บทที่ 146 แม่น้ำขาว (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 146 แม่น้ำขาว (2)
ประสาทสัมผัสของลู่เซิ่งเหนือกว่าคนธรรมดา ได้ยินคำพูดขององครักษ์ใกล้ชิดผู้นั้น หญิงสาวนางนี้เป็นบุตรีของไป๋เจิ้นหมิง

เขาอดเหลือบมองหญิงสาวนางนี้ไม่ได้ การเหลือบมองนี้ทำให้ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แตกต่างจากคนอื่นๆ บนตัวหญิงสาว

ความรู้สึกสดใส ธรรมดา แตกต่างจากคนอื่นๆ

เอ๋…

ลู่เซิ่งหยีตาเล็กน้อย จดจำสตรีนางนี้โดยไม่แสดงท่าทาง สายตากลับมาอยู่ที่การเปรียบวรยุทธ์ใหม่

การต่อสู้ดำเนินอยู่สองชั่วยามกว่าๆ หลังการต่อสู้หลายครั้ง พรรควาฬแดงจบการแลกเปลี่ยนวรยุทธ์ครั้งนี้ด้วยผลชนะสามแพ้หนึ่ง รอการเปรียบวรยุทธ์ครั้งหน้า ต้องดูพรุ่งนี้

ฟ้ามืดแล้ว ไป๋เจิ้นหมิงมีสีหน้าบูดบึ้งอยู่บ้าง แต่ยังคงรักษาบุคลิก บอกลาลู่เซิ่ง แยกตัวไปจากโถงอินทรีผยอง

ลู่เซิ่งนำคนออกจากโถงใหญ่ ตอนทะลุระเบียงเสากลมด้านนอกหน่วยหลักพรรคแม่น้ำขาว หญิงสาวแต่งชุดล่าสัตว์สวมกระโปรงขาวคนก่อนก็กำลังถือแส้ม้าเดินมาทางเขาพอดี

“แม่นางน้อยหน้าตาน่ารัก” ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า ฉีกยิ้ม

สวีชุยที่อยู่ด้านข้างมองหญิงสาวนางนั้นอย่างสงสัย เขาไม่ทราบว่าทำไมประมุขพรรคจึงสนใจสตรีนางนี้

“นี่คือคุณหนูไป๋ชิวหลิงบุตรีของประมุขพรรค” เขาลดเสียงกล่าว

ยามนี้ไป๋ชิวหลิงเห็นพวกลู่เซิ่งเช่นกัน งอเข่าคารวะทุกคน แล้วหลบไปยืนอยู่ด้านข้าง รอให้พวกลู่เซิ่งไปก่อน

อย่างไรลู่เซิ่งก็มีศักดิ์ฐานะระดับเดียวกับบิดานาง ตำแหน่งสถานะไม่ใช่สิ่งที่เด็กน้อยอย่างนางจะเทียบเคียงได้

หนำซ้ำพรรควาฬแดงยังเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ พูดถึงบารมีและขนาดอาณาเขตที่ปกครอง ยังแกร่งกว่าพรรคแม่น้ำขาวมาก

แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจอยู่บ้างก็คือ ตอนลู่เซิ่งกำลังนำคนผ่านด้านหน้าของนางไป กลับไม่ทราบหยุดลงด้วยเหตุใด

“เจ้าคือไป๋ชิวหลิงบุตรีของพี่ไป๋กระมัง” เสียงบุรุษทุ้มต่ำ ชวนให้คนนึกถึงความเข้มแข็งมีพลัง ดังมาจากด้านหน้า

ไป๋ชิวหลิงงงงัน รีบเงยหน้าขึ้น ประมุขพรรควาฬแดงลู่เซิ่งที่ผ่านไปก่อนหยุดอยู่ข้างหน้าตน พิจารณาตนด้วยความสนอกสนใจ

