ฉู่หลิวเยว่นำยาต่างๆ กลับมายังที่พักของตนเอง
หลังจากนำยาทั้งหมดออกจากถุงเฉียนคุนแล้วก็นำมาจัดวางตามลำดับ จากนั้นในขณะที่กำลังจะกลับไปหอโอสถสวรรค์เพื่อคืนถึงเฉียนคุนให้อาจารย์จั่วหรง นางก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวที่มาจากข้างนอก
นางเดินไปที่ประตู ทันทีที่เปิดประตูก็เห็นว่าอาจารย์จั่วหรงพาอาจารย์ท่านอื่นมาที่เรือนพัก
ทันทีที่อาจารย์จั่วหรงเห็นนางก็ยิ้มให้ทันที ก่อนจะเอ่ยว่า
“หลิวเยว่ อาจารย์เหล่านี้ก็เคยมาดูอาการของเลี่ยวจงซูเมื่อก่อนหน้านี้เช่นกัน ข้าก็เลยพาพวกเขามาดูเจ้าด้วย”
อาจารย์พวกนั้นลอบมองสำรวจฉู่หลิวเยว่เงียบๆ
จั่วหรงกล่าวว่าฉู่หลิวเยว่นั้นรู้ว่าเลี่ยวจงซูถูกพิษชนิดใด และรู้แม้กระทั่งวิธีควบคุมการลุกลามของพิษอีกด้วย พวกเขาทั้งแปลกใจทั้งสงสัย ดังนั้นพวกเขาจึงขอตามมาพร้อมกับจั่วหรง
แท้ที่จริงพวกเขาสงสัยมากกว่านั้นคือ…ฉู่หลิวเยว่ไม่เคยแม้กระทั่งฝึกฝนด่านหมอเทวดามาก่อน ที่สำคัญตอนที่นางสอบเข้าสำนัก ไฉนเคยบอกว่าพรสวรรค์ทางด้านนี้มีขีดจำกัด เหตุใดยามนี้ทำไมนางถึงได้ดูเก่งกาจยิ่งนัก
ฉู่หลิวเยว่รู้ไส้รู้พุงดี ที่พวกเขามาที่นี่ไม่ได้มาหานางธรรมดา แต่พวกเขามาดูนางปรุงยาพวกนี้ต่างหาก
นางเองก็ไม่ได้หมกเม็ด เมื่อทำความเคารพพวกอาจารย์ที่มาแล้ว นางก็เชิญพวกเขาเข้าไปในห้อง
“อาจารย์จั่วหรง ท่านมาได้ประจวบเหมาะพอดี เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งนำยาออกจากถุงเฉียนคุน ข้าขอคืนให้ท่านเลยก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่พูดพร้อมกับส่งถุงเฉียนคุนคืนให้จั่วหรง
จั่วหรงรับไว้พร้อมกับหัวเราะเหอะๆ
“เจ้าคล่องแคล่วจริงๆ ต่อไปถ้าหากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก เจ้าแค่เอ่ยปากมาก็พอ!”
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากยิ้มบางๆ
“เช่นนั้นหลิวเยว่ก็ต้องขอบคุณท่านล่วงหน้าแล้วเจ้าค่ะ”
บทสนทนาระหว่างทั้งสอง ทำให้อาจารย์อีกหลายท่านแอบตกใจเหมือนกัน
ปกติจั่วหรงหวงแหนถุงเฉียนคุนจะตายไป แม้พวกเขาอยากยืมก็ไม่เคยให้ยืมสักครั้ง แต่ตอนนี้กลับใจดีกับฉู่หลิวเยว่มากขนาดนี้เลยเชียว!
“นั่นคือยาที่เจ้าเอามาจากหอโอสถสวรรค์ทั้งนั้นเลยหรือ”
อาจารย์ท่านหนึ่งชี้ไปที่กล่องที่กองอยู่ภายในห้องพร้อมกับเอ่ยถาม
“นี่มันไม่เยอะไปหน่อยหรือ”
ฉู่หลิงเยว่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า
“อาจารย์เสวียนชางวางใจเถิดเจ้าค่ะ ฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่ายาพวกนี้ไม่ได้มาง่ายๆ ศิษย์จะใช้อย่างระมัดระวังจะมิให้สิ้นเปลืองสักนิดเลยเจ้าค่ะ”
เสวียนชางมองนางด้วยความสงสัย
“ใช้อย่างระมัดระวังอย่างนั้นรึ ยามากมายถึงเพียงนี้ เจ้าจะปรุงยาเพียงผู้เดียวได้อย่างไร พูดแบบนี้ เกรงว่าคงจะดูโอ้อวดไปหน่อยกระมัง”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก
“เอาล่ะๆ เสวียนชาง แม้กระทั่งเลี่ยงจงซูถูกวางยาพิษตอนไหนเจ้าก็ยังไม่รู้เลย เจ้าจะพูดให้มากความไปเพื่อการใด!”
