๋อหัวหลีวูบวาบพลางครุ่นคิดกับตนเอง แม้แต่มหาราชาก็ไม่อาจทิ้งร่องรอยไว้บนขุนเขาแห่งนี้ได้ ขุนเขานี้เป็นของปลอมแน่หรือ มันดูไม่เหมือนเลย…
พวกเขามุ่งหน้าไปต่อ และซากศพของเทพเจ้าหนึ่งก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า มันไม่มีเลือดและเนื้ออีกต่อไป ฉินมู่สาวเท้าเร็วๆ เพื่อเข้าไปดูใกล้ๆ และเห็นว่าเสื้อผ้าบนซากร่างนี้ได้เปื่อยสลายไปหมดแล้ว เลือดและเนื้อเองก็เน่าเปื่อยไป
ศพนี้มีกระดูกคอสามคอและมีหัวกะโหลกสามหัวอันหันไปในทิศทางที่แตกต่างกัน เขามีแขนหกแขนและแต่ละแขนก็ถือจับเทพศาสตราเอาไว้
“เทพที่ตายในการต่อสู้!”
สายตาของฉินมู่เป็นประกาย และเขารีบคว้าจับไปยังหนึ่งในไหสุราเสือร้าย แต่ทว่า ทันทีที่ฝ่ามือเขาสัมผัสกับไหสุรา เทพศาสตรานั้นก็พลันป่นเป็นผุยผง
ฉินมู่ตกตะลึง เขาพบว่าโครงกระดูกที่ถือไหสุราอยู่ก็พังทลาย ไม่กี่อึดใจทั้งโครงกระดูกก็ป่นเป็นละอองธุลี ส่วนเทพศาสตราอื่นๆ มันก็แตกหักเป็นชิ้นๆ เช่นกัน เขาไม่สามารถดึงมันมาได้แม้ว่าอยากมากแค่ไหนก็ตาม
เจ๋อหัวหลีเดินเข้าไปและกล่าวด้วยเสียงฉงนฉงาย “หรือว่าพวกมันจะแตกทำลายไปจากฝีมือศัตรูของเขา”
ฉีเจี่ยวอี๋ส่ายศีรษะ เขาพลันปาดนิ้วของตนเล็กน้อย และหยดเลือดทองคำของตนหนึ่งหยดลงไปบนบันไดหิน เลือดของเขาแห้งไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าแก่นแท้ในหยดเลือดถูกบันไดหินดูดกลืนไป
สีหน้าของฉีเจี่ยวอี๋เคร่งเครียดและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ขุนเขาเทวะนี่เองที่ดูดกลืนเอาแก่นแท้ทั้งหมดไป แม้แต่แก่นแท้ในเทพศาสตราเหล่านี้ก็ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้”
ฉินมู่กล่าวอย่างจริงๆ “พี่ฉี พวกเราถูกกวาดซัดมายังดาวผิดประหลาดนี้ในเวลาเดียวกัน หากว่าเจ้ารู้อะไรมา ทำไมไม่แบ่งปันกับพวกเราล่ะ พวกเราอาจจะค้นพบเส้นทางออกไปจากที่นี่ได้”
บาดแผลที่ปลายนิ้วของฉีเจี่ยวอี๋สมานกันโดยอัตโนมัติ เขาส่ายหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าลงมายังแดนต่ำใต้ ข้าจะรู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้ได้อย่างไรกัน พี่ฉิน อย่าล้อข้าเล่นจะดีกว่า”
ฉินมู่มองไปที่บาดแผลที่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายและรู้สึกแตกตื่น บาดแผลนั้นสมานเข้าด้วยกันเองโดยไม่ต้องใช้ยารักษาใดๆ นี่มันเป็นผลลัพธ์จากวิชาฝึกปรือของเขา หรือว่าเป็นผลจากกายาพิเศษเฉพาะของเขา
เจ๋อหัวหลีเองก็แตกตื่น ในการต่อสู้หน้าเมืองเทพยดาในภาพเขียน อาการบาดเจ็บของฉีเจี่ยวอี๋สาหัสที่สุด ฉินมู่อัดสกรัมเขาอย่างหนักมือที่สุด เขาถึงกับถูกฉินมู่แทงเข้าหนึ่งดาบ แทบจะปลิดชีวิตลงไป
แต่ทว่า หลังจากสองสามวัน ฉีเจี่ยวอี๋ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ วรยุทธของเขาไม่ลดทอนลงไป มันถึงกับเหนือล้ำกว่าก่อนหน้า!
