คูมู่ปล่อยเพลิงอัคคีออกไป หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนหลบได้อย่างหวุดหวิด ความร้อนแผดเผาปะทะเข้าใบหน้า หลิวหลีรู้สึกเหมือนตัวเองโดนย่างจนสุก นี่ก็คือเพลิงอัคคีที่อยู่ในสิบอันดับแรกของการจัดอันดับเพลิงอัคคี หลิวหลีตื่นเต้นเล็กน้อย นางจะต้องเอามาครอบครองให้ได้
คูมู่แยกเพลิงอัคคีออกเป็นสองทางเพื่อพุ่งจู่โจมหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียน หลิวหลีใช้เพลิงวิญญาณไม้ป้องกันตัวไว้ หนานกงเวิ่นเทียนเบี่ยงตัวหลบ
“น่าสนใจ ไม่ได้มีเพียงแค่ชนิดเดียวด้วย” คูมู่มองหลิวหลีด้วยความตื่นเต้นน้อยๆ เขาสัมผัสได้ถึงเพลิงอัคคีสองชนิดที่แตกต่างกัน อืม รู้สึกคุ้นเคยจัง
คูมู่ปล่อยกำแพงแห่งเพลิงออกไปขังหนานกงเวิ่นเทียนไว้อยู่ด้านใน สีหน้าของหลิวหลีเปลี่ยนไปในทันที มารตนนี้ไม่ธรรมดา
“นังหนู หากเจ้าชนะข้า ข้าก็จะปล่อยเจ้าเด็กนี่ไป ไม่เช่นนั้นเขาจะเหลือกระดูกไหมข้าก็ไม่รู้ด้วยเหมือนกัน” คูมู่ขวางหลิวหลีไว้แล้วพูดขึ้น
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” สีหน้าของหลิวหลีไม่สู้ดีนัก การควบคุมเพลิงอัคคีของฝ่ายตรงข้ามไม่เป็นรองนาง
“ก็ไม่ทำอะไร เพียงแต่ว่าอยากจะลองเล่นกับนกในกรงอย่างเจ้าดูเท่านั้น จะได้แก้เบื่อนักพรตน่ารำคาญอย่างพวกเจ้าที่บอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะจนทำให้ข้าต้องเบื่อหน่าย” คูมู่มองหลิวหลีที่ดูเหมือนกำลังตกอยู่ในวงล้อมอสูร
“นกในกรง ยังไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ อยากเล่นหรือ งั้นข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้า อีกอย่างเจ้าจะต้องเข้าใจหน่อยว่า พื้นดินที่เจ้าเหยียบอยู่ตอนนี้เป็นถิ่นของนักพรต อยู่ในถิ่นของคนอื่นแล้วยังว่าเจ้าถิ่นอย่างนั้นอย่างนี้ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าผู้ครองโลกพูดอะไรก็ต้องเป็นไปตามนั้นหรืออย่างไร”
“ฝีปากไม่เบานี่”
“เจ้าชอบเล่นไฟไม่ใช่หรือ ข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้า ข้าชำนาญเรื่องเล่นไฟที่สุดแล้ว ถึงแม้เพลิงอัคคีของเจ้าจะอยู่ใน 10 อันดับแรกของการจัดอันดับ แต่ว่าข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าใช้เพลิงอัคคี 5 ชนิดแล้วจะชนะเพลิงอัคคีชนิดเดียวของเจ้าไม่ได้” เมื่อหลิวหลีพูดจบ เพลิงอัคคี 5 สีก็ปรากฏขึ้นรอบตัว
“เพลิงบุปผาเหมันต์ เพลิงอัสนีคราม เพลิงวิญญาณไม้ เพลิงสุวรรณพราง เพลิงหทัยสมุทร 5 ชนิด พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าอยู่ในช่วงแยกจิต เพลิงอัคคี เจ้าบำเพ็ญฝึกฝนคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ เจ้าคือหลิวหลีจากสกุลหลงสินะ” คูมู่เดาตัวตนของหลิวหลีได้ เขารู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก ทำไมถึงเป็นคนผู้นี้ไปได้ ถ้าอย่างนั้นคนที่ถูกตัวเขาใช้กำแพงเพลิงขังไว้อยู่ก็คงไม่ต้องพูดถึง ต้องเป็นเวิ่นเทียนบ้านสกุลหนานกงสินะ ทั้งสองสกุลนี้ไม่ได้รับมือได้ง่ายๆ โดยเฉพาะนังหนูที่ชอบเล่นไฟคนนี้ มีทั้งสกุลหลงกับสกุลจ้านหนุนหลังอยู่ อีกทั้งยังมีสำนักเมฆาคล้อย แววตาของคูมู่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาจะหาเรื่องให้กับนายท่านไม่ได้
