ตอนที่ 146 การชำระโทษและผลพวง

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“นายท่าน พี่ชายของบ่าวเป็นคนขี้ขลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไหนเลยจะบังอาจกล้าทำเรื่องใหญ่หลวงเช่นนี้ได้ ต้องมีใครบางคนใส่ร้ายเป็นแน่ ขอร้องนายท่านช่วยตรวจสอบให้กระจ่างด้วยเจ้าค่ะ” อนุภรรยาอู๋คุกเข่าร้องไห้ฟูมฟายอยู่ต่อหน้า

ซั่งกวนฮ่าว นางไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ นางยังตั้งตัวไม่ติดก็เกือบจะปิดคดีเสียแล้ว

“ตรวจสอบให้กระจ่าง? เป็นเพราะข้าตาพร่ามัวถึงปล่อยให้เขาลอยนวลได้นานขนาดนี้” ซั่งกวนฮ่าวกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยื่นกองกระดาษหนาเตอะ มีทั้งขั้นตอนการจับกุมและการสอบสวนให้นางดูว่าหลังจากแขกเหรื่อมาเยือนแล้ว พวกพ่อบ้านอู๋ได้กระทำการอุกอาจ จากคำสารภาพของผู้ที่ต้องการหาทางหนีทีไล่ให้คนในครอบครัวของพวกเขา ค้นตัวได้สิ่งของจำพวกโกฐน้ำเต้า อาหารและยาสมุนไพรที่ยักยอกไปแต่ยังไม่ได้ใช้ ซึ่งเยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้คนเก็บไว้ในสภาพเดิมไม่มีการแตะต้อง ถังน้ำแข็งขนาดใหญ่ได้ละลายไปแล้วหลายใบ ดินประสิวที่ใช้ไม่หมด เป็นต้น แม้กระทั่งชื่อแซ่ของผู้ซื้อที่พวกเขาติดต่อในปีก่อนๆ และส่วนแบ่งรายปีของซั่งกวนซีก็เขียนไว้อย่างชัดเจน จะเห็นได้ว่าซั่งกวนฮ่าวเกิดอาการขมับเต้นตุ้บๆ…หากแขกผู้มีเกียรติที่กระเพาะอาหารบอบบางกินอาหารที่ค้างคืนไม่สดใหม่เช่นนั้นจะก่อให้เกิดปัญหากับท้องไส้ได้ หากไม่พบน้ำมันละหุ่ง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็จะพลอยติดร่างแหไปด้วยแน่ และตระกูลซั่งกวนจะเสื่อมเสียหน้าตาอย่างยับเยินยิ่งกว่า

งานชมดอกบัวถือเป็นหน้าเป็นตาของตระกูลซั่งกวน งานชมดอกบัวประจำปีไม่มีอะไรนอกจากใช้เงินเป็นแสนตำลึงราวกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ตระกูลซั่งกวนใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมาก เพื่ออะไรกันเล่า ไม่ใช่เรื่องหน้าตาหรอกหรือ พวกเขาก็ออกจะกล้ามากเช่นกัน ไม่นึกเลยว่าจะกล้าสอดมือทำเรื่องเช่นนี้ ช่างรนหาที่ตายเสียจริง

“นายท่าน…” อนุภรรยาอู๋ร่ำไห้อย่างปวดร้าวใจแล้วเอ่ยว่า “ท่านอย่าไปฟังคำหยาบคายของนังหญิงแพศยาเด็ดขาด ท่านลองคิดดูสิว่า พวกเขาจะกล้าเหิมเกริมทำเรื่องที่ผิดมหันต์ต่อฟ้าดินเช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่า? ต้องมีคนใส่ร้ายเป็นแน่ ถ้าอย่างนั้นพี่ชายผู้น่าสงสารของข้าต้องโดนโบยให้รับสารภาพแน่นอน”

