บทที่ 167 ภัยที่เดินเข้ามาทางประตู

ไหปีศาจ

บทที่ 167
ภัยที่เดินเข้ามาทางประตู

การสืบทอดวิชาลับเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับผู้ปรับแต่ง

หากตระกูลใดมีวิชาลับที่มีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถรับประกันความมั่งคั่งในระยะยาวของตระกูลได้
ตัวอย่างเช่นหลังจากผ่านมาหลายทศวรรษ ผ่านการวิจัยการปรับปรุงเพื่อความสมบูรณ์แบบ วิชาลับของตระกูลลั่ว วิชาลับได้ทำให้ตระกูลรุ่งเรืองมาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้
วิชาลับของตระกูลลั่วไม่เพียงเป็นการเสริมพลังของสัตว์วิญญาณในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น แต่มันยังมีข้อได้เปรียบที่ไม่เหมือนใครในการปรับแต่งสัตว์วิญญาณที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์
นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาสามารถปรับแต่งปีศาจที่เป็นสัตว์วิญญาณระดับเพชร ซึ่งทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องตกตะลึง

ไม่มีใครมีวิชาที่เหนือกว่าวิชาลับของพวกเขา
นอกจากนี้ตระกูลลั่วยังได้รวบรวมวิชาลับกว่า 37 วิชาจากสำนักต่าง ๆ มาไว้ในครอบครอง แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีวิธีใดที่สามารถเทียบได้กับวิชาลับที่เป็นแก่นหลักของตระกูลลั่ว

แต่แล้วคราวนี้ตระกูลลั่วก็ได้พบมัน
ดูเหมือนว่าวิชาลับที่ลั่วอู๋เชี่ยวชาญจะซับซ้อนและทรงพลังมาก มันอาจเป็นหนึ่งในวิชาลับในการปรับแต่งชั้นยอดที่สูญหายไปในกาลอดีต
มันเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ง่ายมาก

ลั่วอู๋นั้นได้รับชัยชนะเหนือผู้ใช้พลังวิญญาณระดับกลาง ดังนั้นเขาจึงน่าจะเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าระดับกลาง แต่ว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน? เขาเนี่ยนะจะเป็นระดับสูง? มันเป็นไปไม่ได้
หากเขาเป็นเหมือนเฉินหมิงหยู่ของตระกูลเฉินซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบหมื่นปี ผู้ที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตของผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับสูงตั้งแต่มีอายุเพียง 18 ปี
ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ เขาเองก็คงสามารถเป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับกลางได้

มันจึงเพียงพอแล้วที่สรุปว่า เขามีพลังของวิชาลับที่เขาเชี่ยวชาญเป็นตัวช่วย
เห็นได้ชัดว่าลั่วอู๋โชคดีพอที่จะได้รับวิชาระดับนั้นมาครอบครอง

ดวงตาของลั่วอู๋แสดงให้เห็นถึงการล้อเล่น “หรือก็คือ ตราบใดที่ข้ามอบวิชาลับของข้าให้กับตระกูล ข้าก็จะสามารถกลับไปอยู่ที่ตระกูลลั่ว และยังคงสามารถรักษารายได้หลักของศาลาไป่หยูไว้ได้สินะ?”
“หรือพูดให้ชัดเจนก็คือสามารถรักษา 80% ของรายได้เอาไว้ได้” ฟางฉุนฮีกล่าวเสริม
ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เขาเย้ยหยันฟางฉุนฮี “ข้าต้องพยายามที่จะรักษารายได้เพียง 80% ของหินวิญญาณทั้งหมดที่ข้าควรจะได้ และข้าต้องการกลับไปหาความทรงจำอันไร้ความอบอุ่น ซึ่งเต็มไปด้วยสายตาอันเย็นชาของคนในตระกูลเนี่ยนะ”
“เจ้าคิดว่ามันถือเป็นเรื่องดีสำหรับข้างั้นสิ ”
“ฮ่าฮ่า ไร้สาระ”
“ข้าต้องยอมละทิ้งวิชาลับอันเป็นเอกลักษณ์ของข้า เพื่อสิ่งเหล่านั้นเนี่ยนะ เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าทำไมถึงกล้ามาขอให้ข้าทำแบบนี้”
ตอนนี้ลั่วอู๋เต็มไปด้วยความโกรธ
บรรยากาศในร้านเองก็ดูตึงเครียดขึ้นมาในทันที
ทีมคุ้มคมมีดทุกคนเตรียมตัวพร้อมจัดการแล้ว ทันทีที่ลั่วอู๋สั่งพวกเขา พวกเขาก็พร้อมจะพุ่งไปข้างหน้าและฉีก ฟางฉุนฮีออกเป็นชิ้น ๆ