“นังหนู ข้าจะปล่อยเจ้ากับคนของเจ้าไป จะทำเป็นว่าเจ้าไม่เคยมาที่นี่” คูมู่เก็บเพลิงอัคคีกลับไป
“ทำไมล่ะ เจ้าคิดว่าจะทำอะไรข้าก็ได้ เจ้าว่าอย่างไรก็ต้องเป็นตามนั้นงั้นหรือ ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้วันนี้ข้าจะจัดการเจ้าให้ถึงที่สุด” หลิวหลีเดาออกว่าคงเป็นเพราะรู้ตัวตนของตน หากเขาว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น หลงหลิวหลีอย่างนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“นังหนู ไม้อ่อนไม่ชอบชอบไม้แข็ง นึกว่าอำนาจที่บ้านของเจ้าจะทำให้ข้ากลัวได้หรือ ข้าแค่ให้เกียรติบรรพบุรุษของเจ้าเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็รอไปพูดกับบรรพบุรุษของข้าก็แล้วกัน บรรพบุรุษของข้ายังมีป้ายชื่อให้กราบไหว้ แล้วเจ้าล่ะ แม้แต่เถ้ากระดูกก็ไม่เหลือ ใครจะไปจดจำเจ้าได้” ยามหลิวหลีพูดยอกย้อนนางก็ไม่ไว้หน้าใครเช่นกัน
สิ้นสุดเสียงหลิวหลี เพลิงอัคคี 5 ดวงก็ปรากฏขึ้น คูมู่รีบเรียกกำแพงเพลิงขึ้นมาทันที ในเมื่อไม่รักชีวิตถึงเพียงนี้ สกุลหลงก็อย่าโทษที่เขาทำให้ผู้ถูกเลือกของพวกเขาต้องหายไปแล้วกัน
ท่าทีของคูมู่ดูโหดร้ายมากขึ้น ทว่าคูมู่ก็อดที่จะชื่นชมหลิวหลีไม่ได้ ความเร็วฝีเท้าของนังหนูรวดเร็ว การเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว แต่ว่าแล้วจะอย่างไรล่ะ
หนานกงเวิ่นเทียนที่ถูกขังอยู่ในกำแพงเพลิงรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่านังหนูที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง ตนจะต้องรีบออกไปโดยเร็ว
“หลงหลิวหลี ข้าอดนับถือในตัวเจ้าไม่ได้ เจ้าถือเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นในบรรดาคนรุ่นใหม่ น่าเสียดายที่ยังอ่อนประสบการณ์นัก” คูมู่กับหลิวหลีสู้กันอยู่ 10 วัน 10 คืน ทำให้เขาอดที่จะนับถือในตัวหลิวหลีไม่ได้ นังหนูมีพลังเซียนค่อนข้างมาก นางกับเขาสู้กันอย่างไม่มีใครเป็นรองใครเลย
“คลื่นลูกเก่าอย่างเจ้าก็เตรียมไปพักอยู่ที่หาดทรายแล้วกัน” ถึงแม้หลิวหลีจะมีพลังเซียนอยู่มาก แต่ว่าก็ไม่สามารถเทียบกับผู้บำเพ็ญที่บำเพ็ญมานานแล้วได้ ทั้งหมดนี้เพราะพึ่งพามิติเท่านั้น ตอนนี้หลิวหลีเพิ่งจะเข้าใจประโยชน์ของสระน้ำวิญญาณเพราะมันไม่ใช่แค่เอาแต่สูบหินวิญญาณเท่านั้น นางแกล้งทำเป็นหยิบยาศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากแขนเสื้อ แต่จริงๆแล้วดื่มน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ พลังเซียนภายในร่างกายของหลิวหลีฟื้นกลับมา 3 ส่วน เมื่อทำเช่นนี้ก็จะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่หลิวหลีสูบพลังเซียนจากมิติมากเกินไปจนทำให้มิติจะต้องพังลงได้
“ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะปากแข็งไปถึงเมื่อไร” คูมู่เห็นหลิวหลีกลืนยาศักดิ์สิทธิ์ก็รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก ได้ยินมาว่า มาตรฐานในการปรุงยาของนังหนูคนนี้ค่อนข้างสูง นอกจากยาศักดิ์สิทธิ์คุณภาพชั้นเลิศ ของที่เหลือต่างก็ถือว่าเป็นยาเสีย อีกอย่างอัตราสำเร็จในการปรุงยาก็สูงมาก เขาได้ยินมาไม่น้อยว่านังหนูคนนี้มักจะไม่พกหินวิญญาณติดตัว แต่จะใช้ยาศักดิ์สิทธิ์จ่ายเงินแทน เขาไม่มียาศักดิ์สิทธิ์มากมายเอามาใช้ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ได้