ทั้งสามคนล้วนแต่มีเจตนาที่ซุกงำไว้ของตนเองพลางเดินไปข้างหน้าต่อ บนขั้นบันไดหินเหล่านี้มีเทพเจ้าทุกขนาด บ้างก็มาจากมารเทวะ บ้างก็มาจากเทพยดา
ตราบใดที่พบเทพเจ้าที่มีสามหัวหกแขน โครงกระดูกของพวกเขาก็คล้ายคลึงกัน ดังนั้นพวกเขาจะต้องมาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน
แก่นแท้ในซากร่าง เทพศาสตรา และมารศาสตรา ล้วนแต่ถูกดูดกลืนไปโดยขุนเขาเทวะแห่งนี้ ไม่มีเหลือแม้แต่หยดเดียว และเพียงแค่การแตะเบาๆ หนึ่งทีก็ทำให้พวกเขากลายเป็นผุยผง
เจ๋อหัวหลีสำรวจศพของเหล่าเทพสามเศียรหกกรเหล่านี้และขมวดคิ้ว เขามองไปที่ฉีเจี่ยวอี๋และถามด้วยเสียงเบา “ศพพวกนี้มาจากเผ่าเทพในสภาสวรรค์หรือเปล่า”
ฉีเจี่ยวอี๋ส่ายหัวและกระซิบ “ข้าไม่รู้เหมือนกัน มันมีเทพเจ้าที่มีสามเศียรหกกรอยู่บ้าง แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ในเผ่าพันธุ์เดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังมีพวกเขาอยู่มากมาย ดังนั้นข้าจึงไม่คิดว่าพวกเขามาจากสภาสวรรค์หรอก ขุนเขาเทวะนี้…”
เขาส่ายหัวก่อนที่จะกล่าวต่อ “ที่อยู่ในสภาสวรรค์เป็นของจริง นี่น่าจะเป็นของปลอม แต่ทำไมขุนเขานี้ถึงแข็งแกร่งยิ่งนักเหมือนกันล่ะ”
เขางงงวยเล็กน้อย
ดาบมารข้างหลังเจ๋อหัวหลีลืมดวงตามารของมันขึ้นมา และมองไปรอบๆ แม้แต่ดวงตามารก็มองไม่เห็นอะไรสักสิ่ง
“เจ้าจะบอกว่าขุนเขาเทวะนี้ก็เป็นของจริงงั้นหรือ มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร” เจ๋อหัวหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงฉงน
ฉีเจี่ยวอี๋เงยหน้าขึ้นและเห็นฉินมู่ก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว แทบจะไปถึงยอดเขา เขารีบเร่งกล่าว “ขุนเขาเทวะนี้ประหลาดนัก พวกเราขึ้นไปบนข้างบนเหมือนกันเถอะ หากว่ามันมีสมบัติล้ำค่าอะไร เขาอาจจะแย่งชิงมันไปก่อน!”