ยามนี้อนุภรรยาอู๋ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเรือนโม่โฉว วันนี้เป็นวันที่สิบแปดเดือนหกเท่านั้น เมื่อวานนางรู้แต่เพียงว่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์นอนอยู่ที่เรือนโม่โฉวตลอดไม่ได้ออกไปไหน แต่เมื่อวานนี้เป็นวันที่ต้องส่งแขกเหรื่อกลับไป นางไม่มีทางปลีกตัวได้แม้แต่น้อย แม้จะส่งลูกน้องคนสนิทไปสอบถามข่าวคราว แต่ก็ไปลับไม่กลับมาอีกเลย นางจึงกระวนกระวายใจทั้งวันทั้งคืน ทั้งยังถูกซั่งกวนฮ่าวเรียกมาที่นี่ในตอนเช้าตรู่ เล่าคร่าวๆ เรื่องที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้พวกเขาทำอะไรอยู่อย่างตรงไปตรงมา แต่ไม่เห็นคนในตระกูลอู๋สักคนเดียว

“โบยให้รับสารภาพ? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาถูกโบย? หรือจะบอกว่าเจ้ารู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว จึงส่งคนไปฟังข่าวแล้วหรือ?” ไม่ต้องพูดเลยว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกสะใจมากเพียงใด ไม่คาดคิดว่าอนุภรรยาอู๋จะโดนมี่เอ๋อร์จับจุดอ่อนที่ถึงตายได้โดยไม่กระโตกกระตาก ทำเล่ห์เพทุบายในงานชมดอกบัว ต่อให้นายท่านจะไม่ต้องการชีวิตของพวกเขาก็จะไม่ยอมให้พวกเขามีทางรอดได้หายใจ ถ้าพวกเขาต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย สารภาพเรื่องนี้ออกมา ตระกูลซั่งกวนจะเสียศักดิ์ศรีจนเหม็นฉาวโฉ่ไปหมด

อนุภรรยาอู๋ชะงักไปเล็กน้อย ทำท่าทางให้เศร้ามากขึ้นไปอีกแล้วพูดว่า “ฮูหยิน สมาชิกในครอบครัวอู๋ของเราล้วนเป็นทาสรับใช้ของท่านนะเจ้าคะ พวกเขามีอุปนิสัยเช่นไรนั้นคนอื่นอาจไม่รู้ ทว่าท่านจะไม่ทราบได้อย่างไร? เราทำตามกฎมาตลอด ไหนเลยจะกล้าทำเรื่องเลวทรามได้…ฮูหยินเจ้าขา ท่านต้องออกหน้าแทนพวกเรานะเจ้าคะ…”

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกขยะแขยงมากที่นางกระโดดขึ้นไปบนเตียงของนายท่านในตอนนั้นที่ตนไม่ได้เตรียมการ และโกหกว่าตนจัดให้นางเข้ามาหลับนอนด้วย หลังจากเหตุการณ์นั้นตนจึงปล่อยปละละเลยจนความชั่วบ่มเพาะขึ้น แต่นางก็ฉวยจังหวะกระโดดขึ้นเตียงของนายท่านอีกครั้งในขณะที่ตนตั้งท้องหลิงหลง ทั้งยังร้องห่มร้องไห้บอกว่าตนรู้ทั้งรู้ว่านางท้องก็มาทุบตีนางจนแท้ง เพื่อจะปักหลักยืนให้มั่นคง นางจึงสมคบคิดกับป้า ถึงขั้นใส่ร้ายตัวเองหลายครั้ง นี่ปฏิบัติตามกฎอย่างนั้นหรือ?

“อนุภรรยาอู๋ ข้าคิดว่านายท่านกับฮูหยินทราบดีถึงนิสัยใจคอของคนตระกูลอู๋ว่าเป็นเช่นไร จะไม่ปรักปรำคนตระกูลอู๋ตามอำเภอใจ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา นางนั่งอยู่ข้างซั่งกวนเจวี๋ย ดูการแสดงของอนุภรรยาอู๋

“สะใภ้ใหญ่ ท่านโปรดเมตตา ยื่นมือที่สูงส่งเข้าช่วยพวกเขาด้วยเถิดเจ้าค่ะ” อนุภรรยาอู๋โขกศีรษะไปทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างแรงแล้วอ้อนวอนว่า “เลี่ยนเยี่ยนเป็นเพียงสาวใช้เมียบ่าว ไม่กล้าสู้อะไรกับท่านเป็นแน่ ท่านก็ช่วยปล่อยพ่อและพี่ชายของนางเถอะเจ้าค่ะ”

