เกมท่องยุทธภพเปิดตัวมาห้าปี

 

 

เมื่อก่อนฉินหร่านอารมณ์ร้อนกว่าตอนนี้มาก ตั้งแต่มัธยมต้นก็มักจะสะพายเป้ออกมา เมื่อขลุกอยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ก็ล่วงเลยจนถึงตอนเย็น

 

 

อาจารย์เรียกเฉินซูหลานมาพบ เฉินซูหลานก็ไม่ค่อยใส่ใจมากนัก

 

 

ฉินหร่านเก็บการ์ดตัวละครพสุธา มนุษย์และสวรรค์ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่จนครบ จากนั้นก็ไต่แรงค์เพียงลำพัง

 

 

ตอนนั้นเกมยังไม่เป็นที่แพร่หลาย คนเล่นน้อยแถมยังเป็นแค่โซนเดียวในตอนแรก ไม่ได้แบ่งประเทศ ในหนึ่งโซนมีคนทุกประเทศ

 

 

แต่ตอนนั้น ID ของเธอไม่ใช่ QR แต่เป็น Q ตัวเดียว

 

 

หากยังมีผู้เล่นเก่าของโซนหนึ่งอยู่ ต้องจำได้แน่นอนว่าผู้เล่นที่ชื่อ Q เริ่มเป็นใหญ่ในอารีนาต่างๆ ตั้งแต่ตอนนั้น

 

 

อยู่เหนือเหล่านักสู้

 

 

แม้เมิ่งซินหรานจะเร็วมาก แต่เธอเป็นแค่ตัวสำรองของทีม OST มาตลอด สาเหตุง่ายมาก ไหวพริบ การเคลื่อนไหวและความเข้าใจที่มีต่อการ์ดตัวละครของเธอนั้นไม่เพียงพอ

 

 

APM ที่เธอภูมิใจนักหนาเป็นแค่กระดาษใบเดียวเมื่ออยู่ต่อหน้าฉินหร่าน มีช่องโหว่เต็มไปหมด

 

 

ในห้องเก้า ยังไม่มีใครกล้าปริปากเลยแม้แต่คนเดียว

 

 

ฉินหร่านยันโต๊ะที่วางโน้ตบุ๊กแล้วลุกขึ้น มืออีกข้างจับเมาส์ กดปิดหน้าจอของเกมไป

 

 

จากนั้นหันหลัง

 

 

มีคนยืนอยู่ข้างหลังเป็นแถว ต่างก็ตัวแข็งอยู่กับที่

 

 

ฉินหร่านหรี่ตาลงเล็กน้อย “ถอยหน่อย ต้องรีบทำการบ้าน”

 

 

หยุดคิดไปครู่หนึ่ง พูดคำหนึ่งออกมาอย่างสุภาพมากว่า “ขอบคุณ”

 

 

ผู้คนหลีกทางให้ด้วยอาการแข็งทื่อ

 

 

ฉินหร่านกลับมาที่โต๊ะของตัวเอง ล้วงอมยิ้มแท่งหนึ่งออกจากใต้โต๊ะ หลุบตาลงไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่

 

 

แกะออก ยัดเข้าปาก

 

 

รอบข้างไม่มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเลยสักนิด

 

 

ฉินหร่านนั่งไขว่ห้าง ตอนที่จับปากกา อารมณ์ก็ดีขึ้นบ้างแล้ว จึงก้มหน้าลง คัดลายมือต่ออย่างไม่รีบร้อน

 

 

ความน่ากลัวของฉินหร่าน ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเมิ่งซินหรานที่แข่งกับฉินหร่าน

 

 

ตอนที่การแข่งขันเริ่มขึ้น เธอแทบจะไม่มีเวลาให้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่ฉินหร่านไม่ได้ไว แต่กลับเอาเมิ่งซินหรานอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ

 

 

แม้จะทะนงตนอย่างเมิ่งซินหราน ก็จำต้องยอมรับว่า เธอหาช่องโหว่ของฉินหร่านไม่เจอเลยสักนิด

 

 

แต่ทำไมฉินหร่านถึงได้เก่งกาจปานนี้

 

 

ปรมาจารย์ยี่สิบดาวงั้นเหรอ

 

 

ทำไมเธอถึงไม่เคยเห็น ID ที่ชื่อ QR ในเครือข่ายของประเทศเลย

 

 

แต่ในสมองกลับมีความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

 