คูมู่เริ่มสู้กับหลิวหลีอีกครั้ง พลันพบว่าพลังเซียนในตัวของนังหนูยังมีอยู่ไม่น้อย แววตาคูมู่ดุดันขึ้น เสียดายที่ตัวเองไม่ใช่คูขุย ไม่เช่นนั้นจะทำให้นังหนูกลายเป็นหุ่นเชิดไว้ใช้ทำยาศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเขาโดยเฉพาะ
หลิวหลีเดาว่าคูมู่ก็ใกล้จะไม่ไหวแล้วจึงพยายามต่ออีกสักหน่อย นางจะต้องกำจัดมารตนนี้แล้วแย่งเพลิงดาราทมิฬมาให้ได้
หลิวหลีตัดสินใจจะลองเสี่ยง หลิวหลีแค่เบี่ยงหลบการจู่โจมของคูมู่เท่านั้น คูมู่เข้าใจผิดนึกว่าพลังเซียนของหลิวหลีไม่เพียงพอจึงเพิ่มพลังโจมตี ในขณะที่หลิวหลีหลบการโจมตีก็แอบรวมพลังเพลิงอัคคีไปด้วย โดยใช้เพลิงวิญญาณไม้เริ่มต้นแล้วหลอมเอาเพลิงอัคคีทั้งห้าเข้าด้วยกัน ในระหว่างนั้นหลิวหลีเองก็ถูกเพลิงดาราทมิฬโจมตีเข้า หลิวหลีกัดฟัน เจ็บปวดไม่น้อย
“หึ นังหนู ไม่ไหวแล้วใช่ไหมล่ะ บอกแล้วเจ้ายังอ่อนประสบการณ์” คูมู่นึกว่าในที่สุดหลิวหลีก็หมดแรงจึงอดที่จะดีใจไม่ได้
“หึ ไม่รู้ว่าเจ้าโง่หรือแกล้งโง่กันแน่ ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นคนสกุลหลง ไม่เอะใจเลยหรือว่าคู่พันธสัญญาของข้าไปไหน”
คำพูดของหลิวหลีทำให้คูมู่ตกใจ โมโหนังหนูคนนี้จนลืมไปเลยว่าเด็กสองคนนี้เป็นคู่พันธสัญญาของอสูรเทพ
“ทำไม ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นใครก็น่าจะรู้ว่าคู่พันธสัญญาของข้าเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นไร”
คูมู่ถึงกับเหงื่อตก นังหนูคนนี้ทำพันธสัญญากับเอ๋าเลี่ย มังกรโลหิตเทพแห่งสงครามของเผ่ามังกร
“ไปตายเสียเถอะ” ตอนนี้แหละ หลิวหลีอาศัยจังหวะที่คูมู่ตกใจอยู่ นำเพลิงอัคคีทั้งห้าที่หลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นลูกกลมโยนออกไปแล้วปลิดชีวิตคูมู่ทันที และมองร่างกายของคูมู่ระเบิดกลายเป็นผุยผง แต่นางก็ยังไม่วางใจ กำแพงเพลิงบนตัวของเสี่ยวเทียนยังไม่ดับไป พลังเซียนภายในร่างกายของหลิวหลีเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วน มองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง
ทันใดนั้น หลิวหลีก็เห็นเพลิงดาราทมิฬโผล่ออกมาจากข้างกายของหนานกงเวิ่นเทียน หลิวหลีตกใจเมื่อแสงสีดำไหลเข้าไปในธารประสาทสัมผัสของนาง
“ฮ่าๆ นังหนู เจ้าได้ใจนักไม่ใช่หรือ รอข้าแย่งร่างของเจ้ามาได้ ข้าจะดูแลมังกรคู่พันธสัญญาของเจ้าแทนเจ้าให้เป็นอย่างดี ฮ่าๆ” คูมู่เข้าไปอยู่ในประสาทรับรู้ของหลิวหลี
หลิวหลีรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่าง เพราะสิ่งที่นางเจอตอนอายุประมาณ 10 กว่าขวบ ทำให้นางรู้สึกเกลียดชังคนที่แย่งร่างของผู้อื่น ตอนนี้กลับมีคนจะมาแย่งร่างของนางอีก เพลิงดาราทมิฬกระจายตัวทั่วทุกพื้นที่ ค่อยๆแผ่กระจายไปอยู่ภายในประสาทรับรู้ของหลิวหลี ดวงจิตนักพรตกับเพลิงอัคคีทั้งห้าสีของหลิวหลีถอยตัวลงไป
