ท่านแม่เฒ่าเผยและท่านแม่เฒ่าอี้ล้วนไม่เผยสีหน้าแปลกใจแม้แต่น้อย ด้านท่านแม่เฒ่าเผยกลับหัวเราะร่า “ยามนี้อาสามของพวกเจ้าเป็นผู้นำสกุล เรื่องในเรือนเขาย่อมรู้ทุกอย่าง!”
คุณหนูสาม คุณหนูสี่ และคุณหนูห้าต่างก็เบิกตากว้าง หันไปมองเผยเยี่ยน
ในนั้นยังรวมถึงอวี้ถังด้วย
เผยเยี่ยนกลับมองเห็นอวี้ถังในพริบตาเดียว
จะว่าไปแล้ว หลายวันมานี้เขาก็ไม่ค่อยได้พบอวี้ถังเลย
นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมทอสีเขียวครามปักดอกเฟิ่งเหว่ยที่เขามอบให้นางตัวนั้น คอเสื้อที่เป็นปุยขนขับใบหน้านางขาวผ่องราวกับหิมะต้นฤดู ดวงตาที่เดิมทีแบ่งสีดำและขาวอย่างชัดเจนจึงเผยความสดใส ยามนี้กลับเบิกกว้าง คล้ายสะท้อนเงาของเขา ยิ่งดูกระจ่างใสขึ้นไปอีก
ช่างเป็นดั่งที่ว่าผู้หญิงโตขึ้นเปลี่ยนไปสิบแปดแบบ[1]
คิ้วของคุณหนูอวี้ค่อยๆ ห่างออกจากกัน ดูงดงามอย่างยิ่ง
เขาก้าวเข้าไปเตรียมจะทักทายอวี้ถัง แต่ชั่วพริบตาก็เห็นกู้ซีเดินไปหาท่านแม่เฒ่า ดูคล้ายจะช่วยพยุงท่านแม่เฒ่า หายากที่เขาจะขมวดคิ้วขึ้น จู่ๆ ก็ตัดสินใจยังไม่ทักอวี้ถัง แต่ไปคำนับให้แก่ท่านแม่เฒ่าก่อน “ท่านแม่ เส้นทางไม่คอยสะดวกสบายนัก ร่างกายยังไหวอยู่กระมัง?” ก่อนจะคำนับให้กับท่านแม่เฒ่าอี้ “อาสะใภ้!”
ท่านแม่เฒ่าทั้งสองพยักหน้าพร้อมเพรียงกัน
ท่านแม่เฒ่าเผยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะเป็นอะไรได้? กลับเป็นเจ้า ได้ยินว่าเมื่อวานบันดาลโทสะอีกแล้ว? มีเรื่องอะไรก็ค่อยเป็นค่อยไป โมโหโกรธาย่อมไม่มีประโยชน์ รังแต่จะทำให้เจ้าอารมณ์ไม่ดี ทำลายสุขภาพเจ้าเท่านั้น พ่อและพี่ชายเจ้าก็จากไปแล้ว เจ้า…หากเกิดอะไรไม่คาดฝันกับเจ้าและพี่รองเจ้า เจ้าจะให้ยายแก่อย่างข้าอยู่อย่างไรกัน?” พูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของท่านแม่เฒ่าก็ไร้รอยยิ้ม หางตายังมีประกายน้ำแวววับ
“ข้าทราบแล้วท่านแม่” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างเคร่งขรึม เข้าไปประคองท่านแม่เฒ่า เอ่ยว่า “แม้ตั้งแต่เด็กข้าจะเป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง แต่เรื่องใหญ่ ข้าก็ไม่เคยทำผิดพลาดมาก่อน ท่านแม่ ท่านก็เชื่อข้าเถิด ข้าและพี่รองย่อมไม่อาจเกิดเรื่องอันใด”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” ท่านแม่เฒ่าเอ่ย สีหน้ากลับปรากฏความอ่อนล้าอยู่หลายส่วน
กู้ซีไม่รู้ว่าเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างท่านแม่เฒ่าเผยและท่านแม่เฒ่าอี้ตั้งแต่เมื่อใด ทำเป็นพยุงท่านแม่เฒ่าเผย นางและเผยเยี่ยนจึงอยู่ทางซ้ายและขวาของท่านแม่เฒ่าเผย คล้ายกับเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบยิ่ง
ท่านแม่เฒ่าอี้มองกู้ซีอย่างลึกล้ำ กู้ซีไม่สังเกตเห็นแต่อย่างใด นางพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างของเผยเยี่ยน
นายหญิงเสิ่นถูกส่งลงเขา นางส่งคนไปสืบข่าว นายหญิงเสิ่นนั้นถูกอาจารย์เสิ่นส่งกลับสกุลมารดาในคืนนั้นทันที
ไม่กังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสามีภรรยาแม้แต่น้อย
กล่าวว่าอยากส่งนายหญิงเสิ่นกลับไปฝึกฝนสงบจิตใจที่วัดประจำสกุลหวัง
นี่ต่างจากการทอดทิ้งภรรยาตรงไหน?