 

เมิ่งซินหรานสลัดความคิดแบบนี้ทิ้ง

 

 

เธอเงยหน้ามองไปทางฉินหร่าน อีกฝ่ายยังคงคัดลายมืออย่างเชื่องช้า นิ่งสงบ

 

 

เมิ่งซินหรานยอมรับได้ยากมากว่าตัวเองแพ้ให้กับคนไม่มีชื่อคนหนึ่ง ใบหน้าถมึงทึง เธอหันหลังออกจากห้องเก้าไปเงียบๆ

 

 

นิ้วจิกฝ่ามือแน่น

 

 

หัวหน้าห้องหนึ่งหันหลัง อยากตามเมิ่งซินหรานไป

 

 

กลับถูกพวกเหอเหวินขวางไว้ เฉียวเซิงยืนพิงบอร์ดหลังห้อง สองมือกอดอก เลิกคิ้วมองหัวหน้าห้องห้องหนึ่ง “พวกนายลืมอะไรไปหรือเปล่า”

 

 

แน่นอนว่าหมายถึงเรื่องที่เรียกพ่อ

 

 

คนห้องหนึ่งหน้าถอดสีทันที

 

 

ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามีเมิ่งซินหรานอยู่ไม่มีทางแพ้แน่นอน ถึงได้วางเดิมพันครั้งนี้

 

 

ใครเล่าจะรู้ว่าจู่ๆ จะมีฉินหร่านโผล่มา

 

 

คนห้องหนึ่งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สุดท้ายก็ก้มหน้า เอ่ยปากอย่างไม่ค่อยเต็มใจ พอเรียก ‘พ่อ’ เสร็จก็ออกจากห้องเก้าไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าด้วยซ้ำ

 

 

วิ่งเหยาะๆ ตามเมิ่งซินหรานไป

 

 

“ฉินหร่านคนนั้นสุด…” มีคนโพล่งขึ้นมา

 

 

หัวหน้าห้องเหลือบมองเขาทันที

 

 

คนนั้นรีบแก้เป็นพัลวัน “ฉินหร่านคนนั้นก็แค่ไหวพริบ การเคลื่อนไหวกับมองภาพกว้างได้ดีกว่าเธอ แต่เรื่องพวกนี้ฝึกกันได้ แต่ความเร็วฝึกไม่ได้ ความเร็วของเธอเป็นข้อได้เปรียบ”

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน ในห้องเก้า

 

 

ตั้งแต่ห้องหนึ่งออกไป ก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ทุกคนต่างก็มองหน้ากัน

 

 

เหอเหวินกระแอม ฝืนละสายตาจากฉินหร่าน “หลินซือหราน บัญชีของเธอ…”

 

 

หลินซือหรานดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง พูดอย่างใจเย็นว่า “ฉินหร่านเล่นให้”

 

 

สวีเหยากวงก็มองแผ่นหลังของฉินหร่านด้วย แววตาของเขาเย็นชาเสมอมา ตอนนี้หรี่ลงเล็กน้อย ราวกับมองเห็นประกายในนั้น

 

 

เขาเอียงตัวพิงเก้าอี้ จ้องหลินซือหราน “การ์ดสามใบก็ได้มาจากเธอสินะ”

 

 

“หา” หลินซือหรานเงยหน้าขึ้นอย่างทำอะไรไม่ถูก แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

 

 

เมื่อครู่ที่ฉินหร่านตั้งใจไม่เปิดหน้าการ์ดตัวละครของเธอ หลินซือหรานย่อมเข้าใจเจตนาของเธอดี

 

 

สวีเหยากวงพิงอยู่อีกมุมหนึ่ง เม้มปากแน่น นัยน์ตาลุ่มลึก

 

 

เขามองหลินซือหรานอยู่นาน จากนั้นก็เบือนสายตาออกเงียบๆ

 

 

กลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองโดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา

 

 

ตอนนี้คนอื่นต่างก็รู้ตัวแล้ว

 

 

“สรุปว่า” ตัวแทนฟิสิกส์ห้องแปดที่ตอนนี้รู้แล้วว่าตัวเองพลาดอะไรไปพยายามกลืนน้ำลาย เขามองหลินซือหรานอย่างทำอะไรไม่ถูก “ครั้งก่อนที่เธอบอกว่าให้เจ๊หร่านช่วยเล่นให้ฉัน เธอจริงจังเหรอ”

 

