แสงแดดตอนบ่ายดุจเกล็ดสีทองเล็ดรอดเข้ามาจากบานหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้ เล่อเหยาเหยาจึงตื่นขึ้นเงียบๆ
ทว่าความรู้สึกแรกเมื่อเธอตื่นขึ้นมา คือรู้สึกว่าศีรษะตนคล้ายจะระเบิด เจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“ฮือ ศีรษะข้าปวดยิ่งนัก”
เล่อเหยาเหยาขมวดคิ้วเข้มน่ามองแน่น ก่อนจะกุมหน้าผาก เอ่ยพึมพำอย่างเจ็บปวด
ความเจ็บปวดนี้ คล้ายกับมีคนใช้ขวานด้ามใหญ่เคาะตีอย่างรุนแรง
เล่อเหยาเหยาเจ็บปวดจนกุมศีรษะราวจะระเบิดออกมา ก่อนล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
แต่ขณะเดียวกันนั้น อาจเพราะได้ยินเสียงผิดปกติภายในห้อง เสียงเคาะประตูดังกังวานจากด้านนอกพลันดังขึ้น ตามมาด้วยคำพูดร้อนใจของเสี่ยวมู่จื่อ
“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าตื่นแล้วหรือ”
“อืม เสี่ยวมู่จื่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของคนด้านนอก เล่อเหยาเหยาข่มอาการปวดศีรษะ กัดฟันเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เสี่ยวมู่จื่อพลันผลักประตูเข้ามา เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยานอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเจ็บปวด ก็วิตกกังวลไม่หยุด
ทันใดนั้น พลันยกถ้วยชาที่ยังอุ่นจนมีควันลอยกรุ่นขึ้น รีบเดินเข้ามา
หลังวางถ้วยชานั้นลง เสี่ยวมู่จื่อยังอดที่จะบ่นอย่างกังวลและตำหนิไม่ได้
“เจ้านี่น่ะ รู้ลำบากด้วยหรือ ดื่มสุราไม่ได้ ยังดื่มมากมายเช่นนี้ มิแปลกตอนนี้จึงทรมาน ดูสิต่อไปเจ้าจะยังกล้าดื่มสุราอีกหรือไม่”
แม้ปากจะบ่นพลางตำหนิ แต่เสี่ยวมู่จื่อยังห่วงใยเล่อเหยาเหยาอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยามีสีหน้าทรมาน จึงไม่กล้าเมินเฉย รีบไปประคองตัวเล่อเหยาเหยาขึ้น จากนั้นก็จ่อชาที่ยังมีควันลอยกรุ่นไปที่ริมฝีปากเล่อเหยาเหยา
เมื่อได้กลิ่นแปลกประหลาดนั้น เล่อเหยาเหยาย่นจมูก พลันรีบเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจ
“นี่คือสิ่งใด! ทำไมถึงเหม็นเช่นนี้”
“นี่คือชาสร่างเมา เมื่อเช้าท่านอ๋องรับสั่งว่าหากเจ้าตื่น ให้รีบนำชาสร่างเมามาให้เจ้าดื่ม มารีบดื่มเถิด รีบดื่มเข้าไป จะได้มิต้องปวดศีรษะ”
เมื่อได้ยินคำพูดเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาแม้จะไม่อยากดื่มสิ่งที่มีกลิ่นเหม็นนี้อย่างมาก แต่เธอศีรษะตอนนี้คล้ายจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ จึงจำเป็นต้องดื่ม เล่อเหยาเหยาเม้มริมฝีปากแดงแน่นครู่หนึ่ง ก่อนหยิบชาสร่างเมานั้นขึ้นดื่ม ‘อึกๆ’ลงไป
เมื่อรู้สึกถึงความขมนั้นไหลลงไปในลำคอ ซอกฟันยังมีความขมนั้นหลงเหลืออยู่ ทำให้บนใบหน้างามของเล่อเหยาเหยา อวัยวะทั้งห้าที่ประณีตนั้น แทบขมวดเป็นปม