“พอแล้ว!” ไม่เอ่ยถึงอู๋เลี่ยนเยี่ยนยังจะดีกว่า เมื่อพูดถึงอู๋เลี่ยนเยี่ยนขึ้นมา ซั่งกวนเจวี๋ยก็นึกถึงอาหารที่ถูกวางยาและ

หลิงหลงพลอยโดนหางเลขไปด้วย เขาจึงทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วพูดอย่างเย็นเยียบว่า “เรื่องนี้รอให้ลุงจิ่นมาจัดการขั้นเด็ดขาดเอง อนุภรรยาอู๋ไม่จำเป็นต้องเสนอปากที่นี่”

อนุภรรยาอู๋ตกใจกลัวที่ซั่งกวนเจวี๋ยเกรี้ยวโกรธ นางหยุดเสียงร้องไห้ลงนิดหน่อย ทันใดนั้นก็สะอึกสะอื้นแทบจะขาดใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรสักพักหนึ่ง ส่วนซั่งกวนฮ่าวก็นึกถึงเรื่องของอู๋เลี่ยนเยี่ยนเพราะนางเอ่ยถึงขึ้นมา นางกล้าลอบทำร้ายแม้กระทั่งเจวี๋ยเอ๋อร์กับหลิงหลง การใช้รังนกและหูฉลามเก่ามาต้อนรับแขกดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย เพิ่มบางอย่างลงในอาหารแล้วทำให้เกิดอาการท้องร่วงดูจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่านั้น ซั่งกวนฮ่าวส่ายศีรษะ ดูท่าจะให้นางดูแลอะไรไม่ได้อีกแล้ว นางมองการณ์ไกลไม่พอ ทั้งยังคิดจะหาเงินไว้กินยามแก่อีกด้วย ไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดี หากนางทำตัวตามกฎสักหน่อย ตนจะให้นางแก่โดยไม่เหลียวแลได้อย่างไรเล่า?

“มี่เอ๋อร์น่ะ เหนื่อยมากในช่วงสองวันนี้สินะ” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยิ้มให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างให้กำลังใจพลางกล่าวว่า “เดิมทีงานชมดอกบัวนั้นก็เหนื่อยมากพอแล้ว และยังต้องมาเจอเรื่องกวนใจพรรค์นี้อีก กลับไปก็พักผ่อนให้สบายสักระยะหนึ่งเถิด”

“ใช่แล้ว มี่เอ๋อร์น่าจะเหนื่อยมากทีเดียว หลังจากกลับไปวันนี้เจ้าหยุดพักผ่อนสักสองสามวัน ให้เจวี๋ยเอ๋อร์อยู่ดูแลเจ้า” ซั่งกวนฮ่าวได้ยินก็ยิ้มปลอบใจลูกสะใภ้แล้วพูดต่อ “งานชมดอกบัวปีนี้ค่อนข้างมีสีสันยอดเยี่ยมมาก เมื่อวานนี้ยามที่ส่งแขก ทุกคนต่างยิ้มแย้มบอกว่าปีหน้าอย่าลืมเชิญพวกเขาอีก แม่ของเจ้าก็ชมเปาะแบบนี้เช่นกัน ซึ่งเจ้าทำได้ดีมาก”

“ลูกสะใภ้เพียงแค่ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ทำในสิ่งที่ควรทำ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างมีความสุขกล่าวว่า “ส่วนที่บอกว่ามีสีสันนั้น ก็แค่นิสัยเด็กๆ ของมี่เอ๋อร์เอง เป็นความคิดสนุกสนานไร้สาระ โชคดีแขกผู้มีเกียรติที่มาล้วนเป็นรุ่นเยาว์ หากเป็นบรรดาผู้อาวุโส คงจะโมโหหน้ามืดเป็นลมแน่”

“งานชมดอกบัวแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้า คนแก่อย่างพวกเขาจะมาร่วมสนุกอะไรกัน” ซั่งกวนฮ่าวหัวเราะร่วน และไม่สนใจอนุภรรยาอู๋ที่ยังคงร้องไห้อยู่ไม่หยุดหย่อน