 

หลินซือหรานวางมือพาดโต๊ะ จริงแท้แน่นอนอยู่แล้วสิ “ประสาท ฉันไปล้อนายเล่นตอนไหน”

 

 

เหอเหวินที่เคยปฏิเสธฉินหร่านเหมือนกันเงยหน้าขึ้น หมดอาลัยตายอยาก “ฉันให้เธอช่วยเล่นเกมให้ตอนนี้ ยังทันหรือเปล่า”

 

 

หลินซือหรานพยักพเยิดไปทางฉินหร่าน “นายไปขอเขาเอง”

 

 

เหอเหวินกับตัวแทนฟิสิกส์ห้องแปดพากันมองไปทางฉินหร่านโดยไม่รู้ตัว

 

 

อีกฝ่ายฟุบกับโต๊ะ ปากคาบอมยิ้มไว้ มือถือปากกา ท่าทางกำลังตั้งใจคัดลายมือ

 

 

สรุปแล้ว ไม่ว่าเธอกำลังจะทำอะไรก็ตาม แม้แต่แผ่นหลังก็ดูไม่ควรเข้าใกล้

 

 

“ไม่กล้าถาม หลินซือหราน เจ๊หลิน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เธอก็เป็นเจ๊ของฉันเหมือนกัน” พวกเหอเหวินมองหลินซือหรานอย่างเคร่งขรึม “เธอยืมบัญชีของเธอให้ฉันเล่นหน่อยได้ไหม”

 

 

การ์ดเทพสามใบ…

 

 

 

 

คนในห้องสงสัยฉินหร่านมากกว่าหลินซือหรานแน่นอน

 

 

 แต่ฉินหร่านใส่หูฟัง พิงผนังคัดลายมือ ใบหน้าดูว่าง่ายมาก แต่… สุดท้ายแล้ว ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ ห้องเก้าไม่มีใครกล้ายุ่งกับบิ๊กบอสฉิน ทำได้แค่มาวอแวหลินซือหราน

 

 

หลินซือหรานถูกคนพวกนี้กวนตลอดทั้งคืน กว่าจะได้กลับที่นั่งของตัวเอง เธอเท้าคาง หันหน้ามองฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านถือปากกา เขียนช้าลงกว่าที่เคย

 

 

“หรานหร่าน หญ้าต้นนั้นจะแห้งแล้วใช่ไหม” จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ หลินซือหรานยืดตัวตรง ฮึกเหิมขึ้นมาทันที

 

 

ฉินหร่านกระแอม จากนั้นดึงด้ายแดงบนลำคอขึ้นมา

 

 

หญ้าที่อยู่ในขวดแก้วเ**่ยวเฉาแล้วจริงๆ แถมยังเหลืองนิดหน่อย

 

 

ของพวกนี้มีเวลาจำกัด ต่อให้เติมน้ำก็ไม่ได้ผล

 

 

เธอใส่กลับไปที่เดิม ลงมือคัดลายมือต่อไป พูดอย่างไม่ค่อยใส่ใจว่า “เ**่ยวแล้ว ไม่เป็นไร”

 

 

“พรุ่งนี้อาจจะมาไม่ทัน วันมะรืนแล้วกัน วันมะรืนฉันจะให้หญ้าต้นใหม่กับเธอ” หลินซือหรานหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา จากนั้นหยิบปากกาขึ้น ขีดๆ เขียนๆ บนกระดาษอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

เธอกัดปากกา

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ นัดแนะเวลาเสร็จสรรพ

 

 

ฉินหร่านนั่งไขว่ห้าง ไม่ได้สังเกตมากนัก เพียงแค่ครางรับในลำคออย่างง่วงงุนเท่านั้น

 

 

ด้านหลัง

 

 

บนโต๊ะของสวีเหยากวงมีคู่มือฟิสิกส์วางอยู่ เล่มหนามาก เขาพลิกดูหลายหน้า หลังทำโจทย์ฟิสิกส์ข้อใหญ่ไปแล้ว เขาก็หงุดหงิดเล็กน้อย

 

 

วางปากกาลง

 

 

เอนตัวพิงเก้า

 

 

ด้านหลัง เฉียวเซิงกำลังคุยเรื่องแข่งขันวันนี้กับเพื่อนๆ อยู่

 

 