อดแลบลิ้นสีชมพู ราวจะอาเจียนออกมาไม่ได้ ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า
“ขมยิ่งนัก”
“ขมคือยาดี ดื่มแล้ว ประเดี๋ยวเจ้าจะไม่ปวดศีรษะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดเล่อเหยาเหยา และใบหน้ายับย่นเพราะความขมนั้น เสี่ยวมู่จื่ออดยิ้มมุมปากไม่ได้ ก่อนเอ่ยว่า
“เอาล่ะ เมื่อตื่นแล้ว ไปล้างหน้าป้วนปากให้ตื่นเต็มตาเถิด ข้าเตรียมของไว้ให้เจ้าแล้ว”
“ขอบคุณมาก เสี่ยวมู่จื่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงอุ่นวาบในหัวใจ
ทันใดนั้น ก็ลุกขึ้นจากเตียงและรวบรวมสติอยู่ชั่วครู่
เมื่อได้น้ำเย็นใสชำระล้างใบหน้า สมองเล่อเหยาเหยาค่อยๆ ปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย
ศีรษะก็ไม่ได้เจ็บปวดดังตอนแรกที่ตื่นนอน ดูแล้วชาสร่างเมาเมื่อครู่ มีสรรพคุณที่ดีเสียจริง!
ขณะเล่อเหยาเหยากำลังคิดในใจ คิดไม่ถึงว่า ภายในสมองกลับพลันพรั่งพรูภาพเลือนลางขึ้นมา
ภาพเหล่านี้ดุจการฉายภาพยนตร์ที่ปรากฏขึ้นมาในสมองเธอไม่หยุด ดูเลือนราง ทว่ากลับสมจริงอย่างยิ่ง
ภายในภาพนั้น เธอจำได้ว่าเมื่อคืนเธอดื่มหนักไป หลังจากนั้นรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ก่อนจะถอดเสื้อผ้าตนออก
ต่อมามีคนช่วยถอดเสื้อผ้าให้เธอ ส่วนเรื่องหลังจากนั้น เธอไม่รับรู้ทั้งสิ้น
พอนึกถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงร่างกายดุจถูกฟ้าผ่า แข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ผ้าเช็ดมือที่ถือในมือนั้นเกิดเสียง ‘ตุ้บ’ ดังขึ้น ตกลงจากใบหน้าเธอเกิดเป็นละอองน้ำสาดขึ้นมา
น้ำกระเซ็นรอบด้าน จนเสื้อผ้าเธอเปียกชื้น ทว่าเธอกลับไม่รู้ตัว
สุดท้ายเสียวมู่จื่อที่อยู่ด้านข้างจึงรู้สึกถึงความผิดปกติของเล่อเหยาเหยา เห็นเล่อเหยาเหยาราวกับเห็นผี ตกตะลึงทั่วใบหน้า ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง คล้ายมีเรื่องทำให้ตกตะลึงอย่างหนัก ทำให้เสี่ยวมู่จื่อกังวลใจ เลี่ยงที่จะสงสัยไม่ได้
จนอดเอ่ยถามไม่ได้
“เสี่ยวเหยาจื่อ เป็นอันใดไป”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาจึงค่อยๆ ได้สติ พลันฉุกคิดบางสิ่งได้ รีบหมุนตัวไปจับที่ไหล่ของเสี่ยวมู่จื่อ ก่อนถามอย่างร้อนรนว่า
“เสี่ยวมู่จื่อ เมื่อคืนเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ! เจ้ารีบบอกข้ามาเร็ว!”
หากความจำอันเลือนลางพวกนี้คือความจริง เช่นนั้น สถานะผู้หญิงของเธอต้องถูกคนรู้เข้าแล้วแน่นอน
แต่เธอจำเรื่องพวกนี้ได้เพียงเลือนราง กลับไม่รู้ว่าคนที่ถอดเสื้อผ้าตอนนั้นคือผู้ใด ผู้ใดกันแน่ที่รู้สถานะผู้หญิงของเธอ!