“นายท่าน ฮูหยิน” ซั่งกวนจิ่นเดินเข้ามาด้วยสีหน้ามืดมนและน่ากลัว งานชมดอกบัวมักจะมีเขาและอนุภรรยาอู๋ช่วยกันจัดสองคนเสมอมา ซั่งกวนซีมีแนวโน้มที่เขาจะไว้ใจได้จึงดึงมาร่วมงาน ก็ไม่เคยคิดว่าจะพบความผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นนี้ ยิ่งนึกไม่ถึงมาก่อนว่าซั่งกวนซีจะสมคบคิดกับพ่อบ้านอู๋ ทำเรื่องเยี่ยงนี้ออกมาได้

“พ่อบ้านจิ่น พี่ชายของข้าถูกโบยหายใจรวยรินจะตายแล้วหรือ? หลานชายผู้น่าสงสารของข้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่? ขอร้องท่านบอกข้าจะได้หรือเปล่า?” อนุภรรยาอู๋คุกเข่าพุ่งเข้าไปหาเขาทันที นางแสดงกิริยาที่สุดแสนจะเอือมระอาเช่นนั้นได้อย่างคล่องแคล่วประหนึ่งเมฆาล่องลอยธาราไหลรินโดยไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ระวังนางอยู่เรื่อยมาประหลาดใจยิ่งนัก

“อนุภรรยาอู๋ โปรดสำรวมกิริยาด้วย” ซั่งกวนจิ่นแทบจะไม่ปล่อยให้นางเข้าใกล้ได้ จึงกระโดดยกทั้งตัวลอยขึ้น ทำให้อนุภรรยาอู๋โถมไปยังที่ว่างเต็มเปา สีหน้าของซั่งกวนฮ่าวก็ยิ่งเหยเก

“เอาตัวไป อนุภรรยาอู๋โปรดรออยู่ข้างๆ อย่างสงบ อย่าพูดจาไปรบกวนคนอื่น” ทันทีที่เสียงของซั่งกวนฮ่าวลดลง แม่นมสองคนก็พลันดึงอนุภรรยาอู๋ไปด้านข้าง ถ้าเก่งกล้ากว่านี้อีกหน่อย คงมีรูปปั้นเพิ่มอีกหนึ่งในห้องนี้

“นายท่าน ฮูหยิน ทุกอย่างที่สะใภ้ใหญ่ตรวจสอบนั้นสอดคล้องกันขอรับ” ซั่งกวนจิ่นไม่ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อผิดหวัง ใบหน้าของอนุภรรยาอู๋มืดมน แต่น่าเสียดายที่นางไม่สามารถขยับได้เลยนอกจากกลอกดวงตาไปมา พูดไม่ออกเช่นกัน

“แล้วมีข้อสงสัยว่าโบยให้ยอมจำนนอย่างที่อนุภรรยาอู๋กล่าวอ้างหรือไม่?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเอ่ยถามจนแทบจะกระโดดขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจไม่ได้ เมื่อความหดหู่และขุ่นเคืองเกือบสองทศวรรษที่ผ่านมาถูกกำจัดออกไปเป็นปลิดทิ้ง ตัวนางเองก็ดูตื่นตาตื่นใจสดใสขึ้น ความอิ่มเอิบนั้นทำให้อนุภรรยาอู๋อยากจะอาเจียนเป็นเลือด ซึ่งนั่นกลับเพิ่มความรู้สึกผิดในใจของซั่งกวนฮ่าวที่เก็บมานานหลายปี ดูเหมือนหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะไม่รู้สึกสดชื่นแบบนี้เลยนับตั้งแต่วันที่หนิงซินกลายเป็นสาวใช้เมียบ่าว ถึงแม้นางจะอ่อนแอจนทำให้เขาสงสัยแต่ก็ไม่รู้ว่าความอ่อนแอนั้นอันตรธานหายไปตั้งแต่เมื่อใดกัน เป็นเพราะจงเสวี่ยฉิงที่ชี้แนะนาง ให้กำลังใจนางจากสภาพที่หมดหนทาง เพียงเท่านี้เอง ภรรยาที่เคยมีความสุขกับโลกทั้งใบเพราะเรื่องเล็กน้อยก็ยังไม่ได้กลับมา ทว่าวันนี้ เขาได้เห็นนางกลับมาอีกครั้งแล้ว