สวีเหยากวงหรี่ตาลง จากนั้นหันหลัง กวาดตามองเฉียวเซิง “เฉียวเซิง ฉันรู้สึกว่าวันนี้นายไม่ค่อยตกใจกับการกระทำของฉินหร่านเท่าไหร่”

 

 

“การ์ดสามใบของหลินซือหรานฉันก็เห็นมาแล้ว นับประสาอะไรกับของเจ๊หร่าน” เฉียวเซิงวางปากกาลง หัวเราะเบาๆ

 

 

สวีเหยากวงเม้มปาก สัญชาตญาณบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่บอกไม่ถูก

 

 

เขาหันกลับมา

 

 

หยิบกระดาษทดแผ่นใหม่ออกมา

 

 

ใช้ปากกาลูกลื่นเขียนตัวอักษรสามตัว

 

 

บรรทัดแรกคือ QR

 

 

บรรทัดที่สองคือ Q

 

 

เขาจ้องตัวหนังสือสองบรรทัดนี้อยู่นาน สุดท้ายก็พึมพำว่า “ขาดไปตัวหนึ่ง…”

 

 

“อะไรนะ” เพื่อนร่วมโต๊ะหันมา

 

 

สวีเหยากวงส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”

 

 

เขาขยำกระดาษแผ่นนี้เป็นก้อนแล้วโยนไปข้างหลัง

 

 

ลงถังขยะไปพอดี

 

 

 

 

           เช้าวันต่อมา

 

 

           ฉินหร่านไม่ได้ไปกินข้าวที่โรงอาหาร แต่ไปห้องพยาบาลแทน

 

 

           ลู่จ้าวอิ่งนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ทำงานของเขา

 

 

           ฉินหร่านรู้ว่า เขาต้องอดหลับอดนอนเล่นเกมอีกแล้วแน่ๆ จึงเดินผ่านเขาตรงไปหาเฉิงเจวี้ยนข้างใน

 

 

           เฉิงเจวี้ยนกำลังอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา ตอนที่เธอมา เขายังหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน ดูเหมือนจะนอนไม่พอ เสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย “รอสักเดี๋ยว เดี๋ยวเฉิงมู่ก็กลับมาแล้ว”

 

 

           “ฉันไม่รีบ” นอกจากอาจารย์ฟิสิกส์แล้ว อาจารย์คนอื่นต่างก็เข้าอกเข้าใจเธอเป็นอย่างดี ฉินหร่านนั่งลงตรงข้ามเขา มือข้างหนึ่งวางพาดขอบโซฟา “นายทำสตัฟฟ์เป็นไหม”

 

 

           “ประเภทไหน” เฉิงเจวี้ยนช้อนตาขึ้น ดึงผ้าคลุมบนตัวออก วางไว้อีกทาง

 

 

           ฉินหร่านล้วงหญ้าต้นนั้นที่หลินซือหรานให้ออกจากเสื้อคาร์ดิแดน

 

 

           ใกล้จะเฉาแล้ว คิดว่าน่าจะไม่พ้นวันนี้

 

 

           เสื้อคาร์ดิแกนของเธอเอากลับมาจากบ้านเฉิงเจวี้ยนครั้งก่อน

 

 

           เสื้อกันหนาวสีขาวตัวนอกก็เช่นกัน

 

 

           คาร์ดิแกนเป็นสีดำ ตัวหลวมสบาย นิ้วของเธอไล่ไปตามด้ายสีแดงแล้วล้วงขวดแก้วเล็กๆ ออกมา คอเสื้อขยับเล็กน้อย เห็นกระดูกไหปลาร้าที่ถูกปิดไว้ก่อนหน้านี้เข้าพอดี

 

 

           เสื้อหลวมเกินไป ทำให้กระดูกไหปลาร้าดูเด่นชัดยิ่งขึ้น

 

 

           ความแตกต่างของสีขาวดำก็ชัดเจนเช่นกัน

 

 

           เป็นความรู้สึกที่เฉยชาและอบอุ่น

 

 

           สายตามองไล่ลงมาอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

           เฉิงเจวี้ยนเงยหน้าขึ้น

 

 

           ฉินหร่านดึงลงมา ยื่นให้เฉิงเจวี้ยน “นายลองดูสิ”

 

 

           เฉิงเจวี้ยนตอบอืมอย่างขอไปที รับมาแล้วมองแวบหนึ่ง กดเสียงต่ำลง “พอได้ เดี๋ยวให้เฉิงมู่ซื้อของกลับมานิดหน่อย อีกสองวันก็เสร็จแล้ว”