ทั้งสองคนพุ่งทะยานไปยังยอดเขา และก็เห็นแค่ว่าฉินมู่กำลังยืนอยู่ที่ปลายสุดบันไดหิน พวกเขามายังข้างๆ ด้วยความเร่งร้อน และเห็นมารเทวะตนหนึ่งยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าฉินมู่ คิ้วของเขายาวเฟื้อยและเขากำลังถือมีดสองคมสามปลายอยู่ในมือ ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาเงยศีรษะขึ้นและเห็นใบหน้าของมารเทวะฉายส่องความสูงศักดิ์และอำนาจโดยธรรมชาติ เขานั้นกำลังก้มมองพวกเขา ราวกับว่ามีดสองคมสามปลายจะฟันลงมาได้ทุกขณะ
ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีตัวแข็งทื่อ ไม่กล้ากระดุกกระดิก
ฉินมู่ระบายลมหายใจสะท้านออกมาขณะที่เขาก้าวเข้าไปยังข้างๆ ของมารเทวะ เขาเห็นอีกใบหน้าหนึ่ง
จากนั้นเขาก็เดินวนอ้อมรอบมารเทวะตนนี้ เขาพบว่ามารเทวะมีใบหน้าสี่หน้าอยู่ที่ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย และข้างขวา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ไม่จำเป็นต้องวิตก เขาน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว เมื่อข้าเพิ่งปีนขึ้นมาและเห็นดวงตาบนใบหน้าดำๆ ของเขาจ้องมาที่ข้า ข้าเองก็แข็งทื่อด้วยความแตกตื่น ข้าคิดว่าข้าจะตายในน้ำมือของเขาเสียอีก”
ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีได้สติกลับมา และพวกเขาก็ถอนหายใจโล่งอก ร่างกายของพวกเขาโชกไปด้วยเหงื่อ
เจ๋อหัวหลีเดินอ้อมรอบและกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “มารเทวะสี่หน้า? หรือว่าเขาจะเป็นมหาราชาคนก่อน ทำไมเขาถึงยืนอยู่ที่นี่ เขาไม่เข้าไปในโถงวังล่ะ?”
ฉินมู่เพ่งพิศมารเทวะนี้อย่างละเอียดและกล่าว “สี่หน้า มีมากกว่าฟู่ยื่อลัวหนึ่งหน้า หรือว่าจะเป็นวิชาฝึกปรือเดียวกันกับฟู่ยื่อลัว ฟู่ยื่อลัวยังฝึกปรือไม่ถึงเขตขั้นของเขางั้นหรือ”
ฉีเจี่ยวอี๋เดินตามเขาอ้อมไปรอบๆ มหาราชาผู้นี้ เขาก็สังเกตดูอย่างถี่ถ้วนเช่นกัน “อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ฟู่ยื่อลัวมีใบหูอยู่ข้างหลังศีรษะของเขา และเขาไม่มีใบหน้าที่สี่ พวกเขาน่าจะมาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่มีสายเลือดที่แตกต่าง วรยุทธฟู่ยื่อลัวไม่น่าที่จะอ่อนด้อยไปกว่าเขา…บาดแผลอยู่ตรงนี้!”
เขาค้นพบบางอย่างและชี้ไปที่คอของมหาราชาสี่หน้า ฉินมู่มองดูและพบเห็นเส้นสีแดงละเอียดเล็กที่ยากจะมองเห็นบนคอของเขา
มหาราชาผู้นี้น่าจะถูกลอบสังหารขณะที่เขาต่อสู้ฝ่าฟันมาถึงที่นี่ และถูกปาดคอ
ฉินมู่อ้าปากและเป่าอากาศหอบหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นสายลม เขาเป่าไปที่ศีรษะของมหาราชาสี่หน้า ศีรษะนั้นพลันร่วงหล่นลงจากคอและฟาดลงไปกับบันไดหิน แตกหักราวกับแจกันกระเบื้อง
อึดใจถัดมา ร่ายกายของมหาราชาก็พังทลายลงไปเช่นกัน เขาเหมือนกับรูปปั้นมารเทวะที่สร้างขึ้นมาจากกระเบื้อง กายเนื้อของเขาว่างเปล่า และเลือดกับเนื้อก็ไม่มีอยู่ เหลือก็แต่ผิวหนังเท่านั้น!
มีดสองคมสามปลายของเขาก็พังทลายไปด้วยเช่นกัน!
ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้ม และหันไปมองยังทิศทางของวิหาร
มหาราชาสี่หน้าถูกโจมตีขณะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปในวิหาร ศีรษะของเขาถูกตัดสะบั้น สังหารจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา!