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกตะลึงเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะมีช่วงเวลาที่น่าประทับใจเช่นนี้ ครั้นเห็นความปลาบปลื้มยินดีในดวงตาของซั่งกวนฮ่าว เห็นความคิดถึงจางๆ ที่ปกปิดไม่มิดและน้ำตาคลอเบ้าของซั่งกวนเจวี๋ย ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดสองพ่อลูกตระกูลซั่งกวนจึงยอมอดทนต่อความเอาแต่ใจของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อในทุกวิถีทาง ไฉนถึงหลงโอ๋จิงอิ๋งขนาดนี้ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง

“เรียนฮูหยิน ไม่มีใครถูกทุบตีนอกจากพ่อบ้านอู๋” ซั่งกวนจิ่นต้องการประหารชีวิตพวกเขาเสียทันที งานชมดอกบัวเป็นงานใหญ่ประจำปีของตระกูลซั่งกวน พวกเขากล้ายื่นมือเข้าแทรกเรื่องแบบนี้ ยังจะมีอะไรอีกที่พวกเขาไม่กล้า…ในเวลานี้เขาลืมไปแล้วว่ามีงานชมดอกบัวประจำปี ในเรือนโม่โฉวก็ไม่มีอะไรจะให้พวกเขาได้ตักตวงผลประโยชน์ก้อนใหญ่

“โอ้โห มี่เอ๋อร์ เจ้าทุบตีพ่อบ้านอู๋ได้อย่างไรเล่า?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อร้องขึ้นมาอย่าง ‘แปลกใจ’ หากแต่ใบหน้าของนางไม่ได้เปี่ยมล้นไปด้วยความปรีดิ์เปรมเกษมสันต์จนอดไม่ไหว ไม่ต้องหัวเราะจนเกินจริงเช่นนั้น น้ำเสียงก็อย่าตื่นเต้นขนาดนั้น บางทีเยี่ยนมี่เอ๋อร์อาจจะยังเชื่อนางจึงเจ็บใจแทนใครบางคนอยู่ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนได้ทีขี่แพะไล่หรือผีซ้ำด้ำพลอยมากกว่า

“มี่เอ๋อร์เป็นคนเอาแต่ใจ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สารภาพความผิดโดยสุจริตใจพลางกล่าวว่า “มี่เอ๋อร์ไม่ควรถูกยั่วให้โกรธเพราะ ‘ญาติพี่น้อง’ ผู้นั้นที่ถูกจับจนถึงป่านนี้ยังร้องปาวๆ ว่าโดนปรักปรำ เพราะพวกเขาไม่ควรบอกว่าข้าวางกับดัก จะฆ่าคนตายเป็นผักปลาจนข้ามีน้ำโห นับประสาอะไรจะทนเห็นสิ่งที่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตระกูลซั่งกวน ข้าจึงได้ขาดสติไป”

การเข้าใจผิดนี้ก็เป็นเรื่องดี หวงฝู่เยวี่ยเอ้อใบหน้าเปื้อนยิ้มแพรวพราว หันไปมองอนุภรรยาอู๋ที่ใจร้อนดั่งไฟสุมขอนในชั่วพริบตาแล้วพูดกลั้วหัวเราะทันทีว่า “ข้าลืมไปเสียสนิท พ่อบ้านอู๋เป็นท่านลุงใหญ่ของนายท่านนี่นา”

“นายท่าน จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรขอรับ?” ซั่งกวนจิ่นไม่แม้แต่จะมองอนุภรรยาอู๋ แม้เขากระเหี้ยนกระหือรือจะฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่กระนั้นก็ยังต้องปรึกษาซั่งกวนฮ่าว

