บทที่ 143 ศาสตร์หลอมกายเทพมาร ระดับเหนือสามัญ

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 143 ศาสตร์หลอมกายเทพมาร ระดับเหนือสามัญ
ที่ราบหมอกลับแลอันเงียบสงัดถูกหมอกหนาปกคลุมอยู่ทุกที่ ทว่าบนที่ราบกลับมีเถาจองจำเซียนสี่ต้นกำลังกระจายรากเดินหน้าไปอย่างบ้าคลั่ง

เถาจองจำเซียนสองต้นนำทางไป เถาจองจำเซียนอีกสองต้นตามหลัง ใช้เถาวัลย์ถักทอเป็นกรงกรงหนึ่ง และคนที่อยู่ในกรงก็คือเสิ่นเทียนในชุดเกราะเต่าดำและหมวกเกราะเต่าดำ การป้องกันเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร

แม้จะมีเกราะป้องกันนิ่งดั่งขุนเขา แข็งแกร่งไม่อาจทะลวงได้ เถาจองจำเซียนพวกนี้ทำอะไรตนไม่ได้ชั่วคราวก็ตาม แต่เสิ่นเทียนก็ยังตระหนกมาก

ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าพวกนี้ก็คิดจะพาตนไปหาเถาหญิงข้างหลังพวกมัน นั่นคือยายแก่ปีศาจที่ถูกเรียกว่ามารดาเถา

มันส่งเถาจองจำเซียนระดับดวงจิตดรุณออกมาได้สิบกว่าต้นสบายๆ พลังบำเพ็ญจะต้องลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

ถ้าโดนเจ้าเถาโง่พวกนี้พาไปต่อหน้ามารดาเถาจริงๆ หมวกเกราะเต่าดำกับเกราะเต่าดำคงต้านไม่ไหวแน่!

ไม่ได้การ จะนั่งรอความตายเฉยๆ ไม่ได้ จะต้องฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้

เขามองกรงเถาที่ถักทอขึ้นจากเถาวัลย์หนาใหญ่นั่นพลางวางกลยุทธ์ในใจ เถาจองจำเซียนเป็นพืชที่ได้รับการยอมรับว่าแข็งแรงทนทานอย่างยิ่ง แม้แต่สมบัติวิเศษระดับสูงสุดยังตัดมันขาดได้ยากมาก

อาวุธที่ค่อนข้างแกร่งของเสิ่นเทียนก็มีปืนปทุมฆาตเทพ ค้อนม่วงทอง ป้ายคำสั่งเจ้ากระบี่และกระบี่วารีคราม ก่อนหน้านี้ในถ้ำวารีสวรรค์ยังได้แส้ยาวมาเส้นหนึ่ง แต่ระดับมันสูงเกินไป เสิ่นเทียนเลยยังให้ยอมรับเป็นนายไม่ได้ในตอนนี้

ดังนั้นสำหรับเสิ่นเทียนแล้ว ประโยชน์การใช้งานแส้เทพนั้นจึงไม่สูง มิสู้ใช้พวกสมบัติวิเศษอย่างค้อนม่วงทองจะดีกว่า

‘ถ้าจะตัดพืชพวกนี้ต้องใช้อาวุธคม ค้อนม่วงทองไม่เหมาะเลย ปืนปทุมฆาตเทพก็เป็นสมบัติวิญญาณระดับกลาง น่าเสียดายเหมาะกับการทะลวงมากกว่า ไม่เหมาะใช้ฟัน’

เสิ่นเทียนตรึกตรองในใจ ดังนั้นสิ่งที่เหมาะกับการตัดเถาจองจำเซียนที่สุดคือกระบี่วารีครามที่เหลียนเอ๋อร์ให้มา

เขาเคลื่อนความคิดเล็กน้อย ก่อนชักกระบี่วารีครามออกมาฟันใส่กรงเถานั้น แสงกระบี่ดั่งวารีคราม

ชิ้ง!

กระบี่วารีครามฟันลึกเข้าไปในกายเถาจองจำเซียนต้นหนึ่ง ทว่าก็ฟันเข้าครึ่งเดียวไม่อาจลงลึกไปต่อได้ ถูกหนีบเอาไว้

อีกทั้งความนิ่มและเหนียวของเถาจองจำเซียนยังสูงมาก ขณะที่เสิ่นเทียนกำลังจะดึงออกมานั้น กลับพบว่าถูกหนีบเอาไว้แน่นกว่าเดิม!