กู้ซีไม่รู้ว่าสกุลเผยทราบข่าวนี้หรือไม่ แต่ในเมื่อเสิ่นซ่านเหยียนลงโทษนายหญิงเสิ่นเช่นนี้ แปดถึงเก้าในสิบย่อมทำเพื่อสกุลเผย ไม่นานข่าวคราวก็คงแพร่สะพัดมาถึงจวนสกุลเผย
ถึงเวลานั้นนางที่มาเป็นแขกในสกุลเผยพร้อมนายหญิงเสิ่นก็คงไร้ทางที่จะพักที่สกุลเผยต่อไป
เวลาของนางมีไม่มาก
สามารถหลงเหลือความประทับใจที่ดีให้เผยเยี่ยนหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำครั้งนี้แล้ว
น่าเสียดายที่นางไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับเผยเยี่ยน อยากสืบข่าวคราวเผยเยี่ยนก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร จึงไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนเป็นคนอย่างไร ทั้งไม่ทราบเขามองคนอย่างไร ไม่รู้ว่าควรจะทักทายกับเผยเยี่ยนอย่างใจกว้าง หรือควรแสร้งทำเป็นผู้เคราะห์ร้ายบีบน้ำตาต่อหน้าเผยเยี่ยนดี
กู้ซีหลุบสายตาลง ขณะที่กำลังคิดลังเล พวกคุณหนูของสกุลเผยก็เข้ามาทักทายเผยเยี่ยน
แม้จะเป็นหลานสาว ทั้งมีความต่างเรื่องอาวุโส แต่ยามที่ควรหลบหลีกก็ควรหลีก ยามที่ต้องสงวนคำพูดก็ต้องสงวนคำพูด
เผยเยี่ยนผงกศีรษะเล็กน้อย เผยท่าทีเย็นชาอยู่บ้าง “ท่านแม่เฒ่าทั้งสองอายุมากแล้ว พวกเจ้ามาเที่ยวเล่นที่วัด ก็อย่าได้วิ่งซนไปทั่ว ทำให้ท่านแม่เฒ่าทั้งสองกังวลใจ”
อวี้ถังขานรับ ย่อเข่าคำนับตามพวกคุณหนูเช่นกัน
เผยเยี่ยนชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง ดูคล้ายรอยยิ้มจะค่อยอบอุ่นขึ้นมา ใบหน้าก็ผ่อนคลายลง ยามนี้จึงปล่อยใจที่พะว้าพะวังขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ออกไป ลอบถอนหายใจ
ทุกคนและเจ้าอาวาสของอารามต่างก็ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบเป็นพิธี ก่อนท่านแม่เฒ่าทั้งสองจะเข้าไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมในวิหารใหญ่โดยมีเจ้าอาวาสคอยนำทาง
ระหว่างทาง เผยเยี่ยนก็ผละตัวออกมาจากท่านแม่เฒ่าอย่างเงียบเชียบ เดินอยู่เบื้องหลังท่านแม่เฒ่าเผยและท่านแม่เฒ่าอี้ ค่อยๆ เดินไปอยู่กับพวกอวี้ถัง คุณหนูสาม คุณหนูสี่ และคุณหนูห้าที่เดินด้วยกันหลังท่านแม่เฒ่าสองท่าน
คุณหนูรองประคองท่านแม่เฒ่าอี้ ก็อดหันศีรษะไปมองเผยเยี่ยนแวบหนึ่งไม่ได้ เผยท่าทีสงสัย