“ซั่งกวนซีอยู่ในฐานะพ่อบ้านและหลานห่างๆ ของตระกูลซั่งกวน ปล่อยให้เขาเป็นคนกำหนดเอง พวกลูกหลานในครอบครัวของเขาก็สั่งปิดปากให้สนิท ย้ายไปอยู่ที่เรือนพำนักรอบเขาอวี้ฉิง คนรับใช้ก็ให้ประทานเหล้าพิษ ปิดปากยกครัว ส่วนพ่อครัวหวังเอ้อร์ก็โบยให้ตาย ส่งทั้งครอบครัวไปที่เหมือง ไม่อนุญาตให้ย้ายออก ส่วนพ่อบ้านอู๋และครอบครัวซึ่งเป็นผู้บงการ จะริบยึดทรัพย์สินทั้งหมด จำกัดให้รับใช้อยู่ในเรือนโม่โฉว ไม่มีวันกลับมาได้อีก” ซั่งกวนฮ่าวเชื่อว่าจุดจบเยี่ยงนี้จะได้ผลกว่าการเอาชีวิตพวกเขาโดยตรงซึ่งทำให้พวกเขายอมรับไม่ได้ เดิมทีเกิดมาเป็นทาสที่ต่ำต้อย ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลายมาเป็นนายเหนือผู้คน การทำให้พวกเขาเปื้อนคลุกฝุ่นอีกครั้งก็เท่ากับพวกเขาตกลงในเหวนรกอเวจี โดยเฉพาะในเรือนโม่โฉวที่มีคนจำนวนมากถูกพวกเขากดขี่ ต่อให้คนเหล่านี้จะไม่เล่นงานพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม ทว่าคนในครอบครัวบ่าวไพร่พวกนั้นที่เสียชีวิตเพราะเหตุการณ์นี้จะไม่ยอมให้พวกเขามีชีวิตอยู่ดีกินดีเป็นแน่

“นายท่าน ท่านทำแบบนี้ไม่ได้นะ…ตระกูลอู๋ถูกปรักปรำจริงๆ นะเจ้าคะ!” อนุภรรยาอู๋ได้อิสรภาพในเวลานี้ จึงกระโจนออกมาร้องแรกแหกกระเชอ ตระกูลอู๋ต้องตกระกำลำบากคลุกฝุ่นก็เป็นเพราะตัวนางเอง

“แม้อนุภรรยาอู๋จะไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แต่การกระทำของพี่ชายเจ้าก็ยากจะลดโทษ จึงสั่งห้ามไม่ให้เจ้าออกจากเรือนเมฆาโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่ให้ออกไปเยี่ยมญาติเช่นกัน” ซั่งกวนฮ่าวรู้ว่าซั่งกวนจิ่นก็ไม่ได้รับคำให้การซัดทอดจากปากของคนในตระกูลอู๋ว่าอนุภรรยาอู๋สั่งการ ฉะนั้นจึงรู้เป็นนัยเองว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์แน่นอน

“นายท่าน…” อู๋น่งอวิ๋นตะลึงงัน นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนจะจบลงแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการติดคุก? แต่ก่อนที่นางจะทำอะไร แม่นมฝีมือดีทั้งสองคนนั้นได้จี้จุดนางอีกครั้ง แล้วดึงนางออกไป

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกสดชื่น มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยแววตารักใคร่เอ็นดูมากขึ้น นางเชื่อมั่นว่าถ้าไม่ใช่เพราะตัวเอง มี่เอ๋อร์จะไม่จัดการแบบนี้แน่นอน

เพียงแต่นางเดาถูกจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคิดจะขจัดความคับแค้นใจที่อยู่ในใจนางมาหลายปี เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่จัดการกับเรื่องแบบนี้เลย แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อดูสบายใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกว่าความเพียรพยายามนั้นคุ้มค่ามาก

“เรื่องแบบนี้ผู้คนในเรือนโม่โฉวจะไม่ปล่อยปละละเลยและทำเป็นทองไม่รู้ร้อน จะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า น้องจิ่น นำรายชื่อคนงานจากเรือนโม่โฉวมาให้ข้าด้วย” แม้ซั่งกวนฮ่าวจะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะลงดาบกับเรือนโม่โฉว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่เคยคิดจะทำเรื่องนี้โดยพลการอยู่แล้ว ในตอนแรกได้พูดคุยถึงข้อสงสัยของตนกับซั่งกวนเจวี๋ย จากนั้นก็หารือรายละเอียดกับซั่งกวนจิ่นอย่างรอบคอบ ระบายความในใจกับซั่งกวนฮ่าวเช่นกัน แต่ถึงแม้ทุกคนจะคิดในแง่เลวร้ายที่สุด แต่ก็ยังหวังว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น แต่น่าเสียดายที่ยังเกิดขึ้นจนได้