ถ้าไม่ใช่เพราะชักกระบี่กลับเข้ามาในการป้องกันเต่าดำทัน บางทีกระบี่วารีครามอาจจะโดนพวกเถาจองจำเซียนชิงไปแล้ว

การโจมตีของเสิ่นเทียนทำให้เถาจองจำเซียนพวกนี้มัดไว้แน่นกว่าเดิม อีกทั้งบนผิวเถาวัลย์ยังปรากฏลวดลายเทพ ลวดลายเทพพวกนี้คือลวดลายเทพฟ้าประทานของเถาจองจำเซียน และก็เป็นเส้นทางลำเลียงพลังงานของมัน ทำให้ร่างพวกมันแข็งแรงทนทานยิ่งกว่าเดิม

และเพราะมีลวดลายเทพคุ้มกายนี่เอง แม้จะเป็นกระบี่วารีครามระดับสมบัติวิญญาณก็ยังตัดร่างพวกมันในการฟันครั้งเดียวไม่ได้

เสิ่นเทียนเห็นการโจมตีสุดกำลังไร้ผลและสะท้อนกลับมาแล้ว เขายังอดขมวดคิ้วนิดๆ ไม่ได้ ปีศาจพวกนี้จัดการยากเกินไปแล้วกระมัง

ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรถึงจะเพิ่มอานุภาพของกระบี่วารีครามให้แกร่งขึ้นได้

หากยังใช้ป้ายคำสั่งเจ้ากระบี่ได้ เสิ่นเทียนไม่กังวลเลย กระบี่เดียวก็แก้ปัญหาได้ แต่ก่อนหน้านี้ตอนรับมือกับเถาจองจำเซียนระดับดวงจิตดรุณ เขาได้ใช้ป้ายคำสั่งเจ้ากระบี่ไปแล้ว

ตอนนี้ป้ายคำสั่งเจ้ากระบี่ยังอยู่ในสภาวะสูบกินศิลาวิญญาณสั่งสมพลังงาน อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งชั่วยามถึงจะเย็นลง ปัญหาคือหนึ่งชั่วยามจากนี้ ถ้าเกิดถูกพาไปหามารดาเถาแล้วล่ะจะทำอย่างไร

ถึงตอนนั้นป้ายคำสั่งเจ้ากระบี่ก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว!

……

ทันใดนั้นเสิ่นเทียนฉุกคิดขึ้นมาได้

เขานึกถึงแนวคิดหนึ่งก่อนหน้านี้ของตน

ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด มีเครื่องมือตัดที่น่ากลัวอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง เครื่องมือนั้นมีชื่อว่าดาบน้ำ หลักการคือเพิ่มแรงดันระดับสูงให้กับกระแสน้ำ จากนั้นปล่อยน้ำผ่านรูฉีดที่เล็กมาก จะเกิดเป็นกระแสน้ำที่รวดเร็ว

กระแสน้ำพวกนั้นรวดเร็วยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีพลังงานสูงมาก สามารถตัดเหล็กกล้าตัดหินได้สบายๆ

ก่อนหน้านี้ตอนที่เสิ่นเทียนได้รับน้ำมวลหนักปฐมกาล ก็เคยคิดจะรวมมันเป็นลักษณะดาบยาวเช่นกัน

แม้ความเร็วอาจจะไม่ได้สูงยิ่ง แต่คุณภาพก็สูงจนน่าสะพรึงเช่นกัน!

ทว่าต่อมา เสิ่นเทียนพบว่าการรวมน้ำมวลหนักปฐมกาลให้อยู่ในสภาพละเอียดเป็นคมดาบนั้นยากเกินไปจริงๆ

ในทางตรงข้าม การเอาน้ำมวลหนักปฐมกาลแนบกับผิวค้อนม่วงทอง เสริมการโจมตีหนักแบบง่ายๆ เป็นเรื่องที่สบายมาก

นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เสิ่นเทียนเลือกใช้ค้อนม่วงทองตอนก่อนหน้านี้ที่ศึกษากระบวนท่าสังหาร แต่ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับกรงขังเถาเซียน เขาต้องทะลวงตัวเองออกไป

มีเพียงแนบน้ำมวลหนักปฐมกาลกับคมกระบี่วารีครามสำเร็จเท่านั้นถึงจะมีโอกาสทะลวงกรงออกไปได้!

เสิ่นเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะตบไปที่ไตของตนเบาๆ เคลื่อนน้ำมวลหนักปฐมกาลออกมาไม่น้อย

เขาพยายามแนบน้ำมวลหนักปฐมกาลกับคมกระบี่วารีคราม ทั้งยังบดมันให้อยู่ในสภาวะที่บางที่สุด แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ก็ยังรวมน้ำมวลหนักไว้ที่คมกระบี่ไม่ได้

เหมือนมีปราการลึกลับบางอย่างขวางกั้นไม่ให้เสิ่นเทียนไปถึงพรมแดนนั้น

มันขาดอะไรไปกันแน่

เสิ่นเทียนขมวดคิ้วมุ่น เหตุใดตอนนี้ถึงรู้สึกว่าน้ำมวลหนักปฐมกาลไม่เชื่อฟังเลย!