ในตอนนั้นเอง วิหารอยู่เบื้องหน้าพวกเขา ประตูเปิดอ้าไว้อยู่ และข้างในก็ขมุกขมัว แต่มีแสงสาดส่องเข้ามาในสายตาของพวกเขาเป็นระยะๆ
สายตาของฉีเจี่ยวอี๋วูบวาบขณะที่เขากล่าวอย่างนุ่มนวล “พี่ฉิน เจ้าจะเข้าไปหรือ มันอาจจะมีอันตรายข้างในนะ”
ฉินมู่กัดฟันกรอด และก้าวไปข้างหน้าพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ข้าจะเข้าไปดูลาดเลาให้ก่อน หากว่ามันมีอันตรายใดๆ ข้าจะบอกเตือนพวกเจ้าทันที เพื่อให้หลบหนีกันได้ทัน!”
ฉีเจี่ยวอี๋ตกตะลึงและมองไปทางเจ๋อหัวหลี เจ๋อหัวหลีก็มีสีหน้าแบบเดียวกันขณะที่จ้องกลับมา ทั้งสองหนุ่มฉงนฉงาย ทำไมฉินมู่ถึงปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา หรือว่าเขาจะยินดีผลักไสตนเองเข้าไปในอันตรายจริงๆ
พวกเขาไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับฉินมู่มากนัก แต่พวกเขาก็แน่ใจว่าฉินมู่ไม่ใช่คนแบบนั้น!
ตรงหน้าพวกเขา ฉินมู่เดินเข้าไปในวิหาร และเงาร่างของเขาก็หายลับเข้าไป แสงในวิหารอันขมุกขมัวนั้นยังไหลอ้อยอิ่ง ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีมองไปยังประตูวิหารด้วยความกระวนกระวาย พวกเขาเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวข้างในอย่างใจจดใจจ่อ
ทันใดนั้น ก็มีเสียร้องโหยหวนอย่างหวาดกลัวจนเหลือแสน พวกเขาทั้งสองรู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบ!
เสียงร้องของฉินมู่ดังมาจากข้างใน “มันมี–”
เสียงพลันขาดหายไป!
ฟิ้ววว
ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีวิ่งเตลิดลงจากภูเขาในคราวเดียว พวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นแสงไหลสองเส้น พุ่งหนีไปด้วยความเร็วสูง
พวกเขาใช้เวลาปีนเขาหนึ่งชั่วโมง แต่เมื่อวิ่งลงครึ่งภูเขากลับใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ!
ทันใดนั้น เจ๋อหัวหลีก็หยุดชะงักและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พี่ฉี หยุดก่อน! มีบางอย่างผิดปกติ!”
ฉีเจี่ยวอี๋พลันหยุดชะงักและหันกลับไปเผยสีหน้างุนงง
เจ๋อหัวหลียิ้มหยัน “เสียงกรีดร้องของเขามีชีวิตชีวาเหลือเกินนะ มันจะไปเหมือนกับคนที่กำลังจะตายได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคิดว่าบุคคลที่สามารถสังหารมหาราชาคนก่อน จะให้เวลาเขามากพอที่จะร้องเตือนพวกเราได้อย่างนั้นหรือ”
ฉีเจี่ยวอี๋จ้องด้วยดวงตาเบิกกว้างและร้องออกมา “เจ้าหมายความว่า…รีบขึ้นไปเร็วเข้า!”