เผยเยี่ยนจงใจรั้งฝีเท้าให้ช้าลง กั้นกลางอยู่ระหว่างคุณหนูสามและคุณหนูสี่
ไม่รู้ว่าคุณหนูสี่กลัวจะแตกคู่กับคุณหนูสาม หรือว่ากลัวที่เผยเยี่ยนเดินร่วมทาง จึงลอบมองเผยเยี่ยนไปที เมื่อเห็นเผยเยี่ยนคล้ายกำลังพินิจต้นทับทิมที่ใบร่วงเกลี้ยงข้างทางเดิน ก็สาวเท้าอย่างว่องไวเดินข้ามเผยเยี่ยนมาอยู่ด้านข้างคุณหนูสาม ยังจับมือคุณหนูสามไว้
คุณหนูสามมองนางอย่างแปลกใจไปที
นางกะพริบตาให้คุณหนูสาม
ก่อนคุณหนูสามจะเหลือบมองเผยเยี่ยนอย่างว่องไว เมื่อเห็นว่าเผยเยี่ยนไม่สนใจพวกนาง จึงดึงคุณหนูสี่ให้รีบเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ตามอยู่เบื้องหลังท่านแม่เฒ่าทั้งสองคนติดๆ เว้นระยะห่างออกมาจากเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนเห็นก็ขบขัน หางตากลับอดมองไปทางอวี้ถังและคุณหนูห้าไม่ได้
อวี้ถังและคุณหนูห้าไม่ได้มองเขา แต่กำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกันอย่างออกรส
มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย ทอดสายตามองป่าเหมยที่อยู่ไกลออกไปพักใหญ่ ไม่ทันได้สังเกตเห็นอวี้ถังที่เงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่หรอกกระมัง!” อวี้ถังลอบถอนหายใจ ก่อนจะมองเผยเยี่ยนไปอีกที อธิบายกับคุณหนูห้าอย่างจนใจ “อาสามของเจ้าเป็นคนที่ภายนอกเย็นชาภายในใจดี เจ้าเป็นหลาน ทั้งเจ้าก็พูดเองว่า ก่อนที่เจ้าจะห้าขวบก็ไม่เคยพบอาสามมาก่อน แล้วไฉนเจ้าจึงตัดสินว่าอาสามของเจ้าเป็นคนเข้มงวดกวดขัน? อีกอย่าง แม้ว่าเขาจะเข้มงวดกวดขัน หากเจ้าไม่ทำเรื่องผิด เขาจะลงโทษเจ้าได้อย่างไร? เจ้าอย่าได้ซุบซิบนินทาทั่วเลย หากอาสามของเจ้ารู้คงเสียใจแย่”
คุณหนูห้าแลบลิ้นออกมา มองเผยเยี่ยนอย่างใจกล้าไปที ยามนี้จึงเอ่ยเสียงแผ่ว “แต่หากว่าเขา…”
อวี้ถังรู้สึกว่าคนรอบข้างล้วนให้ร้ายเผยเยี่ยน
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง
เพราะสีหน้าที่เคร่งขรึมจึงถูกคนคาดเดาว่าเป็นคนไม่ดี
นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
นางพูดตัดบทคุณหนูห้าอย่างเฉียบขาด “ไม่ใช่หรอก! เจ้าเชื่อข้าหรือจะเชื่อคนที่พูดจาไร้สาระต่อหน้าเจ้าพวกนั้น?”