เห็นๆ อยู่ว่าตอนแรกที่เขาเพิ่งได้น้ำมวลหนักปฐมกาลมา มันก็ยังหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างดี

ตอนนี้เสิ่นเทียนอยู่กับน้ำมวลหนักปฐมกาลมานานขนาดนี้ กลับยังควบคุมมันไม่ได้อย่างสมบูรณ์

รอเดี๋ยว!

พลันมีแสงสว่างสุกใสพุ่งออกมาในความคิดเขา

เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเคยเปลี่ยนไปฝึกวิชาหลอมกายจักรพรรดิอัสนี ปรากฏว่าน้ำมวลหนักปฐมกาลบ้าคลั่งขึ้นมาทันที แต่หลังจากกลับมาฝึกวิชาหลอมกายคบเพลิง น้ำมวลหนักปฐมกาลถึงกลับมาสงบนิ่ง

หรือก็คือคัมภีร์คบเพลิงกำราบน้ำมวลหนักปฐมกาลได้!

เช่นนั้นถ้าข้าฝึกคัมภีร์คบเพลิงและทะลวงระดับหลอมกายอย่างเป็นทางการล่ะ

การควบคุมน้ำมวลหนักปฐมกาลจะเพิ่มขึ้นด้วยเหตุนี้หรือไม่ล่ะ!

เสิ่นเทียนคิดว่าการคาดเดานี้มีความเป็นไปได้สูงมาก

ถึงอย่างไรก็โดนปีศาจพวกนี้ขังไว้หนาแน่น ถ้าจะนั่งรอความตาย สู้ปล่อยมือลองดูสักครั้งดีกว่า!

เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนก็หยิบศิลาวิญญาณออกมาจากแหวนเวหาทีละถุง ก่อนจะดูดซับพลังวิญญาณจำนวนมากอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันเขายังหยิบเถาจองจำเซียนออกมาดูดกินของเหลวที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังงานของมัน

สัญชาตญาณตัวเองบอกเสิ่นเทียนว่าการดูดกินของเหลวเถาจองจำเซียนพวกนี้มีประโยชน์กับการทะลวงพลังของเขาอย่างยิ่ง!

ศิลาวิญญาณกลายเป็นเศษละเอียดไปทีละก้อน เถาจองจำเซียนก็ถูกสูบพลังวิญญาณแห้งจนเหลือเพียงเปลือก

เซลล์และทวารทั่วร่างเสิ่นเทียนต่างกำลังส่งเสียงกู่ร้อง เหมือนต้นกำเนิดพลังกำลังก้าวกระโดด

เขารู้สึกได้ว่ากายเนื้อของตนแข็งแกร่งขึ้นจนถึงขีดจำกัดหนึ่งแล้ว

ตอนที่เลือดลมในกายพุ่งทะลักราวกับปรอทยังส่งเสียงดังอึกทึก ประหนึ่งแม่น้ำใหญ่ไหลเชี่ยว

เส้นเอ็นและเนื้อเยื่อรอบกายสั่นไหวอย่างรุนแรง เหมือนกับกลองเทพสะเทือนฟ้า ดั่งใจมีพยัคฆ์ร้าย ส่งเสียงคำรามป่าเขา

เสิ่นเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก พลังปราณเลือดลมสีแดงที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อขับออกมาจากผิวกาย

นั่นคือต้นกำเนิดพลังเลือดลมทะลวงกาย เป็นสัญลักษณ์ของการทะลวงศาสตร์หลอมกายสู่ครึ่งระดับเหนือสามัญ!

มีเพียงขัดเกลากายเนื้อถึงขีดสุดเท่านั้น ถึงจะรวมเป็นต้นกำเนิดพลังที่บริสุทธิ์มาจากกายเนื้อได้

ต้นกำเนิดพลังเลือดลมพวกนี้มีความเป็นหยางสูงสุด สามารถกำราบภูตผีปีศาจมารร้ายต่างๆ ได้

ถ้าบอกว่าระดับสร้างฐานคือก้าวแรกของผู้บำเพ็ญศาสตร์หลอมปราณแก่นพลังทองในวิถีเซียน เช่นนั้นระดับเหนือสามัญก็คือจุดเปลี่ยนของเส้นทางแห่งศาสตร์หลอมกายเทพมาร

มีเพียงรวมต้นกำเนิดพลังเลือดลมทะลวงกายออกมาได้เท่านั้น ถึงจะถือว่าเป็นผู้บำเพ็ญศาสตร์หลอมกายเทพมารอย่างแท้จริง

และยามนี้ เสิ่นเทียนทะลวงเยื่อบางชั้นนั้นสำเร็จแล้ว

เขาได้ก้าวสู่ฟ้าดินผืนใหม่แล้ว

ต้นกำเนิดพลังเลือดลมได้ชะล้างทุกสิ่งอย่างรอบกาย

ชะล้างและผลัดเปลี่ยนกระดูก ข้ามผ่านความสามัญ

สิ่งนี้เรียกว่า ‘เหนือสามัญ!’

………………………………………….………….