พวกเขาทะยานกลับไปบนภูเขา และมายังหน้าวิหาร เจ๋อหัวหลีสูดลมหายใจลึก และเดินตรงไปยังวิหารอย่างเชื่องช้าพลางกุมกระชับดาบมารในมือตน
ฉีเจี่ยวอี๋เดินตามไปข้างหลัง หัวอีกหลายหัวของเขาผุดขึ้นมาจากหน้าอกและมองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวาย
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงประตู หนึ่งในหัวของฉีเจี่ยวอี๋ชะโงกออกมาจากหลังไหล่ของเจ๋อหัวหลี ขณะที่หัวอื่นๆ ซ่อนอยู่ข้างหลัง เขามองเข้าไปในวิหาร และสิ่งที่เขาเห็นก็ทำให้ตกตะลึง
ฉินมู่อยู่ข้างๆ เครื่องมือคำนวณมากมาย ประกอบพวกมันเข้าด้วยกัน พวกมันก่อขึ้นมาเป็นอาวุธวิญญาณคิดคำนวณขนาดใหญ่
ฉีเจี่ยวอี๋กัดฟันและดึงเอาศีรษะทั้งเก้าของเขากลับเข้าไปรวมเป็นหัวเดียว เขาเดินออกมาจากข้างหลังเจ๋อหัวหลี และก้าวเข้าไปในวิหาร
เจ๋อหัวหลีตามเขาเข้าไปด้วย
ทั้งสองคนแค่นหัวเราะ ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นมาและเผยสีหน้าตกตะลึง เขาจึงแย้มยิ้มและกล่าว “ศิษย์พี่ทั้งสองมาได้จังหวะพอดี ข้ากำลังจะบอกพวกเจ้าว่ามันมีโจทย์ปัญหาพีชคณิตที่แก้ยากข้อหนึ่งอยู่ในวิหาร”
ฉีเจี่ยวอี๋ยิ้มหยันขณะที่มองดูไปรอบๆ วิหาร เขาพบว่าตรงใจกลางมีบัลลังก์เหล็กตั้งอยู่ บัลลังก์เหล็กนี้หลอมขึ้นมาจากกระบี่และมีดดาบ และมีเทพเจ้าสามเศียรหกกรนั่งอยู่บนนั้น มือทั้งห้าของเขาจับอยู่ที่พักแขนของบัลลังก์ ขณะที่อีกมือหนึ่งกำลังชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
หัวทั้งสามของเขาหันไปยังทิศทางอันแตกต่างกัน และปากของเขาก็อ้ากว้าง ดวงตาเขาลืมโพลงราวกับว่ากำลังร้องคำรามด้วยเสียงอันสะท้านขวัญ
ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือ เลือดและเนื้อใยร่างกายของเขาทั้งหมดแห้งเหือดไป มีก็แต่ผิวหนังแห้งผากของเขาก็ยังซูบติดกับกระดูก เขานั้นไม่ต่างอะไรกับศพแห้งที่เหี่ยวฝ่อ
ดวงตาในเบ้าตาของเขาก็แห้งไป จมลึกเข้าในเบ้าตา มีก็แต่แก้วตาสีดำด้านของเขาเท่านั้นก็ยังพอเห็นอยู่รางๆ
ตรงหน้าเทพสามเศียรหกกรนี้ มีกล่องเล็กๆ ลอยอยู่ มันเป็นกล่องหยกที่ไม่ใหญ่ไม่โตและลอยเลื่อนอยู่อย่างเงียบเชียบ ริ้วรอยของแสงอาทิตย์เล็ดลอดออกมาจากกล่องเล็กๆ นี้ หมุนวนไปรอบๆ มัน
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่รอบกล่องเล็ก มันมีเม็ดทรายรูปดาวทุกขนาดลอยอยู่ ดวงดาวเหล่านั้นหมุนวนไปรอบๆ กล่อง
มารเทวะสามเศียรหกกรกำลังชี้ไปที่ภาพจิตรกรรมฝาผนัง บนนั้นมีภาพของดวงดาวจำนวนหนึ่ง มันวาดเอาไว้เต็มผนังหนึ่งด้าน
ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีมองตามทิศทางที่นิ้วนั้นชี้ไป พวกเขาตระหนักกว่าเขากำลังชี้ไปยังหมู่ดาวกลุ่มหนึ่งในใจกลางของหมู่ดาวนั้น มีภาพวาดของแผ่นปฐพี บนแผ่นปฐพีนั้น มีสรวงสวรรค์หลายชั้น
“ดวงดาวที่หมุนวนไปรอบๆ กล่องเล็กนี่เป็นโจทย์ปัญหาพีชคณิตจริงๆ!”