สายตานั้น…

นางอดตัวสั่นไม่ได้ เหมือนกับเห็นสิ่งของที่น่าสนใจอยู่บ้าง ความเกรี้ยวกราดที่ซุกซ่อนไว้ในส่วนลึก กับความรู้สึกที่ไม่อาจปฏิเสธ เหมือนกับผู้ล่าระดับสูงสุดจับจ้องตัวหนอนที่อ่อนแอ

กลิ่นอายดุร้ายที่แตกต่างกับบิดาโดยสิ้นเชิงครอบคลุมไป๋ชิวหลิง ทำให้นางที่เดิมขี้ขลาดอยู่บ้างอดถอยหลังก้าวหนึ่งไม่ได้ หน้างามซีดขาวเล็กน้อย

“เจ้าค่ะ ชิวหลิงคำนับท่านอาลู่” เพราะการอบรมบ่มนิสัยที่เคร่งครัด นางอดกลั้นความอึดอัด ทักทายลู่เซิ่งอย่างมีมารยาทเบาๆ

ลู่เซิ่งพินิจพิจารณานาง ความรู้สึกบอกเขาว่า หญิงสาวนางนี้แตกต่างกับคนอื่นๆ แต่สุดท้ายแตกต่างตรงไหน เขาก็บอกไม่ได้

“เจ้าไม่เลวยิ่ง…” เขาพิจารณาเล็กน้อย “ถ้าเจอปัญหา มาหาข้าได้”

นับตั้งแต่มาถึงเมืองอินทรีคู่ แต่ละวันเขารู้สึกได้ว่า บรรยากาศของที่นี่แปลกประหลาดและอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ บนตัวหญิงสาวในเมื่อมีสิ่งที่ไม่ธรรมดาซึ่งทำให้เขารู้สึกแตกต่าง ผูกมิตรไว้ก่อนก็ไม่เลว

“เอ่อ… ขอบคุณ ขอบคุณท่านอาลู่” ไป๋ชิวหลิงตะลึงงัน เกือบไม่ได้ตอบ ไม่เข้าใจเจตนาดีของลู่เซิ่ง แต่เจตนาดีก็ยังดีกว่าเจตนาร้าย ดังนั้นจึงรีบขอบคุณ

เพียงแต่นางสงสัยอยู่บ้างว่า ตนเป็นคุณหนูของพรรคแม่น้ำขาว เจอปัญหาย่อมให้บิดาจัดการ ไม่น่าจะมีปัญญาแล้วไปหาท่านผู้นี้

แต่ด้วยมารยาท นางยังคงขอบคุณลู่เซิ่งอย่างจริงจัง

ลู่เซิ่งยิ้มให้นางอย่างเป็นมิตร พายอดฝีมือจากไปช้าๆ

ไป๋ชิวหลิงยืนบนระเบียง พิงกับเสากลมใหญ่โต มองตามลู่เซิ่งจนจากไป รู้สึกเคลือบแคลงสงสัย

ปัญหาอะไร นอกจากคนชุดดำสองคนที่ท่านพ่อไปพบอย่างลับๆ ล่อๆ เมื่อหลายวันก่อนแปลกประหลาดไปบ้าง ช่วงนี้ก็ไม่มีเรื่องใดที่ควรค่าแก่การให้ความสนใจ นางจะเจอปัญหาอะไรในเมืองอินทรีคู่

ไป๋ชิวหลิงใคร่ครวญ ยังคงไม่มีเงื่อนงำ จึงละความสนใจ นางมีคำถามด้านวิทยายุทธ์ข้อหนึ่งกำลังไปให้ท่านพ่อตอบพอดี

นางออกจากระเบียง นั่งบนเกี้ยวไป กำลังไปยังห้องหนังสือของบิดา

“คุณหนูใหญ่ คนที่บอกว่าตัวเองเป็นสหายของท่านมาอีกแล้ว” องรักษ์ข้างกายมารายงานเบาๆ อีกครั้ง