 

 

           ฉินหร่านเท้าคาง เอียงหัวมองเฉิงเจวี้ยน

 

 

           ทั้งชีวิตนี้เธอชื่นชมคนอยู่สองประเภท หนึ่งคืออาชีพอย่างนักวิจัยที่ได้เงินสามพันหยวนแต่ยังคงยึดมั่น

 

 

           สองคือคนที่ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีความอดทน

 

 

           เธอทำไม่ได้ หากไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองสนใจ เธอจะนั่งไม่นิ่ง ตอนนี้ยังถือว่าดีขึ้นแล้ว

 

 

           เมื่อก่อนเธอกับพานหมิงเยว่มักจะก่อเรื่องไปทั่ว

 

 

           ครูประถมของพวกเธอคงคิดไม่ถึงว่า เธอกับพานหมิงเยว่ อีกคนเป็นบ๊วยอีกคนรองบ๊วย วันหนึ่งจะกลายเป็นม้ามืดของเหิงชวนอีจง

 

 

           ไม่นานเฉิงมู่ก็กลับจากข้างนอก พร้อมกับอาหารเช้า

 

 

           ฉินหร่านนั่งพิงพนักเก้าอี้ มือข้างหนึ่งถือช้อนกินโจ๊ก อีกข้างเป็นมือถือกำลังส่งข้อความหาฉางหนิง…

 

 

           ‘ช่วงนี้มีออเดอร์หรือเปล่า’

 

 

           น้อยครั้งที่จะเห็นฉินหร่านกระตือรือร้นแบบนี้ ราวกับฉางหนิงกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจ ส่งออเดอร์สองหน้ากลับมาภายในวินาทีเดียว

 

 

           ฉินหร่านกดดูภาพแล้วถอดรหัส

 

 

           เฉิงมู่ยกนมแก้วหนึ่งมาให้เธอ จึงเห็นฉินหร่านกำลังดูรหัสเฉพาะจำนวนมากอยู่

 

 

           เขาสงสัยมาก “คุณหนูฉิน มันคืออะไรเหรอ”

 

 

           “รหัสมอร์สน่ะ” ฉินหร่านกินโจ๊กไปคำหนึ่ง ตอบส่งเดชไป

 

 

           นี่เป็นรหัสที่ใช้เฉพาะใน 129 มีแค่คนที่เคยท่องรหัสพวกนี้เท่านั้นที่เข้าใจ

 

 

           ฉินหร่านไม่กลัวว่าเฉิงมู่จะอ่านออก

 

 

           เฉิงมู่มองฉินหร่านเงียบๆ

 

 

           ฉินหร่านถอดรหัสสองหน้าเสร็จแล้ว ไม่เจอออเดอร์ที่ตัวเองต้องการ จึงลบทิ้งทันที ตอบกลับอีกครั้งว่า…

 

 

           ‘มีออเดอร์อื่นอีกไหม’

 

 

           ฉางหนิงไม่ตอบอะไรกลับมา แต่ต่อสายมาโดยตรง

 

 

           นามแฝงของเธอฉินหร่านใส่แค่ ‘c’ ตัวเดียว ไม่กลัวว่าจะมีใครจับได้

 

 

           ฉินหร่านตัดสายด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่รับ

 

 

           ลู่จ้าวอิ่งเดินหาวเข้ามา พอเห็นฉินหร่าน มือที่ปิดปากก็นิ่งไป ปากที่อ้าอยู่ก็ค้างอยู่แบบนั้น

 

 

           นึกถึงเรื่องที่ฉินหร่านรู้จักหยางเฟยขึ้นมา

 

 

           เขาอยากเขย่าตัวฉินหร่านแล้วซักถามให้รู้เรื่อง แต่เฉิงเจวี้ยนอยู่ เขาไม่กล้า

 

 

           หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ฉินหร่านก็กลับห้องเก้าทันที

 

 

           เฉิงเจวี้ยนก็กลับเข้าไปข้างใน เอนตัวอยู่บนโซฟาสั่งให้เฉิงมู่ไปซื้อของบางอย่าง

 

 

           งานอดิเรกของท่านเจวี้ยนมีถมถืด

 

 

           ตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ เปลี่ยนสายงานอาชีพอย่างน้อยร่วมร้อยอาชีพแล้ว

 

 