“ได้ใจนักใช่ไหม เจ้ารู้หรือไม่ว่าประสาทเซียนของข้าได้รับการฝึกฝนมาก่อน อย่ามองว่าพลังบำเพ็ญเพียรของข้าเพิ่งจะอยู่ในช่วงแยกจิตเลย ประสาทรับรู้กลับอยู่สูงกว่านั้นไปอีกหนึ่งขั้น เชื่อว่าประสาทเซียนของเจ้าจะต้องเป็นของบำรุงชั้นดีแน่ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะขอเก็บไว้อย่างไม่เกรงใจเลยแล้วกัน”
ดวงจิตในประสาทเซียนของหลิวหลีเปล่งแสงสีแดง แสงสีดำค่อย ๆถอยลงไปอย่างต่อเนื่อง และบีบคั้นจนมันต้องกลายเป็นลูกกลมสีดำอีกครั้ง นางไม่รอช้ารีบหลอมเพลิงอัคคีทั้งหมดที่มีเป็นกรงเพื่อขังลูกกลมนั้นไว้ คูมู่รู้ว่าตัวเองหนีไปไหนไม่ได้แล้วจึงนำกำแพงเพลิงที่ล้อมหนานกงเวิ่นเทียนอยู่มาขังหลิวหลีแทน
“ฮ่า ๆหลงหลิวหลี ถึงแม้ว่าข้าจะตายไป ข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าได้อยู่อย่างสงบสุขหรอก” คูมู่พูดจบก็ไม่มีเสียงอีกต่อไป
ทั้งตัวของหลิวหลีถูกเพลิงดาราทมิฬแผดเผา โม่หรานที่อยู่ในมิติเกือบจะถูกเอ๋าเลี่ยบีบคอตาย แต่ว่าโม่หรานยังไม่สมบูรณ์ทำได้แค่รับคำสั่งหลิวหลีเท่านั้น ทำอย่างอื่นไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูหลิวหลีกลายเป็นมนุษย์เพลิงสีดำ
“นังหนู” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นหลิวหลีกลายเป็นมนุษย์เพลิงต่อหน้าต่อตาแต่ก็เข้าไปหาไม่ได้
“อิงเสวี่ย เร็ว รีบช่วยหลิวหลี” หนานกงเวิ่นเทียนปล่อยเฟิ่งอิงเสวี่ยออกมา
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเพลิงดาราทมิฬถึงไปอยู่ที่นังหนูได้ ขอโทษทีนะเวิ่นเทียน ข้าทำอะไรไม่ได้” เฟิ่งอิงเสวี่ยพูดพลางส่ายหัว
“ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น” หนานกงเวิ่นเทียนมองไปที่มนุษย์เพลิง แล้วพึมพำกับตัวเอง
หลิวหลีเห็นตัวเองถูกคนที่กำลังจะสิ้นใจลอบทำร้าย ช่างทรมานมากเหลือเกิน แต่ในเมื่อข้าตัดสินใจจะพิชิตเพลิงดาราทมิฬ ข้าก็ไม่กลัว หลิวหลีกัดฟันพยายามปล่อยเพลิงดาราทมิฬเข้าร่าง แล้วฝืนลืมตาขึ้นมา
“เสี่ยวเทียน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
“นังหนู เป็นอย่างไรบ้าง” หนานกงเวิ่นเทียนกอดหลิวหลีไว้ โดยไม่สนว่าตัวเองกำลังถูกอุณหภูมิในตัวของหลิวหลีแผดเผา
“เสี่ยวเทียน มีเจ้าอยู่ช่างดีจริงๆ คูมู่ตายแล้ว ค่ายกลนี้อีกไม่นานจะพังทลายลงมา ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว” หลิวหลีสัมผัสได้ว่ารอบตัวเกิดเสียงราวกำลังจะถล่ม
“นังหนู ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ได้อย่างไร ข้าจะให้อิงเสวี่ยพาเจ้าออกไป”
“ไม่มีประโยชน์ ข้าจะเป็นตัวถ่วงของเจ้าเปล่าๆ” หลิวหลีส่ายหัวแล้วมองดูผิวหนังภายนอกของหนานกงเวิ่นเทียนที่ขึ้นเป็นตุ่มน้ำใสด้วยความปวดใจ
“เสี่ยวเทียน ปล่อยข้าเถอะ”
“ไม่ปล่อย นังหนูเจ้าจะต้องหายดี จะต้องหายดีแน่” น่าเจ็บใจนัก เขาต้องมาเห็นนังหนูบาดเจ็บอีกแล้ว
“อย่า เจ้าปล่อยข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าออกไปได้อย่างไร”
“หืม”
หนานกงเวิ่นเทียนมองดูบรรยากาศรอบตัวที่คุ้นเคย รู้สึกราวเป็นเพียงภาพมายา ความลับของหลิวหลีก็คือสิ่งนี้มิติพกพา นังหนูพาตัวเองเข้ามา หมายความว่าเชื่อใจตนแล้วหรือ ชวนให้ย้อนนึกถึงวินาทีสุดท้ายที่นางพาเขาหายตัวไป รวมไปถึงภาพที่ปรากฏตรงหน้านี้ดูไม่สมจริงอย่างยิ่ง
…………………………………………