‘หือ ไม่ใช่ให้เขาไปแล้วหรือ อายุน้อยเท่านี้ก็ออกมาหลอกลวงคน เหตุใดไม่หางานหาการดีๆ ทำ” ไป๋ชิวหลิงเอ่ยอย่างจนใจ ความเมตตาของนางเป็นที่เลื่องลือในเมืองอินทรีคู่

เห็นแมวหมาใกล้ตายข้างทาง ก็อดเข้าไปช่วยไม่ได้ ยิ่งอย่าว่าแต่คน

คนในเมืองที่เคยรับบุญคุณของนางมีไม่ต่ำกว่าพันคน แม้แต่ไป๋เจิ้นหมิงบิดาของนาง ชื่อเสียงก็สู้นางไม่ได้

“เขาบอกว่าไม่ต้องการเงินของท่าน ขอแค่คุยกับท่านตามลำพังสองสามคำก็พอ” องครักษ์ข้างกายกล่าวอย่างระอา

“คุยกับข้าตามลำพังสองสามคำ” ไป๋ชิวหลิงนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมเสื้อผ้าซอมซ่อ ตอนมาขอทานข้างทางระหว่างที่นางออกบ้าน นางเห็นเขาน่าเวทนา จึงให้เงินเขาเล็กน้อย คิดไม่ถึงกลับถูกคนผู้นี้ตามตื๊อ

“คนผู้นี้ต้องการอะไรกันแน่” ไป๋ชิวหลิงจนใจ “หรือเห็นข้าข่มเหงได้ง่าย”

“ให้ข้าน้อยสั่งสอนเขาสักรอบดีหรือไม่” องครักษ์กล่าวเบาๆ

ไป๋ชิวหลิงลังเล เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่สมควรโดนแบบนี้ “ช่างเถอะๆ ไม่ต้องสนใจเขา ข้าจะไปห้องหนังสือของบิดา ฟ้ามืดแล้ว กลางคืนต้องแช่โอสถ ท่านบอกเขาว่าถ้าอยากเจอข้าจริงๆ พรุ่งนี้ให้มาเช้าหน่อย วันนี้ยุ่งมากจริงๆ”

“คุณหนูมักใจดีเช่นนี้ คนอื่นจะเข้าใจผิดว่าท่านรังแกได้” องครักษ์กล่าวพลางยิ้มหนักใจ

“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่ายังมีท่านกับท่านพ่อหรือ” ไป๋ชิวหลิงยิ้มหยอกล้อ

องครักษ์ผู้นี้เห็นนางตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ถึงขั้นที่นอกจากบิดามารดาแล้ว เขาเป็นคนที่นางสนิทที่สุด ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเหมือนพี่น้อง ไม่ต้องระวังคำพูดมากมาย

เมื่อได้รับคำตอบของไป๋ชิวหลิง องครักษ์ก็สั่งให้พลพรรคด้านข้างคนหนึ่งไปยังประตูด้านข้างของหน่วยหลักโดยเฉพาะ

นอกประตูด้านข้าง หลี่ซุ่นซีนั่งรอข่าวอย่างเงียบๆ อยู่ข้างกำแพง พอเห็นพลพรรคออกประตูมุ่งตรงมาหา เขาก็รีบร้อนลุกขึ้น

“เป็นอย่างไร คุณหนูไป๋ชิวหลิงจะเจอข้าแล้วหรือ”

“คุณหนูใหญ่ตอนนี้ไม่มีเวลา ท่านไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ข้าว่าท่านก็ไม่เหมือนคนเลว สมควรทราบว่า แม้คุณหนูใหญ่จะเป็นกันเอง แต่ไม่ใช่อยากเจอก็จะเจอได้” พลพรรคพอจะดูออกว่าหลี่ซุ่นซีมีรูปร่างหล่อเหลา บุคลิกอบอุ่น ท่าทีก็ไม่เลว ต่อให้เขาสวมเสื้อผ้าดั่งขอทาน แต่ก็ไม่ได้แสดงความรังเกียจขับไล่