           เฉิงมู่หันหลังจะเดินออกไป หางตาก็เหลือบไปเห็นขวดแก้วในมือของเฉิงเจวี้ยน ชะงักไปครู่หนึ่ง “ท่านเจวี้ยน นี่เป็น…”

 

 

           เฉิงเจวี้ยนกำมือแน่น ปิดบังมันจากสายตาของเฉิงมู่ทันที

 

 

           เขามองเฉิงมู่นิ่งๆ พูดช้าๆ ว่า “มองอะไรของนายน่ะ”

 

 

           เฉิงมู่ “…”

 

 

           อ๋อ เข้าใจแล้ว ของคุณหนูฉิน

 

 

           …

 

 

           ทางด้านนี้ ฉินหร่านมาถึงห้องเก้าแล้ว

 

 

           ห้องเก่ายังคงคึกคักมากเหมือนเดิม

 

 

           คนกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมเหอเหวิน มุงดูเหอเหวินเล่นเกม เหอเหวินใช้บัญชีของหลินซือหราน

 

 

           หากหลี่อ้ายหรงเดินผ่านตอนนี้ ต้องขมวดคิ้วอีกแน่ คิดว่าบรรยากาศการเรียนของห้องเก้าไม่พอ

 

 

           เฉียวเซิงฟุบอยู่บนโต๊ะ หน้าจอมือถือเป็นหน้าหลักของเวยป๋อ หลังจ้องอยู่นาน เขาก็มองไปทางฉินหร่าน จากนั้นก็โพสต์ในแวดวงของวีแชท

 

 

           ‘ไม่ให้ฉันเล่นด้วย อิจฉาแล้ว’

 

 

           แทรกรูป ปีศาจเลมอน

 

 

           หลังโพสต์เสร็จแล้ว ก็มียอดไลค์สิบกว่าครั้งกับคอมเมนต์เพิ่มมาสิบกว่าคอมเมนต์

 

 

           เฉียวเซิงขี้เกียจดู จึงย้อนกลับไปที่หน้าหลักของเวยป๋อ

 

 

           เขานั่งหันข้างให้พนักเก้าอี้ ขายาวยื่นออกมาตรงทางเดิน มือหนึ่งเท้าคาง

 

 

           สวีเหยากวงไปเอาควิซปึกหนึ่งมาจากอาจารย์ฟิสิกส์ในคาบเรียนอีกแล้ว

 

 

           พอแจกถึงฉินหร่าน เธอกำลังฟุบอยู่บนโต๊ะ ใช้ยูนิฟอร์มโรงเรียนที่เธอไม่ได้ใส่นานแล้วคลุมหัว มีสายหูฟังโผล่ออกมา ไม่รู้ว่ากำลังหลับอยู่หรือเปล่า

 

 

           มือถือของเธอวางอยู่บนโต๊ะ

 

 

           คล้ายว่าจะมีคนโทร.วิดีโอคอลเข้ามาหาเธอ มันสว่างไม่หยุด แต่เธอก็ไม่สนใจ

 

 

           คนรอบข้างต่างก็ออกห่างเธอหนึ่งเมตรโดยอัตโนมัติ

 

 

           สวีเหยากวงชะงักไป หากเป็นเมื่อก่อน เขาต้องวางควิซของฉินหร่านบนหัวเธอแน่นอน เขาเป็นคนที่ไม่สนความคิดคนอื่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

 

 

           เฉียวเซิงพูดถูก ในโรงเรียนนี้คนที่เขาสนใจเพียงน้อยนิด มีแค่ฉินอวี่คนเดียว

 

 

           เขาหลุบตาลง คิดอยู่ครู่หนึ่ง วางควิซสองแผ่นไว้ที่โต๊ะของหลินซือหราน

 

 

           หลังแจกควิซเสร็จแล้วก็กลับไปนั่งที่โต๊ะ เฉียวเซิงยังดูเวยป๋ออยู่

 

 

           สวีเหยากวงดึงเก้าอี้ของตัวเองออกอย่างไม่ใส่ใจ กวาดสายตามองแวบหนึ่ง มือที่วางอยู่บนเก้าอี้บีบแน่น

 

 

           เขากระชากมือถือมาจากเฉียวเซิงทันที

 

 

           เฉียวเซิงยังคงหยุดอยู่ที่หน้าเวยป๋อ

 

 

           ด้านบนเป็นโพสต์ @qr ที่หยางเฟยเป็นคนโพสต์