ขณะนั้นใบหน้าของฟางฉุนฮีเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเขาสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่าง
เขาเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน มิติที่ 5 อย่างนั้นเหรอ?
เสี่ยวเซียงไม่เห็นจะรายงานถึงเรื่องนี้เลยนี่นา
ปีที่แล้วเขาเป็นเพียงขยะที่ไม่สามารถฝึกฝนเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณได้ และต่อให้เขาสามารถฝึกฝนได้ก็เถอะ เขาพัฒนามิติวิญญาณได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร? นี่เป็นพรสวรรค์ที่เหนือชั้นมาก
แท้จริงแล้วลั่วอู๋มีพลังมากถึงแค่ไหนกันแน่?
ความเร็วในการฝึกฝนระดับนี้ แม้แต่คนในเมืองหลวงของจักรวรรดิที่เป็นระดับอัจฉริยะเองก็คงยังต้องตกตะลึง
ถ้าทางตระกูลรู้ว่าเขาเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับนี้ได้ล่ะก็ ตระกูลลั่วคงไม่มีทางเสียเวลามาคิดหาทางยึดเอาวิชาลับของลั่วอู๋ แต่คงจะเชิญเขากลับไปที่ตระกูลลั่วให้ฝึกฝนคนอื่น ๆ เสียมากกว่า
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะสายเกินไปแล้ว

เสี่ยวเซียงต้องการจะแก้แค้นลั่วอู๋ ดังนั้นเขาจึงปกปิดข้อมูลเรื่องระดับมิติวิญญาณของลั่วอู๋ โดยเจตนา
ฟางฉุนฮีถอนหายใจในใจ ดูเหมือนตอนนี้เขาคงจะทำได้เพียงแค่ดำเนินการต่อไปตามประสงค์ของทางตระกูลเท่านั้น
“ นายน้อยลำดับที่ 17 โปรดอย่าลืมด้วยว่าตัวท่านเองก็เป็นสมาชิกของตระกูลลั่วเหมือนกัน” ฟางฉุนฮีพยายามควบคุมการแสดงออกของเขา
ลั่วอู๋เยาะเย้ย “ข้าเป็นแค่บุตรชายที่ถูกทอดทิ้ง ผู้ที่ถูกไล่ออกจากตระกูล ข้าไม่สามารถอ้างชื่อตระกูลได้ด้วยซ้ำ”

ฟางฉุนฮีเป็นใบ้ไปพักหนึ่ง
“แต่ชื่อของท่านก็ยังคงอยู่บนแผนผังของตระกูลลั่วนะขอรับ” ฟางฉุนฮีกล่าว
ลั่วอู๋ให้เหตุผลต่อไป “แล้วมันทำไมล่ะ ? มันก็ไม่ต่างจากการที่พวกเจ้ายอมใส่ชื่อของจักรพรรดิลงไปในแผนผังวงศ์ตระกูลลั่ว เพื่อเพิ่มความสง่างามของจักรพรรดิให้กับตระกูลลั่วของพวกเจ้าไม่ใช่รึไง?”
ฟางฉุนฮีเริ่มรู้สึกโกรธเล็กน้อย
“ลั่วอู๋! ท่านเองก็ควรเข้าใจดีนี่นา ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงกับตระกูลลั่ว ทางตระกูลสามารถริบทุกอย่างไปจากท่านโดนไม่เหลืออะไรให้ท่านเลยก็ยังได้” ฟางฉุนฮีคำรามด้วยเสียงต่ำ
มีแสงริบหรี่ในดวงตาของลั่วอู๋ เขาพูดออกมาอย่างช้า ๆ “ก็ลองทำดูสิ”

ฟางฉุนฮีไม่เคยคิดเลย
ว่าลั่วอู๋จะเป็นคนโง่ได้ขนาดนี้
เพื่อที่จะขัดขืนเพียงชั่วขณะ เขาก็พร้อมที่จะล้ำเส้น
ฟางฉุนฮีหายใจเข้าลึก ๆ และหยิบกระดาษสีเหลืองเก่า ๆ ออกมา “นี่คือสัญญาที่ลงนามโดยวู่หยู่ มันเขียนบอกไว้อย่างชัดเจนว่าทุกอย่างในศาลาไป่หยู่นั้นเป็นของตระกูลลั่ว”
วู่หยู่ นั้นคือชื่อของเจ้าของร้านคนเก่า
“เจ้าของร้านคนเก่า ท่านช่วยตรวจดูหน่อย” ลั่วอู๋กล่าว
เจ้าของร้านคนเก่าเดินไปตรวจสอบเอกสารและพยักหน้าให้กับลั่วอู๋