จำได้ว่าเมื่อคืนเธอ ตงฟางไป๋และหนานกงจวิ้นซีไปดื่มสุราที่โรงเตี๊ยมหลูอวี้ แต่ต่อมาเธอดื่มจนเมามาย เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เธอจำไม่ได้เลย
สุดท้ายตงฟางไป๋รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง หรือว่า
หนานกงจวิ้นซีหรือ!
เมื่อไม่แน่ใจ เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกไม่สบายใจ หวาดกลัวจนตั่วสั่น
ส่วนเสี่ยวมู่จื่อที่ถูกเล่อเหยาเหยาจับไหล่เขย่าไปมา เกือบถูกเล่อเหยาเหยาที่ตื่นตระหนกเขย่าจนวิงเวียน
ดังนั้น จึงเห็นเสี่ยวมู่จื่อขมวดคิ้วแน่น ก่อนร้องออกมา จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า
“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าใจเย็นก่อน ข้าถูกเจ้าเขย่าจนเวียนศีรษะไปหมดแล้ว เจ้าอยากรู้สิ่งใด ข้าจะบอกกับเจ้า”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำขอร้องของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาจึงรู้ตัวว่าตนเขย่าเสี่ยวมู่จื่อรุนแรงเกินไป เพราะวิตกกังวล
ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยารีบปล่อยมือลง ใบหน้าเล็กที่กังวลปรากฏความละอายใจขึ้นมาหลายส่วน
“ขอโทษเสี่ยวมู่จื่อ เมื่อครู่ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเพียง…เพียง เฮ้อ”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาถอนหายใจออกมา ก่อนเอ่ยขึ้นอีกว่า
“เมื่อคืนเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ เสี่ยวมู่จื่อ เจ้ารีบบอกข้ามาเร็ว”
“เสี่ยวเหยาจื่อเจ้าจำไม่ได้หรือ เมื่อคืนเจ้าทำความผิดครั้งใหญ่”
“อะไรนะ ความผิดครั้งใหญ่หรือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงหัวใจสะดุด พลันตกลงอย่างรวดเร็ว ใจคล้ายตกลงไปในหุบเหวลึกที่ไม่อาจปีนกลับขึ้นมาได้
สวรรค์!
เป็นอย่างที่คิด สถานะผู้หญิงของเธอถูกคนรู้เข้าจริงเสียแล้ว!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาใบหน้าถอดสี ซีดขาวดุจกระดาษ ทำให้คนที่เห็นกังวลใจ
เสี่ยวมู่จื่อเห็นเช่นนั้น แม้จะกังวล ทว่ายังเอ่ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออกมาตามความจริง
“ข้ารู้เพียง เมื่อคืนท่านอ๋องพลันอุ้มเจ้ารีบร้อนกลับมายังตำหนักหย่าเฟิง จากนั้นก็สั่งให้เสี่ยวกุ้ยจื่อเตรียมชาสร่างเมา ทว่าหลังจากเสี่ยวกุ้ยจื่อเตรียมชาสร่างเมาเสร็จแล้ว ก็ออกจากห้องไป จนผ่านไปนานเสี่ยวกุ้ยจื่อก็ได้ยินเสียงคำรามกัดฟันกรอดของท่านอ๋องดังออกมา ตกใจจนหัวใจแทบกระดอนออกมา พอเสี่ยวกุ้ยจื่อเข้ามาดู เห็น…เห็นว่า…”
พอพูดถึงตรงนี้ เสี่ยวมู่จื่อพลันตะกุกตะกัก สายตานั้นก็พูดเป็นนัย ทำให้เล่อเหยาเหยาที่เห็นยิ่งกังวลใจมากขึ้น
“เห็นสิ่งใดหรือ!”