ฉีเจี่ยวอี๋ตรวจตราดูอย่างถี่ถ้วน ใบหน้าเขาเผยความตื่นตระหนกและร่ำร้องออกมา “พีชคณิตวงโคจรหมู่ดาวมหาสวรรค์แห่งสภาสวรรค์! เจ๋อหัวหลี เจ้าเคยเรียนสิ่งนี้ในทัพหลิงซิ่วมาก่อนหรือไม่”
เจ๋อหัวหลีพยักหน้าและสีหน้าของเขาก็เคร่งเครียด “นี่มันเป็นวงโครจรหมู่ดาวมหาสวรรค์จริงๆ ข้างในนั้นมันมีโจทย์พีชคณิตยากๆ ที่สอดคล้องกับวงโคจรหมู่ดาวบนผนัง ก่อขึ้นมาเป็นพยุหะสังหาร ตราบเท่าที่ใครสามารถไขโจทย์อันแก้ได้ยากนี้ ก็จะสามารถเข้าไปในพยุหะสังหารและหยิบเอากล่องเล็กออกมาได้!”
ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีรีบนำเอาอาวุธวิญญาณการคำนวณทุกชนิดออกมาคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเอง ฉินมู่ก็ลุกขึ้นยืน และอาวุธวิญญาณการคำนวณขนาดใหญ่ของเขาก็ลอยกลับเข้าไปในถุงเต๋าตี้
“ศิษย์พี่ทั้งสอง ไม่จำเป็นต้องคำนวณแล้ว คำตอบคือสามหมื่นสามพันปี”
ฉินมู่เดินตรงเข้าไปและตรวจสอบดูพยุหะสังหารวงโคจรหมู่ดาวสวรรค์อันห้อมล้อมกล่องเล็กๆ “มันคือแผนภาพดวงดาวของเมื่อสามหมื่นสามพันปีก่อน มันแตกต่างจากปรากฏการณ์บนฟากฟ้าของสันตินิรันดร์ไปเล็กน้อยเท่านั้น ข้าละอายที่จะกล่าวถึงแต่ว่าข้าได้เข้าใจกระบี่ที่สิบสี่แห่งสำนักเต๋าจากนี่!”
เขาเลิกคิ้วและหันกลับไปเผชิญหน้ากับภาพบนฝาผนัง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังมีการค้นพบอันอัศจรรย์ แผนภาพดวงดาวนี้มาจากฟากทางใต้ของแดนโบราณวินาศเมื่อสามหมื่นสามพันปีก่อน สถานที่ที่มันกำลังเฝ้าสังเกตการณ์นั้นอยู่ในทะเลใต้ พวกเจ้ารู้สึกว่ามันน่าแปลกไหม เทพสามเศียรหกกรนี้มาจากทะเลทางทิศใต้ของแดนโบราณวินาศเมื่อสามหมื่นสามพันปีก่อน!”
ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีหันไปมองหน้ากันและกัน พวกเขาก้าวเข้าไปในพยุหะสังหารวงโคจรหมู่ดาวสวรรค์ทันที พุ่งไปยังกล่องเล็กๆ นั้น
ฉินมู่ได้ไขปัญหาและเอ่ยถึงคำตอบ เขาเขาสามารถใช้คำตอบนี้เพื่อทะลวงเข้าไปในพยุหะสังหารได้อย่างง่ายดายเพื่อช่วงชิงกล่องเล็ก
“แย่ล่ะ ข้าคิดว่าข้าคำนวณผิด!”
ตรงหน้าของจิตรกรรมแผนภาพหมู่ดาว ฉินมู่พลันตบหน้าผากของตนเองและขยี้เท้า “มันน่าจะเป็นสามหมื่นห้าพันปีมากกว่า! ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกเจ้า…ทำไมพวกเจ้าถึงเข้าไปข้างในแล้วล่ะ งั้นแบบนี้ข้าจะทำอย่างไรดี”