มันไม่มีปัญหาอะไร
นี่คือสัญญาที่เขาเซ็นจริง ๆ
โดยปกติแล้วตระกูลลั่วมีวิธีที่จะตอบโต้กับศาลาไป่หยู่ทุกสาขาอยู่เสมอ เพราะทุกคนที่ทำงานในศาลาไป่หยู่ต้องทำสัญญากับตระกูลลั่ว
เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างในศาลาไป่หยู่เป็นของตระกูลลั่ว
เจ้าของร้านคนเก่าที่เคยเปิดศาลาไป่หยู่ ถือเป็นเพียงคนรับใช้ระดับอาวุโสของตระกูลลั่วที่คอยจัดการกับธุรกิจศาลาไป่หยู่ ให้กับตระกูลลั่วเท่านั้น
“แน่นอนสิ ศาลาไป่หยู่เป็นของตระกูลลั่ว แต่มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักโล่พิทักษ์ของพวกข้านี่” ลั่วอู๋กลอกตาแล้วพูดว่า “เจ้ามีปัญหาก็เดินไปที่ศาลาไป่หยู่ซะสิ”
ฟางฉุนฮีขมวดคิ้ว “ท่านหมายความว่ายังไง”
เจ้าของร้านคนเก่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะพาท่านฟางไปดูที่ศาลาไป่หยู่เองขอรับ”
จากนั้นเจ้าของร้านคนเก่าก็พาฟางฉุนฮี ไปที่มุมหนึ่งของสำนักโล่พิทักษ์ มันมีป้ายศาลาไป่หยู่และเป็นที่นิยมมาก
“นี่มัน … ” ฟางฉุนฮีเบิกตากว้าง
ลั่วอู๋กล่าวว่า “นี่ต่างหากคือศาลาไป่หยู่ที่แท้จริง ข้อมูลที่เจ้าของร้านคนเก่ารายงานให้กับตระกูลลั่วอ้างถึงที่นี่”

เจ้าของร้านคนเก่าพยักหน้า
เจ้าของร้านคนเก่านั้นคอยรายงานถึงข้อมูลของศาลาไป่หยู่ให้ตระกูลทราบเป็นครั้งคราวอยู่ตลอด โดยรายงานครั้งล่าสุดนั้นเป็นช่วงก่อนการขยายขนาดร้านค้า
“ท่านไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่ไหม” ฟางฉุนฮีโกรธ
มันเหมือนกับเป็นการกลั่นแกล้งเขา
ใบหน้าของฟางฉุนฮีดูมืดมน “มันก็น่าสนใจดีนะ ที่พวกท่านคิดทำแผนการเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ แต่ไม่ว่าชื่อจะเป็นศาลาไป่หยู่หรือสำนักโล่พิทักษ์ ตราบใดที่ทรัพย์สินยังอยู่ภายใต้ชื่อของพวกท่านมันก็ยังเป็นของตระกูลลั่วอยู่ดี”
“ พ่อบ้านฟางนี่เป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่อยู่ในนามของข้า” เจ้าของร้านคนเก่ากล่าว
ฟางฉุนฮีโกรธมาก “ถ้าอย่างนั้นท่านก็ไม่ได้ทำธุรกิจในศาลาไป่หยู่สินะ แล้วท่านมาอะไรในสำนักโล่พิทักษ์ ท่านเป็นคนของสำนักโล่พิทักษ์รึยังไง”
“ วันนี้ข้าแค่ไม่คิดว่าจะมีธุระอะไรในร้านมากนัก ดังนั้นข้ามาที่ร้านข้างๆเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางธุรกิจ แต่ถ้าพ่อบ้านฟางไม่ชอบใจ งั้นข้ากลับไปที่ร้านของข้าก็ได้”
เจ้าของร้านคนเก่าเดินกลับไปที่ “ศาลาไป่หยู่” และเริ่มดูแลธุรกิจของเขาต่อ

“เจ้า เจ้า เจ้า” คำพูดของฟางฉุนฮีสั่นสะท้าน
ฟางฉุนฮีหายใจเข้าลึก ๆ เขาพยายามสงบสติอารมณ์และมองไปที่ลั่วอู๋ “นี่เป็นวิธีการรับมือของท่านสินะ มันช่างไร้สาระสิ้นดี”
“ พ่อบ้านฟางพูดถึงอะไรกันแน่ ? ข้าไม่เห็นจะเข้าใจ” ลั่วอู๋เริ่มเล่นทำทีเป็นใบ้
“ มันก็อาจจะจริงที่ว่าสำนักโล่พิทักษ์ไม่ได้อยู่ภายใต้ชื่อของวู่หยู่” ฟางฉุนฮีพูด “แต่ว่าท่านได้ออกมาจากตระกูลลั่ว ซึ่งตอนนั้นท่านก็ได้รับจดหมายให้แต่งตั้งท่านเป็นผู้ดูแล ศาลาไป่หยู่ ทรัพย์สินภายใต้ชื่อของท่านก็ยังถือว่าเป็นของตระกูลลั่ว ท่านจะปฏิเสธข้อนี้ไม่ได้ ”
แม้ว่าลั่วอู๋จะพยายามปฏิเสธยังไง
เขาก็ยังคงเป็นคนของตระกูลลั่ว
ลั่วอู๋เปิดมืออย่างไม่เต็มใจ “สำนักโล่พิทักษ์เป็นของข้างั้นเหรอ ? ขอโทษด้วยนะแต่มันไม่ใช่ธุรกิจของข้าหรอก ข้าเองก็มาที่นี่เพื่อเยี่ยมชมเฉย ๆ”
หลังจากนั้นลั่วอู๋ก็เดินกลับไปที่ศาลาไป่หยู่ เพื่อช่วยเจ้าของร้านคนเก่าจัดการธุรกิจของพวกเขา