ได้ยินคำพูดนี้จบ หลี่ซุ่นซีก็ยิ้มอย่างอับจน เขาคิดมาดีแล้ว ภัยพิบัติของเมืองอินทรีคู่จะอยู่ในสองสามวันนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่วันนี้ไหม

เตือนไป๋ชิวหลิงเร็วๆ จะได้มีโอกาสทำให้นางเชื่อใจ ได้โอกาสพลิกสถานการณ์ อย่างไรทั่วทั้งเมืองอินทรีคู่ก็มีหลายหมื่นคน ชีวิตคนตั้งมากมายขนาดนี้

แต่จะสร้างความเชื่อใจอย่างไรเป็นปัญหา

“ก็ได้… พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก” เขาคิดจะลอบเข้าพรรคแม่น้ำขาวตอนดึก เดินตามกฎดูเหมือนผ่านไม่ได้ อาศัยแค่ลมปาก ไม่มีคนเชื่อถือ ‘คำพูดไร้สาระ’ ของเขา ต่อให้พูดเรื่องหยกปีศาจ อย่างมากก็ถูกยึดถือเป็นคนบ้า ไม่มีผู้ใดเชื่อ

“รีบไปเถอะ เกิดถูกหน่วยลาดตระเวนในพรรคพบเข้า ท่านจะเดือดร้อนเอา” พลพรรคคนนั้นก็มีจิตใจดี รีบเร่งรัด

“ขอบคุณ!” หลี่ซุ่นซีคำนับคนผู้นั้นอย่างจริงจัง ก่อนหมุนตัวจากไปอย่างแน่วแน่

เดินออกมาสักระยะ เขาพลันเกิดลางสังหรณ์ หันไปมองหน่วยหลักพรรคแม่น้ำขาว

การมองนี้ทำให้จิตใจเขาเคร่งเครียด

ท้องฟ้าเหนือพรรคแม่น้ำขาวเหมือนกับมีฝุ่นควันลอยวนเวียน ฝุ่นควันนั้นเบาบางยิ่ง ถ้าไม่ใช่เขามีหยกลี้ลับ คงไม่เห็น

ฝุ่นควันล่องลอยวนเวียน ไม่ถูกลมเป่าหายไป กลับแฝงไว้ด้วยความอัปมงคล

‘ต้องรีบแล้ว…’ หลี่ซุ่นซีกังวลใจ ‘คืนนี้ถ้าไม่สำเร็จ ได้แต่หาโอกาสพาไป๋ชิวหลิงไปจากที่นี่’

เขาตัดสินใจ หมุนตัวรีบร้อนผละจากไป

ก๊อกๆๆ

ไป๋ชิวหลิงเคาะประตูไม้ของห้องหนังสือเบาๆ

ในอาทิตย์อัสดง รอบๆ ห้องหนังสือไร้ผู้คน พลพรรคที่เดิมเฝ้าอยู่ก็ไม่ทราบไปไหน

“จริงๆ เลย คนพวกนี้แอบอู้ รอท่านพ่อกลับมา ข้าต้องฟ้องเสียหน่อย” ไป๋ชิวหลิงแม้จะเมตตา แต่ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย

เรื่องแบบนี้ทำลายกฎของพรรค ห้องหนังสือเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของบิดา ที่แล้วมามีองครักษ์อาภรณ์ขาวที่เป็นหัวกะทิเฝ้า แต่ตอนนี้ไม่เห็นสักคนเดียว

นางบ่นสองสามคำ จากนั้นยื่นมือเคาะประตูอีกรอบ

ก๊อกๆๆ

ด้านในยังคงเงียบสงัด ดูเหมือนท่านพ่อไม่อยู่ด้านใน

‘อาจไปด้านนอกกับสหายสองคนนั้น’ ไป๋ชิวหลิงคิด ในเมื่อบิดาไม่อยู่ นางกวาดตามองรอบๆ หยิบกุญแจพวงหนึ่งออกจากเอวอย่างเงียบๆ เสียบดอกหนึ่งในนี้กับแม่กุญแจตรงประตูไม้ แล้วหมุนเบาๆ