ซั่งกวนจิ่นพยักหน้า ให้คนรับสมุดบัญชีไปทันที เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ท่านพ่อ มี่เอ๋อร์มีอะไรจะพูด”

“มี่เอ๋อร์ ไม่จำเป็นต้องพูดแทนทาสที่เนรคุณพวกนี้” ซั่งกวนฮ่าวรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ต้องการพูดอะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงพูดแทรกขณะที่เขาเอ่ยปากจะชำระโทษ

“แต่ถ้ามี่เอ๋อร์ไม่พูดออกมาแล้วจะไม่สบายใจ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยืนกราน

“เจ้า…” ซั่งกวนฮ่าวส่ายหัว หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่รอให้เขาปฏิเสธก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “มี่เอ๋อร์คิดจะพูดอะไรก็ว่ามาเถิด”

“ท่านพ่อ ถึงแม้พ่อบ้านและพวกบ่าวไพร่ในเรือนโม่โฉวจะมีความผิดที่นั่งนิ่งดูดาย แต่ตามที่มี่เอ๋อร์เข้าใจ พวกเขาก็ทำได้เพียงเท่านี้ ท่านพ่ออย่าเพิ่งโกรธ โปรดฟังมี่เอ๋อร์พูดให้จบ…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวจนทำให้ซั่งกวนฮ่าวกล้ำกลืนคำพูดทั้งที่อยากบอกอีกครั้ง มี่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เรือนโม่โฉวแห่งนี้ตั้งอยู่ในที่ห่างไกล จะมีความพิเศษขึ้นมาก็เฉพาะงานชมดอกบัวประจำปีเท่านั้น เหล่าเจ้านายมาเยือนน้อยครั้ง แม้แต่พ่อบ้านใหญ่อย่างลุงจิ่นก็แทบไม่มีเวลาได้มา นานๆ ครั้งจะมาสักที อนุภรรยาอู๋ยังเป็นผู้ดูแลหลายๆ เรื่องภายในจวน ทุกคนก็ต้องเกรงบารมียอมอ่อนข้อให้ พ่อบ้านอู๋เป็นคนของอนุภรรยาอู๋ เรือนที่ห่างไกลเช่นนี้ เขาคิดจะคลุมท้องฟ้าด้วยมือข้างเดียวใช้เล่ห์เหลี่ยมปิดบังก็ง่ายมาก ต่อให้มีใครบางคนจะไม่ชอบใจ อยากจะตีแผ่แฉเรื่องนี้ขึ้นมา ก็ไม่ทราบว่าพวกท่านจะเชื่อหรือไม่ แม้ต้องการจะกราบเรียนพวกท่านก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

ซั่งกวนฮ่าวสงบลงบ้าง พยักหน้าเล็กน้อย แต่ยังไม่คลายความโมโหโกรธา

“ข้ารู้ว่าท่านพ่อยังคงเดือดดาลที่มีคนเยอะแยะขนาดนั้นร่วมมือกันทำชั่ว แต่ก็เป็นเพราะมีคนสร้างความวุ่นวายให้เรือนโม่โฉว ท่านพ่อ ถึงแม้เรือนโม่โฉวจะเหมือนกับเรือนอื่นๆ ทั้งหมด เบี้ยอัฐรายเดือนของพ่อบ้านและคนรับใช้ก็มากเท่ากัน ถึงกระนั้นเรือนอื่นๆ จะมีการตบรางวัลบ้างก็ต่อเมื่อบรรดาเจ้านายมาเที่ยวเล่นในยามว่างหรือมีแขกมาเยี่ยม เท่าที่ข้าทราบ พวกสาวใช้ใหญ่จะได้รับผลตอบแทนในแต่ละเดือนมากกว่าเงินรายเดือน จึงเป็นเหตุว่าทำไมพวกบ่าวไพร่ถึงอยากจะเข้าไปในจวนนัก สิ่งสำคัญที่สุดคือจะได้เงินรางวัลมากขึ้น ส่วนเรือนโม่โฉวมีโอกาสได้รับเงินรางวัลเฉพาะเมื่อมีงานชมดอกบัวประจำปีเท่านั้น ในเวลาอื่นๆ ก็ต้องอาศัยเงินรายเดือนเท่านั้น ก็ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะยอมเสี่ยงเพราะเข้าตาจน”