วาจาของจั่วหรงทำให้เสวียนชางจุกจนพูดไม่ออก
เขาสบถเสียงต่ำ
“ได้! เช่นนั้นเจ้าก็ว่ามาสิ!”
อาจารย์ท่านอื่นที่เหลือหูผึ่งขึ้นมาทันที
ฉู่หลิวเยว่ใช้ความคิดเล็กน้อย
“อันที่จริงพิษชนิดนี้ข้าก็ไม่ค่อยสันทัดนักเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้าแค่เคยเห็นเท่านั้นเอง…”
แน่นอนว่านางมิสามารถเผยตัวตนออกไปทั้งหมด นางจึงอธิบายสั้นๆ โดยใช้น้ำเสียงที่ฟังดูมึนงง
พวกจั่วหรงยังอยากถามรายละเอียดให้แน่ชัดกว่านี้ แต่พวกเขากลับพบว่าดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะมิได้เข้าใจไปเสียทุกเรื่อง ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงถอดใจ
“พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้าก็ไม่ได้มั่นใจว่ายานี้จะได้ผลทั้งหมดใช่หรือไม่ เจ้าเอาชีวิตของเลี่ยวจงซูมาล้อเล่นหรือ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น…”
เสวียนชางนิ่งเงียบไปครู่หนี่ง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากว่า
“ยังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้อีก คนอื่นไม่รู้ เจ้ายังไม่เข้าใจอาการของเลี่ยวจงซูในตอนนี้อีกหรือ ถ้าหากยังยืดเยื้อไปอีกหลายวัน เขาก็จะไม่รอด! ยังจะมาล้อเล่นอะไรได้อีก”
จั่วหรงพูดแทรกเสวียนชางอย่างหมดความอดทน พร้อมกับผายมือไปทางฉู่หลิวเยว่
“เจ้านี่มันช่างดื้อรั้นหัวแข็งจริงๆ! ฉู่หลิวเยว่ เจ้าไม่ต้องไปสนใจเขา ทำในสิ่งที่เจ้าอยากทำต่อไปเถิด!”
เสวียนชางหุบปากด้วยความขุ่นเคือง
ฉู่หลิวเยว่ลอบถอนหายใจเบาๆ
เดิมทีนางอยากจะปรุงยาให้เลี่ยวจงซูอย่างเงียบสงบ แต่คิดไม่ถึงว่าจั่วหรงจะสนใจเรื่องนี้มากขนาดนี้
เมื่อเห็นท่าทางพวกเขาเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตั้งใจมาดูว่านางจะปรุงยาอย่างไร
ด้วยนิสัยของฉู่หลิวเยว่ นางจึงไม่สนใจพวกเขาอีก จากนั้นนางก็เดินไปหยิบยาออกมา แล้วเริ่มเตรียมการเป็นอย่างๆ
…
ณ ห้องทรงพระอักษร พระราชวัง
หรงซิวที่สวมเสื้อคลุมสีดำ เขายืนอยู่ข้างนอกประตูอย่างเงียบๆ
ร่างสูงโปร่งยืนตระหง่านเป็นสง่าอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนจะทำให้ทัศนียภาพรอบข้างนั้นดูหมองไปถนัดตา
สายตาของนางกำนัลในวังที่ยืนอยู่ไกลๆ ฉายแววอิจฉา
“หลีอ๋องเกิดมารูปงามหล่อเหลาจริงๆ ความงดงามโดดเด่นของร่างกายเช่นนี้ ข้าว่าในเมืองหลวงนี้มิมีผู้ใดเทียบเทียมได้!”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร ครั้นเมื่องานวันเกิดรัชทายาท ทันทีที่หลีอ๋องทรงเผยโฉม ไม่รู้ว่าทำให้หญิงสาวตกหลุมรักไปตั้งเท่าไหร่ แต่ทว่าน่าเสียดายที่พระองค์ทรงไม่แข็งแรง ทั้งยังเข้าวังนับครั้งได้ พวกเราเจอหน้าสักครั้งยังเป็นเรื่องยาก!”