คุณหนูห้าผงกศีรษะระรัวทันที “ข้าย่อมเชื่อพี่อวี้”
“เช่นนั้นก็ดี!” อวี้ถังไม่เปิดโอกาสให้นางอีก เอ่ยทันที “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เช่นนั้นเจ้าก็ลองทำตามที่ข้าพูดดู เป็นฝ่ายพูดคุยกับอาสามเจ้า ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบเขาก่อน หากมีคนให้ร้ายเขา เจ้าก็กระโดดออกมาปกป้องเขาทันที เจ้าก็ลอบสังเกตดูว่า เขาเป็นเหมือนดังที่เจ้าพูดหรือไม่!”
“อืมๆ!” คุณหนูห้าพยักหน้าระรัว
อวี้ถังไม่รู้ว่าเสียงของตัวเองนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าย่อมไม่เห็นมุมปากของเผยเยี่ยนที่รั้งรอยยิ้มไว้ไม่ไหวเช่นกัน
ไม่นาน ทุกคนก็มาถึงวิหารใหญ่
เจ้าอาวาสเป็นฝ่ายนำท่านแม่เฒ่าทั้งสองและทุกคนจุดธูปด้วยตัวเอง
ท่านแม่เฒ่าทั้งสองแบ่งกันบริจาคเงินค่าธูปน้ำมันคนละห้าสิบตำลึง พวกอวี้ถังต่างก็บริจาคเงินก้อนสามตำลึง รวมถึงกู้ซีด้วย
ด้านหลังอารามดับทุกข์มีสวนผักกว่าสิบหมู่และป่าไผ่ ทุกปีสามารถเก็บหน่อไม้ฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิได้อยู่บ้าง แม้จะกล่าวว่าไม่มีเงินบริจาคอะไรจากคนนอก แต่มีเงินค่าธูปน้ำมันหนึ่งร้อยตำลึงนี้ ก็เพียงพอค่ากินดื่มในวัดทั้งปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นท่านแม่เฒ่าทั้งสองยังนำข้าวสารอาหารแห้งมาด้วยจำนวนหนึ่ง
จือเค่อทั้งสองและอุบาสิกาไม่กี่คนเข้ามาช่วยพวกเด็กรับใช้ของสกุลเผยขนของอย่างดีใจ ด้านเจ้าอาวาสก็เชิญพวกนางเข้าไปดื่มชาในห้องเซียงฝาง
อวี้ถังเขย่งมองอย่างละเอียด ก็ไม่พบญาติผู้พี่ของป้าสะใภ้ใหญ่แต่อย่างใด
ไปพักผ่อนแล้วหรือกำลังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องอื่นอยู่กัน?
อวี้ถังครุ่นคิด ก่อนจะรับถ้วยชาจากภิกษุณีน้อย ช่วยจัดเตรียมชา
เจ้าอาวาสและท่านแม่เฒ่าทั้งสองพูดคุยเรื่องวัดกัน “ไม่กี่วันก่อน ท่านแม่เฒ่าหย่งบ้านห้าก็เข้ามาทีหนึ่ง ยังบริจาคเงินค่าธูปน้ำมันห้าสิบตำลึง รวมกับนายหญิงและนายหญิงน้อยบ้านอื่น ในวัดก็ได้รับเงินบริจาคประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบตำลึง เพียงแต่ปีที่แล้วมีอุบาสิกามาอยู่ยาวในวัดพวกเราเพิ่มอีกเจ็ดคน พวกเราจึงนำทุกคนขึ้นเขาไปขุดหน่อไม้ นอกจากมอบให้แต่ละสกุลจำนวนหนึ่งแล้ว ในวัดยังเก็บไว้ด้วย ทั้งขายได้เงินอีกสามสิบตำลึง…”
นี่คงกำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดให้ท่านแม่เฒ่าทั้งสองฟัง
อวี้ถังไม่ได้ใส่ใจฟังนัก