ซั่งกวนฮ่าวคิดใคร่ครวญ มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ เพียงแต่พวกเขาล้วนเป็นคนระดับสูง จะมาพิจารณาเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ได้อย่างไร เขาผงกหัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นมี่เอ๋อร์อยากจะพูดอะไร และต้องการทำอะไรล่ะ?”

“มี่เอ๋อร์อยากขอให้ท่านพ่อยกโทษให้พวกเขาสำหรับความผิดที่ไม่รายงานและนั่งเฉย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอให้ท่านพ่อพิจารณาเพิ่มเงินรายเดือนให้พวกเขารวมถึงพ่อบ้านและบ่าวไพร่ในเรือนที่ถูกทิ้งร้าง นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีรางวัลพิเศษถึงได้กระทำเช่นนี้ ในกรณีที่พวกเขายังไม่พอใจ แล้วพบว่าได้กระทำเรื่องที่กระทบชื่อเสียงหน้าตาและผลประโยชน์ของตระกูลซั่งกวน ก็จะถูกลงโทษเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า” อันที่จริงซั่งกวนเจวี๋ยเสนอแนวคิดนี้ แต่เขารู้ว่าซั่งกวนฮ่าวอาจนำเรื่องนี้มาใช้ เมื่อรับไปใช้จะทำให้หลายคนซาบซึ้งใจคนที่เสนอ ดังนั้นมี่เอ๋อร์จึงได้รับคำสั่งให้ทำเช่นนี้ เขาหวังว่าภรรยาตัวน้อยของเขาจะยืนหยัดในตระกูลซั่งกวนได้อย่างเข้มแข็งและแข็งแกร่ง ส่วนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็คิดไตร่ตรองรายละเอียดอย่างรอบคอบให้สมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง…เยี่ยนมี่เอ๋อร์พบว่าในสถานการณ์โดยรวมตนยังด้อยกว่าซั่งกวนเจวี๋ย แต่ในแง่รายละเอียดเก่งกว่าเล็กน้อย นี่คือการช่วยเสริมกันและกันกระมัง

“น้องจิ่น เจ้าคิดอย่างไร?” ซั่งกวนฮ่าวครุ่นคิดสักพัก แล้วถามซั่งกวนจิ่นที่ขบคิดอย่างลึกซึ้งอยู่

“ข้าคิดว่าเป็นไปได้” ซั่งกวนจิ่นยังตื้นตันใจเล็กน้อย พ่อบ้านหลายคนยอมจะทำงานดูแลเล็กๆ ภายในจวนหรือเรือนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ แทนที่จะไปทำงานอยู่ตัวคนเดียวในที่ห่างไกล ไม่ใช่เพื่อจะหาเงินได้มากกว่าหรอกหรือ

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่มี่เอ๋อร์ว่า เพียงแต่การดำเนินการเฉพาะนั้นต้องได้รับการวางแผนอย่างดี จะเกิดช่องโหว่ไม่ได้ สำหรับคนอื่นๆ ในเรือนโม่โฉว ก็ทำตามคำขอของมี่เอ๋อร์ ไม่มีการลงโทษ” ซั่งกวนฮ่าวเหลือบเห็นซั่งกวนจิ่นที่ปลื้มใจเช่นกัน เขาย่อมมีความสุขที่ได้ทำตามน้ำใจอันดีงามของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้สมความปรารถนา

“ขอบคุณท่านพ่อที่ทำให้สมหวัง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณ ซั่งกวนเจวี๋ยอมยิ้มมองไปทางนาง ด้วยความภาคภูมิใจบนใบหน้าอย่างเอ่อท้น

———————————-