“ไม่รู้จริงๆ ว่าหญิงสาวสูงศักดิ์ท่านใดจะโชคดี ได้อภิเษกกับหลีอ๋องกันนะ…”
“เฮ้อ น่าเสียดายที่หลีอ๋องมีพระวรกายอ่อนแอ แล้วก็ไม่มีอำนาจใดๆ คงเป็นได้เพียงองค์ชายเจ้าสำราญเท่านั้น ไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่งอะไร
“ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร การที่ได้เห็นใบหน้ารูปงามนั่นทุกวัน ก็นับว่าเป็นบุญวาสนาแล้ว ยังจะกล้าขออะไรไปมากกว่านี้อีก เมื่อก่อนองค์ชายรัชทายาททรงมีอำนาจท่วมฟ้า แล้วตอนนี้พระองค์ก็…”
“ชู่ว เจ้ากล้าพูดเรื่องนี้หรือ อยากตายหรือไร!”
ปัง!
ทันใดนั้นก็มีเสียงของบางอย่างแตกหักดังมาจากห้องทรงอักษร
เหล่านางกำนัลในวังที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดตื่นตระหนกและกระจัดกระจายไปในทันที
หรงซิวช้อนสายตาขึ้นมาเล็กน้อย ภายในดวงตาเรียวดุจหงส์คู่นั้นมองไม่เห็นถึงคลื่นความรู้สึกใดๆ
มีคนผู้หนึ่งถอยออกมาจากห้องทรงอักษรของผู้เป็นเจ้าครองแคว้น
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะๆ! กระหม่อมจะถอยไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ที่มีท่าทางน่าสมเพชผู้นี้คือฉู่เซียว ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลฉู่นั่นเอง
เขาเช็ดเหงื่อเย็นชื้นออกจากหน้าผาก และทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาดูมอมแมมไปหมด
ตอนแรกเขาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อขอร้องแทนองค์ชายรัชทายาท แต่คิดไม่ถึงว่า เพียงแค่เอ่ยชื่อรัชทายาท ฝ่าบาทจะทรงกริ้วแล้วไล่เขาออกมาทันที!
ตัวเองหลับหูหลับตาเสนอหน้ามาเช่นนี้ ช่างโง่เขลาจริง!
ฉู่เซียวผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนัก
หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ จึงทำให้จิตใจของเขาเริ่มสับสนว้าวุ่น!
กระทำบุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ กลับยิ่งทำให้สถานการณ์ของตนเองกับองค์ชายรัชทายาทยิ่งวิกฤตมากขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นขันทีหมิ่นกงกงก็เดินออกมาด้วยเช่นกัน แล้วเขาก็เหลือบมองฉู่เซียวแวบหนึ่ง
“ใต้เท้าฉู่เซียว ช่วงนี้ท่านอย่าเพิ่งเข้าวังสักพักก่อนจะดีกว่า”
ฉู่เซียวลังเล แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงตอบตกลง
“ขอบใจหมิ่นกงกงมาก”
ขันทีหมิ่นแอบเหยียดหยามในใจ
ฉู่เซียวอายุปูนนี้แล้ว สติจึงเลอะเลือน
ตอนนี้ฉู่หนิงเป็นที่นับหน้าถือตา จึงสร้างความไม่พอใจให้กับคนในตระกูลฉู่เป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็ยังรั้นเข้ามาขอร้องเพื่อองค์รัชทายาทในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้อีก เขาไม่กลัวว่าจะลากทั้งตระกูลฉู่ลงน้ำไปด้วยจริงๆ เลย!
ขันทีหมิ่นขี้เกียจจะสนใจเขาอีก เขาจึงเงยหน้ามองไปทางหรงซิวที่ยืนอยู่ไม่ไหลนัก ทันใดนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเจือรอยยิ้ม ก่อนจะก้าวเข้าไปหา
“หลีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ พระองค์เสด็จมาแล้ว ไม่กี่วันมานี้ฝ่าบาททรงบ่นคิดถึงพระองค์อยู่พอดีพ่ะย่ะค่ะ!”