แอ๊ด

นางออกแรงผลักประตู

‘หึๆ ท่านพ่อไม่อยู่พอดี ฉวยโอกาสไปแอบดูห้องลับที่ปกติอยากเห็นดีกว่า’ ไป๋ชิวหลิงแสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์ นางรีบเข้าห้องหนังสือ หมุนตัวปิดประตูไม้

ในห้องหนังสือ ชั้นหนังสือแต่ละแถวจัดเรียงเรียบร้อย แสงสีแดงของอาทิตย์อัสดงสะท้อนเข้ามาอ่อนๆ ลอดผ่านหน้าต่างกระดาษสีขาว ส่องด้านในเป็นสีแดงอ่อน

ไป๋ชิวหลิงกวาดตามอง วิ่งมาถึงด้านหน้าชั้นหนังสือที่พิงกำแพงด้านในห้องหนังสืออย่างคุ้นทาง

นางคลำหาบนชั้นหนังสือ ดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมา ยื่นมือเข้าไปกดด้านในช่องว่างอย่างแรง

แกร่ก

เสียงหนึ่งดังเบาๆ ในกำแพง แว่วการเคลื่อนไหวของกลไก กำแพงว่างเปล่าข้างชั้นหนังสือค่อยๆ เคลื่อนออกเป็นประตูลับทรงสี่เหลี่ยมจุตรัส

ห้องลับที่ว่านี้ความจริงไม่ใช่ห้องลับ ไป๋ชิวหลิงทราบวิธีเปิดมานานแล้ว เพียงแต่สิ่งที่เก็บสะสมไว้ด้านในเป็นวัตถุล้ำค่าที่ไป๋เจิ้นหมิงทะนุถนอมยิ่ง

ภาพวาดโบราณมากมาย คัมภีร์โบราณหลายเล่ม สมบัติล้ำค่าซึ่งเป็นของฝังในสุสาน ของแปลกๆ ไป๋เจิ้นหมิงใช้ของยึดไว้กับกำแพง

ไป๋ชิวหลิงค่อยๆ เดินเข้าห้องลับ เริ่มมองซ้ายมองขวาอย่างสนใจ

เวลาค่อยๆ ผ่านไป เส้นแสงด้านนอกริบหรี่ลงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ในห้องลับมืดกว่าเดิม

ไป๋ชิวหลิงไม่ได้สนใจเวลา รอนางเห็นของเล่นชิ้นใหม่ ฟ้าก็มืดแล้ว ดูของในห้องลับได้แค่ครึ่งเดียว โคมไฟบนกำแพงในห้องลับลุกไหม้มานานแล้วเช่นกัน

ของสะสมของไป๋เจิ้นหมิงมีมากเกินไป ส่วนใหญ่เป็นภาพวาด วัตถุโบราณ ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไป๋เจิ้นหมิงสนใจที่สุด

นางเพลิดเพลินกับการหาผลงานที่ตนเองชอบท่ามกลางของสะสมไม่น้อย จึงลืมเวลาไป

‘ดึกมากแล้ว… สมควรไปแล้ว…’ ด้านนอกไม่รู้มืดลงตอนไหน ไป๋ชิวหลิงไม่ทราบว่าตนเองอยู่ในห้องลับนานเท่าไหร่

แต่พอทราบว่าถ้าท่านพ่อพบว่าตนเข้าห้องลับ จะต้องเดือดดาลแน่

นางแลบลิ้น

‘สุดท้ายแล้วๆ ดูเป็นชิ้นสุดท้าย…’

นางกวาดตามองห้องลับโดยไม่อยากจากไป ม้วนภาพขนาดใหญ่มากม้วนหนึ่งดึงดูดสายตาของนางอย่างรวดเร็ว

……………………………………….