เจ้าอาวาสยังคงเป็นเจ้าอาวาสคนนั้น ความขี้เหนียวของนางไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ความลำบากยากเข็ญในวัดย่อมเปลี่ยนแปลงไม่ได้เช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อารามดับทุกข์สามารถให้ที่หลบซ่อนสตรีที่ไร้ทางไปมากมาย ให้ที่ตั้งหลักปักฐาน นางควรซาบซึ้งที่เจ้าอาวาสท่านนี้ให้ความช่วยเหลือตลอดมาเสียด้วยซ้ำ
ในสมองของนางมีแต่เรื่องที่เหตุใดเผยเยี่ยนจึงบันดาลโทสะ? ทั้งยังทำให้ท่านแม่เฒ่าคิดว่าเขาโมโหจนส่งผลร้ายกับสุขภาพของตัวเอง
มีเรื่องอะไรที่นางไม่รู้เกิดขึ้นอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังสอดส่องหาเงาของเผยเยี่ยน
บางทีเพราะว่าในห้องเซียงฝางมีแต่สตรี เมื่อครู่เผยเยี่ยนเพิ่งจะอยู่ที่นี่ ยามนี้ไม่รู้ว่าไปไหนเสียแล้ว
นางถามคุณหนูห้าเสียงเบา “เห็นอาสามของเจ้าหรือไม่?”
“ข้าก็ไม่ทันสังเกต” คุณหนูห้าตั้งใจฟังเจ้าอาวาสพูดอย่างยิ่ง ตอบอวี้ถังอย่างไม่ใส่ใจนัก “อยู่ด้านนอกกระมัง? บางทีอาจจะไปหลบห้องเซียงฝางสักแห่งก็ได้? อากาศหนาวเย็นเพียงนี้ ใครจะยืนโง่อยู่นอกเรือนกัน? เจ้าให้คนไปหาก็เพียงพอแล้ว!”
อวี้ถังหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ก่อนจะมองพวกคุณหนูรอง ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาฟังเช่นกัน
อวี้ถังไม่เข้าใจ
ในความคิดของนาง เผยเยี่ยนสำคัญยิ่งกว่าเรื่องบัญชีอะไรพวกนี้เสียอีก
นางอดถามคุณหนูห้าไม่ได้ “เจ้าฟังเรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน? เจ้าเริ่มเรียนเกี่ยวกับการดูแลเหย้าเรือนแล้วรึ?”
“ยังหรอก” คุณหนูห้าเอ่ยเสียงเบา “เป็นเพราะท่านแม่กำชับข้า กล่าวว่าทุกเรื่องในใต้หล้าล้วนแฝงด้วยความรู้ ยามที่มากำชับข้าต้องฟังให้ละเอียดว่าในวัดมีรายจ่ายอะไรบ้าง ภายหลังแม้ว่าจะทำบุญให้วัด ก็ไม่อาจให้ผู้อื่นนำความใจบุญของพวกเราไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้ ต้องรู้เรื่องทุกอย่างให้ดีด้วย”
อวี้ถังมองนายหญิงรองอย่างนับถือไปที คิดหาโอกาสไปถามเผยเยี่ยนว่าไปพบเจอกับเรื่องไม่ดีอะไรมา
ไม่นานนัก นางก็มีโอกาส
เมื่อกินข้าวเที่ยงแล้ว ท่านแม่เฒ่าทั้งสองก็ตัดสินใจจะงีบพักกลางวัน ยามบ่ายค่อยไปดูพวกอุบาสิกาที่บำเพ็ญเพียรในวัดว่ามีอะไรให้สามารถช่วยเหลืออีกหรือไม่
ทางอารามแบ่งห้องเซียงฝางให้พวกนางพักกลางวันคนละห้อง
อวี้ถังจึงให้ซวงเถาไปหาอาหมิง ให้อาหมิงช่วยนางบอกกล่าวกับเผยเยี่ยนเสียหน่อย
———————–
[1]ผู้หญิงโตขึ้นเปลี่ยนไปสิบแปดแบบ อุปมาว่า ผู้หญิงยิ่งโตก็ยิ่งสวยขึ้น