หรงซิวยิ้มมุมปากให้เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
“ไม่กี่วันก่อนข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก นี่ก็เพิ่งจะฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง ข้าก็เลยรีบมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
“พระองค์รีบเสด็จเถิด…”
ฝ่าบาทกำลังทรงกริ้ว หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปเขาคงไม่กล้าเชิญเข้าไปในตอนนี้ แต่หลีอ๋องท่านนี้กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง
เมื่อฉู่เซียวได้ยินดังนั้น เขาก็อดเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้เพื่อมองหน้าหลีอ๋องผู้ที่เผยโฉมนับครั้งได้
หรงซิวชำเลืองมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งและพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนที่ขาเรียวยาวของเขาจะก้าวเข้าไปในห้องทรงอักษร
ทันทีที่หรงซิวเดินเข้าไปในห้อง เขาก็เห็นถ้วยชาที่แตกกระจายอยู่บนพื้น
สีหน้าของจยาเหวินตี้ยังคงมีอารมณ์โกรธเกรี้ยวหลงเหลืออยู่บ้าง
หรงซิวกล่าวด้วยรอยยิ้มเจือจางว่า
“เสด็จพ่อ มีเรื่องอันใดที่ทำให้ทรงกริ้วถึงเพียงนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าไปพูดถึงเลย”
เมื่อจยาเหวินตี้เห็นเขา สีหน้าจึงอ่อนโยนขึ้นมามาก
“ร่างกายของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่เป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ ลูกดีขึ้นมากแล้ว ช่วงนี้ออกมาเดินเล่นข้างนอกได้บ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จยาเหวินตี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ทันใดนั้นก็ยังกลับมาขมวดคิ้วมุ่นอยู่ดี
“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่ใช่การดีสักเท่าไหร่…รอมีโอกาสเมื่อไหร่ พ่อจะต้องหาหมอเทวดาที่มีความสามารถสักคนมาดูอาการให้เจ้าอย่างแน่นอน!”
หรงซิวยิ้มอ่อนโยนราวกับเทพบุตร
“ลูกเกิดมาก็มีร่างกายเป็นเช่นนี้แล้ว ลูกชินแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อไม่ต้องเป็นห่วง”
“จะไม่ให้เจิ้นไม่ห่วงได้อย่างไร เจ้าเป็น…เจ้าไม่มีมารดาดูแลตั้งแต่เล็ก ต่อมาก็ต้องร้างไกลจากเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก ไปอยู่เขาหมิงเยว่เทียนลำพังเพียงผู้เดียว หลายปีมานี้ พ่อติดค้างเจ้ามากมายเหลือเกิน”
หรงซิวก้มหน้าหลุบตาต่ำ
“เสด็จพ่อตรัสเกินไปแล้ว ลูกเข้าใจความหวังดีของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
จยาเหวินตี้พิศมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ
“เจ้าเป็นลูกกตัญญูมาโดยตลอด ไม่เหมือนพวกที่น่าโมโหพวกนั้น…ช่างเถิด เจ้าไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ เจิ้นก็จะไม่พูดให้มากความ วันนี้ที่เรียกเจ้ามาเพราะอยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้ากลับมาเมืองหลวงได้สักระยะหนึ่งแล้ว เจ้าชอบพอสตรีลูกหลานตระกูลใดบ้างหรือไม่”
หรงซิวชะงักไปชั่วขณะ
“เสด็จพ่อ หมายความว่า…”
จยาเหวินตี้ทรงพระสรวล
“ตอนนี้เจ้าก็ได้แต่งตั้งเป็นท่านอ๋องแล้ว แต่กลับยังไร้สตรีข้างกาย ก่อนสร้างฐานะ แน่นอนว่าต้องสร้างครอบครัวเสียก่อนถึงจะสร้างฐานะได้ เจิ้นให้ขุนนางไปเตรียมภาพวาดหญิงงามสูงศักดิ์ที่มีอายุเหมาะสมที่จะออกเรือนมากมายมาให้แล้ว เจ้าเลือกมาสักคนแล้วเลือกฤกษ์วันอภิเษกซะ”