แม้จะมั่นใจ แต่เล่อเหยาเหยายังอดถามไม่ได้ ใจก็ยังกังวลคล้ายมีคนสอดมือเข้าไปอก ทำให้เธอไม่กล้าหายใจ
ดวงตาแคบคู่นั้นแฝงความวิตกกังวล จ้องมองไปยังเสี่ยวมู่จื่อ
เสี่ยวมู่จื่อเห็นเช่นนั้น เพียงถอนหายใจออกมา เดิมทีเรื่องนี้ท่านอ๋องรับสั่งว่าไม่อนุญาตให้เอ่ยออกไป
เมื่อคืนเขาก็ตกใจเพราะเสียงของเสี่ยวกุ้ยจื่อเช่นกัน จึงรีบเข้ามา ดังนั้นจึงเห็นเหตุการณ์นั้นเช่นกัน
อีกทั้งขณะนั้น เมื่อเขาเห็นเหตุการณ์ภายในห้องนั้น ก็ตกตะลึงเช่นกัน
คิดไปแล้ว ท่านอ๋องโมโหอย่างหนักไม่หยุด เพราะเสี่ยวเหยาจื่อทำเรื่อง…เรื่องเช่นนั้นกับเขา เกรงว่าต่อไปศีรษะของเสี่ยวเหยาจื่อ ก็คงตกอยู่ในอันตรายแน่
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาที่เสี่ยวมู่จื่อมองมาที่เล่อเหยาเหยา ดูเห็นอกเห็นใจสุดที่จะบรรยายได้
เห็นเช่นนั้น ใจของเล่อเหยาเหยาคล้ายตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
หัวใจแทบหยุดเต้น
ดวงตาคู่นั้นพลันปิดลง ก่อนล้มลงบนเตียง
ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดถัดมาของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาที่ตกใจ ดวงตาคู่งามพลันเบิกกว้าง ก่อนเอ่ยถามว่า
“เจ้าว่าเช่นไรนะ!”
“ข้าพูดว่าเมื่อคืน เจ้าอาเจียนรดท่านอ๋องทั้งตัว!”
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาอ้าปากค้าง ดวงตาคู่งามตะลึงจนเบิกกว้าง เสี่ยวมู่จื่อจึงเอ่ยย้ำอีกรอบ
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาตะลึงในใจ
เมื่อคืนเธออาเจียนใส่พญายมหรือ!
สวรรค์!
ศีรษะเล็กของเธอไม่ปลอดภัยแน่
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดกุมคอตนเองไม่ได้ กังวลในใจไม่หยุด
ทว่าขณะที่เล่อเหยาเหยาตกใจ คล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ ก่อนเอ่ยซักถามขึ้น
“มีอีกหรือไม่ นอกจากข้าอาเจียนรดท่านอ๋องแล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ข้าทำผิดหรือไม่”
ยกตัวอย่างเช่น เธอคือผู้หญิง
“ยังมีสิ่งใดกัน ข้าว่านะเสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าอาเจียนใส่ท่านอ๋องถือเป็นโทษหนักแล้ว เจ้ายังทำเรื่องใดอีก ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เสี่ยวมู่จื่ออกสั่นขวัญแขวน
เพราะท่านอ๋องมีเกียรติมีศักดิ์ศรี สถานะสูงส่ง แต่ว่ากลับถูกบ่าวผู้หนึ่งอาเจียนรดตัว หากท่านอ๋องโมโห เช่นนั้นศีรษะของเสี่ยวเหยาจื่อ ต้องไม่เหลือแน่
ทว่าโชคดี เมื่อคืนหลังเขาเข้าไป แม้ท่านอ๋องจะโมโหหนัก แต่กลับไม่ได้ตำหนิเสี่ยวเหยาจื่อ เพียงโมโหจากไป เหลือเพียงเขาอยู่ที่นี่
เรื่องเหล่านี้ เสี่ยวมู่จื่อก็เอ่ยตามความจริงกับเล่อเหยาเหยา